ตอนที่ 1 — เงาที่ไม่ควรมีชื่อ
ลมยามราตรีพัดผ่านกำแพงเมืองชิงอันอย่างแผ่วเบา ทว่าความเย็นของมันกลับเฉือนผิวเหมือนคมมีด หลิงเจวี๋ยยืนนิ่งอยู่บนยอดหลังคาเก่าแก่สีดำสนิท ร่างสูงในชุดแพรไหมลายมังกรสีน้ำเงินเข้มนั้นเหมือนหลอมรวมเข้ากับเงามืดยามค่ำคืนจนแทบไม่อาจแยกจากกันได้ หากไม่มีแสงจันทร์ที่สะท้อนบนขลิบชายแขนสีแดงทอง คงไม่มีผู้ใดมองเห็นเขา
มือของเขาสวมถุงมือสีดำเรียบสนิท—เครื่องหมายของ “เงามังกร” ผู้ไร้ตัวตน
มือสังหารที่ไม่ควรทิ้งร่องรอย
ผู้รับคำสั่งจากราชสำนักโดยไม่มีชื่อในบันทึกใด
ในมือข้างหนึ่งของหลิงเจวี๋ยมีมีดพกเรียวบาง ด้ามสีขาว ตรามังกรสลักเบาบางจนแทบมองไม่เห็น หากแต่ความคมของมันสามารถพรากชีวิตคนได้โดยไม่ต้องออกแรงมากนัก
คืนนี้คือคืนแรกที่เขาได้รับคำสั่งใหม่หลังจากหายไปจากภารกิจนานถึงสองเดือน เพราะบาดแผลเก่าที่เจ็บลึกจนแทบรั้งชีวิต… และเพราะบางสิ่งที่เขาไม่ควรจำได้กำลังย้อนกลับมารบกวนหัวใจอันแข็งกระด้างของเขา
แต่ไม่ว่าความรู้สึกใดก็ตาม—เขาต้องเงียบ
เงาสามารถมีลมหายใจ… แต่ไม่มีหัวใจ
ชายชุดคลุมสีม่วงเข้มก้มศีรษะให้เขาอย่างเคร่งขรึม
“หลิงเจวี๋ย ภารกิจคืนนี้—เจ้าเข้าใจทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่”
ดวงตาคู่สีดำสนิทใต้หน้ากากครึ่งล่างค่อย ๆ เปิดขึ้น
“ผู้เป้าหมายอยู่ในตำหนักเฉิงเทียน มีองครักษ์ส่วนพระองค์แปดนาย ประตูสามชั้น สองชั้นแรกเจาะผ่านได้ง่าย อีกชั้นต้องอาศัยเสียงล่อ... และไม่มีผู้ใดในตำหนักนั้นสามารถหยุดข้าได้”
ชายที่ยืนฟังคำรายงานกลับยิ้มบาง ๆ
“ถูกต้องทุกอย่าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่มั่นใจว่าเจ้าเข้าใจหรือไม่”
หลิงเจวี๋ยไม่ตอบ รอให้ชายผู้นั้นกล่าวต่อ
“เป้าหมายครั้งนี้ไม่ใช่ขุนนาง เป็นบุรุษผู้มีสายเลือดสูงศักดิ์… และ—”
“และ? มันไม่ต่างอะไรจากการฆ่าคนหนึ่งคน”
“แต่เขาไม่ใช่ ‘ใครสักคน’” น้ำเสียงฝ่ายตรงข้ามกดต่ำ
“อี้หาน—บุรุษผู้เป็นปริศนาของราชสำนัก ผู้ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่กล้าตัดสินใจปิดหรือตีความว่าเขาคือศัตรูหรือพวกเดียวกัน”
หลิงเจวี๋ยยืนนิ่ง ชื่อหนึ่งนั้นราวกับลมกลางหนาวที่เข้ามาสะกิดบางอย่างในใจเขา
อี้หาน… ชื่อที่เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่ง—ก่อนเขาจะถูกสร้างเป็นเงา
ทว่าเขามิอาจถาม
เพราะเงาไม่ควรสงสัย
เงา…แค่ทำตามคำสั่ง
หลิงเจวี๋ยเอ่ยเรียบ ๆ
“ข้าจะนำศีรษะเขามาให้ก่อนรุ่งสาง”
ชายชุดม่วงมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น
“อย่าประมาท—ผู้ชายคนนั้นต่างจากทุกคนที่เจ้าเคยฆ่า”
คำเตือนนั้นเลื่อนผ่านหูหลิงเจวี๋ยอย่างไร้ความหมาย
เพราะตั้งแต่เขาได้รับการฝึก เขาไม่เคยล้มเหลว
ไม่เคยมีใครมองเห็น
ไม่เคยมีใครรอด
และไม่มีใคร…มีผลต่อหัวใจที่ปิดตายของเขาได้
หรือ…เขาเคยมีหัวใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ตำหนักเฉิงเทียนเงียบสงัด แม้จะเป็นตำหนักของบุรุษผู้มีสถานะลึกลับ แต่กลับไม่มีทหารจำนวนมากเหมือนที่หลิงเจวี๋ยคาดไว้ มีเพียงองครักษ์ประจำตำหนักไม่กี่นาย และกำแพงสีแดงเข้มที่ดูชราภาพราวกับอยู่นอกแผนผังราชสำนัก
หลิงเจวี๋ยสังเกตทุกจุดอย่างละเอียด
ไม่มีหลุมพราง
ไม่มีคลื่นสังหาร
ไม่มีแม้แต่รอยก้าวของคนที่ผ่านออกไปมากนัก
“น่าสงสัย…” เขาพึมพำเบา ๆ
การรักษาความปลอดภัยที่เบาเกินไปมักแปลว่าผู้เป้าหมายมั่นใจว่า ‘ไม่มีใครกล้าฆ่าตน’
หรือ—
‘รู้ก่อนแล้วว่ามีคนจะมา’
เขาแตะมีดในถุงมือเบา ๆ ก่อนก้าวผ่านประตูไม้ที่ปิดไม่สนิท
เสียงลมพัดผ่านเบา ๆ ทำให้บานประตูขยับราวกับเชื้อเชิญ
ในห้องโถงใหญ่มีเพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันดวงเดียว ขับให้เงาปรากฏบนฝาผนังยาว… และตรงกลางห้องมีบุรุษคนหนึ่งนั่งพิงเสาไม้แดงอย่างสง่างามราวภาพวาด
หลิงเจวี๋ยหยุด
มือที่กำมีดแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
บุรุษผู้นั้นสวมชุดขาวสะอาดตัดด้วยเส้นลายทองบาง ๆ ความเรียบง่ายของชุดทำให้เขาโดดเด่นยิ่งกว่าแสงตะเกียง ดวงตาคู่สีดำคมราวกับผู้มีสายเลือดสูงศักดิ์โดยกำเนิด—แต่แฝงความอบอุ่นบางอย่างที่ทำให้ผู้มองรู้สึกคล้ายต้องการจะหลบสายตา
เขาไม่ใช่คนธรรมดา
ไม่ใช่ขุนนางที่เคยเห็น
และไม่เหมือนศัตรูที่หลิงเจวี๋ยเคยฆ่า
ชายคนนั้นยกสายตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“เจ้ามาแล้วสินะ เงามังกร”
หัวใจหลิงเจวี๋ยหยุดเต้นไปวินาทีหนึ่ง
ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเรียกเขาถูก…
แต่เพราะแววตาคู่นั้นไม่ได้มีความกลัว
มีเพียงความรู้สึกแปลกประหลาด—เหมือนรู้จักเขา…
ทั้งที่เขาไม่ควรมีอยู่ในโลกนี้
ไม่มีใบหน้า
ไม่มีชื่อ
ไม่มีความทรงจำที่ควรให้ใครจดจำ
หลิงเจวี๋ยรีบยกระดับการป้องกันตนเอง
เขารู้ตัว ข้าไม่ควรลังเล—ฆ่า
แต่ขณะที่เขาก้าวหนึ่งเพื่อเคลื่อนตัวเข้าหาอย่างไร้เสียง
ชายชุดขาวกลับถอดลมหายใจเบา ๆ
“เจ้ามาช้ากว่าที่คิด ข้ารอเจ้านานมาก”
ประโยคนั้นทำให้ร่างของหลิงเจวี๋ยหยุดอย่างกะทันหัน
เขายกมีดขึ้น—ปลายคมจ่อที่ลำคอของเป้าหมายห่างเพียงคืบ
“เจ้ากำลังพูดอะไร”
น้ำเสียงเขาเย็นเฉียบ
อี้หานมองเขาตรง ๆ
ไม่มีการขยับหนี
ไม่มีแม้แต่ความกลัวในดวงตา
“เจ้า…ไม่จำข้าเลยหรือ”
สายตาหลิงเจวี๋ยสั่นไหววูบหนึ่ง
ประโยคง่าย ๆ นั้นเหมือนมีดอีกเล่มที่กรีดลงกลางหัวใจ
เขาไม่มีความทรงจำว่าเคยพบใครก่อนถูกสร้างเป็นเงา
แต่คำพูดของชายตรงหน้าเหมือนสั่นคลอนอะไรบางอย่างที่ถูกฝังลึกในจิตใจ
ไม่…ข้าต้องฆ่าเขา
อย่าให้คำมุสาชักนำจิตใจ—อย่าสั่นไหว
แต่ก่อนที่เขาจะลงมือ อี้หานยิ้มบาง
รอยยิ้มไม่หวั่นไหว ไม่ยโส แต่เหมือนรอคอย
“แม้เจ้าจะลืม ข้าก็ยังจำเจ้าเสมอ… หลิงเอ๋อร์”
ปลายมีดในมือหลิงเจวี๋ยสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
ชื่อที่เขาไม่เคยบอกใคร
ชื่อที่ไม่เคยมีใครเรียก
ชื่อที่…เขาไม่ได้ยินมานานแค่ไหนแล้ว
อี้หานก้มลงเล็กน้อยเพื่อสบตา
ดวงตานั้นอบอุ่นจนทำให้แสงตะเกียงเหมือนหรี่ลง
“คืนวันนั้น… ข้าเป็นคนช่วยชีวิตเจ้าเอง”
ความทรงจำสีแดงฉานแล่นผ่านหัวหลิงเจวี๋ยวูบเดียว—เสียงฝน เสียงร้อง และมืออุ่นคู่นั้น
เขารีบกดมันลง ลมหายใจสะดุด
“โกหก…” เขากัดฟันกรอด “ไม่มีวันที่คนอย่างเจ้า—”
“คนอย่างข้า?” อี้หานหัวเราะเบา ๆ “ข้าก็แค่คนที่เคยกอดเด็กชายตัวน้อยที่ร้องขอชีวิตอย่างสิ้นหวัง… และข้ารู้ดีว่าตอนนี้เขายังคงอยู่ตรงหน้าข้า”
หลิงเจวี๋ยถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว
“หุบปาก—!”
“หลิงเจวี๋ย”
เสียงเรียกชื่อเขาชัดถ้อยชัดคำ
เอ่ยด้วยแววอ่อนโยนที่เขาไม่เคยได้รับจากใครในชีวิตเงาดำนี้
“หากเจ้าต้องการฆ่าข้า…ก็เชิญ”
อี้หานเอนตัวเล็กน้อย เผยลำคอขาวให้มีดเข้าถึงง่ายขึ้น
“แต่ก่อนที่เจ้าจะทำ ข้าอยากขอเพียงเรื่องเดียว”
หลิงเจวี๋ยกำมีดแน่น
อย่าเข้าใกล้—อย่าฟัง—อย่ารู้สึก
แต่ร่างกายของเขากลับเชื่อฟังไม่ได้แม้แต่คำสั่งของตัวเอง
“เรื่องอะไร…” เขาพึมพำเสียงต่ำ
อี้หานยกยิ้มมุมปาก—รอยยิ้มที่ดูเหมือนเอื้อมถึงหัวใจเขาอย่างง่ายดาย
“ขอให้เจ้ามองข้า…ด้วยตัวตนของเจ้า ไม่ใช่เงาของผู้ใด”
หลิงเจวี๋ยนิ่งค้าง
ลมหายใจขาดห้วงราวถูกบีบคอ
—ประโยคที่เรียกวิญญาณของเขากลับมา
—ประโยคที่ไม่เคยมีใครพูด
—ประโยคที่ทำให้เงามังกรผู้ไร้ตัวตน… ถูกสั่นคลอนไปทั้งหัวใจ
“ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”
คำนี้หลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว
อี้หานยิ้มอย่างสงบ
“ข้ารู้…เพราะเจ้าไม่เคยทำได้เลย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน”
หลิงเจวี๋ยสั่นไปทั้งตัว
มีดหลุดจากมือ ตกลงพื้นก้องกังวานราวเสียงโซ่ตรวนของอดีตที่แตกหักในชั่วขณะ
คืนแรกของภารกิจ… กลับกลายเป็นคืนที่เขาลงมือฆ่าไม่ได้
คืนที่เขาเริ่มตั้งคำถามกับโลกที่เขาอยู่
คืนที่เงา…เริ่มมีหัวใจขึ้นมาอีกครั้ง
และนี่คือเพียงจุดเริ่มต้นของความพังทลายทั้งหมด
ทั้งชีวิตของเขา
ทั้งชะตาของอี้หาน
ทั้งราชสำนักที่ซ่อนเงามังกรเอาไว้ในเงื้อมมือ
หลิงเจวี๋ยมองบุรุษตรงหน้าอีกครั้ง
คำถามนับพันถาโถมเข้ามา
แต่เขากลับถามออกคำเดียว…
“เจ้าเป็นใครกันแน่—อี้หาน”
อี้หานยิ้ม
ดวงตาคู่นั้นลับลึกจนไม่อาจอ่านได้
“คนที่เจ้าควรจำได้…ตั้งแต่แรกแล้ว หลิงเอ๋อร์”
และตะเกียงเพียงดวงเดียวในห้องก็ดับลง
ทิ้งเพียงความมืด—และความจริงที่กำลังจะเผยทีละชั้น