Peep peep peep
“ตีหนึ่ง น้าอรุณทำไมโทรมาตอนนี้ค่ะที่บ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า พ่อ! พ่อเป็นอะไรคะ” เด็กสาวเหลือบตาดูเวลาที่หัวเตียง แม้จะบอกว่าตอนนี้เจ็ดโมงเช้าที่อังกฤษแต่ที่ไทยคือตี1 ช่วงดึกสงัด
[ฟังน้าก่อนจ้ะหนูแพร น้าคิดว่าหนูน่าจะตื่นแล้ว ก็เลยโทรมาหาเท่านั้นเอง คุณพ่อหนูท่านแข็งแรงสุขสบายดี ดีเสียจนออกไปทำงานได้ทุกวันไม่เคยหยุดพักอยู่บ้านเลย]
“โถ่...อีกแล้วรึคะน้าอรุณ” ลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลได้ยินคำบอกเล่าจากพี่เลี้ยงก็อ่อนเพลียหัวใจ สิ่งเดียวที่จำความได้เกี่ยวกับพ่อก็คือ ท่านเป็นคนขยันทำงานอย่างหนักเพื่อรักษามาตรฐานบริษัทและพนักงานกว่าพันราย และนี้คือเหตุผลที่เธอตั้งใจเรียนให้จบโดยเร็วและไม่เคยว่อกแว่กสักนิดให้กับเรื่องไร้สาระไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม
[ไม่เอาอย่ามาชวนน้าคุยนอกเรื่อง]
ค่ะ?
[วันนี้หนูเป็นบัณฑิตแล้วนะคนเก่งของน้า ตั้งใจเรียนอีกไม่กี่ปีก็จะได้กลับบ้านแล้วนะ]
“แพรคิดถึงน้าอรุณกับพ่อ ปิดเทอมนี้ขอกลับไปเยี่ยมสักเดือนได้ไหมคะน้า” น้ำเสียงเด็กน้อยขออนุญาตอย่างน่าสงสาร แต่คนที่ตัดสินใจได้ไม่ใช่พี่เลี้ยงอรุณ คนที่จะบอกว่าได้รึไม่คือพ่อของเธอเท่านั้น
[แล้วน้าจะขอคุณพ่อให้นะลูก วันนี้ขอให้มีความสุขมากๆ ได้ข่าวว่าทางมหาลัยจัดปาร์ตี้นักศึกษาป.โทด้วยใช่ไหม]
.
.
.
[หนูแพร อดทนอีกนิดนะน้ารู้ว่าหนูอยากกลับบ้าน น้าจะคุยกับคุณพ่อให้นะลูกไม่ต้องเศร้าไปนะ]
คนปลายสายแม้จะเลี้ยงดูแพรพรรณเพียงไม่กี่ปีแต่ก็รู้ดีว่าเด็กสาวคนไกลคนนี้มีนิสัยเป็นเช่นไร ก็เธอปลูกฝังให้กตัญญูต่อพ่อบังเกิดเกล้า และตั้งใจเรียนให้จบโดยเร็วจะได้กลับมาแบ่งเบาคนชรา
“เดี๋ยวน้าอรุณโดนคุณพ่อดุเอา ไม่เป็นไรคะน้าแพรโอเค” เด็กสาวสะกดน้ำเสียงที่แอบสะอื้นให้เป็นปกติก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย เธอกับคนในสายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอยู่นานกว่าจะล่ำลา
แพรพรรณได้รับพรจากพี่เลี้ยงอรุณชุดใหญ่จนแก้มปริก่อนจะละตัวจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัว
สาวเอเชียในชุดครุยสีกรมเข้มแต่งแถบสีฟ้าและหมวกเข้ากันอย่างลงตัว เธอฉีกยิ้มสดใสแต่ดวงตาแสนเศร้าสร้อยที่วันดีๆ อีกวันต้องอยู่เพียงลำพังคนเดียวตามเคย วันจบเกรดหกที่ไฮสคูลก็ยืนเดียวดาย วันจบการศึกษาปริญญาตรีจนถึงปริญญาโทก็เช่นเคย
ในชีวิตของลูกเศรษฐีผู้ร่ำรวยโดดเดี่ยวไม่มีใครข้างกาย ไม่ว่าจะเป็นวันเกิด วันขึ้นปีใหม่หรือวันอะไรๆ ก็ต้องอยู่ที่อังกฤษและพยายามชินกับความอ้างว้าง แพรพรรณพยายามไม่คิดว่าพ่อเอาเธอมาทิ้งที่นี่ หนำซ้ำยังไม่เคยอนุญาตให้กลับไปเหยียบที่บ้านเลยสักครั้งบอกให้เธอเรียนรู้ชีวิตเพื่อจะได้แข็งแกร่งขึ้น
จากวันนั้นจนถึงปัจจุบันก็16 ปีเข้าไปแล้ว ความทรงจำในวันแรกที่มาเหยียบที่นี่ เธอพยายามร้องไห้อ้อนวอนเท่าไรแต่พ่อก็ยังคงยืนยันหนักแน่นว่าเธอ “ต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวให้ได้” พ่อแท้ๆ บังเกิดเกล้าพูดไว้แต่เพียงเท่านั้น
คนฟังจำฝังใจได้ดีตั้งแต่ตอนอายุสิบปี จนตอนนี้ยี่สิบเจ็ดเข้าไปแล้ว
Hi sis...what long?
Hi Bobby , Hi Barry
สองเพื่อนรักไบร์ทตันและแบร์รี่ที่เข้ามากอดคอทักทาย มิตรภาพระหว่างสามคนนี้ยาวนานตั้งแต่ปีหนึ่งคณะบริหารจนจบปริญญาโท
This's great day... smile^^"
Yes,I know.
มือหนาใหญ่เท่าใบลาประคองแก้มใสและดึงจนมุมปากแพรพรรณแยกออกจากกัน แบร์รี่ตั้งใจจะให้แพรยิ้มรับวันดีๆ แต่ทำแล้วกลับดูเหมือนกำลังแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว
Smile...?
ไบร์ทตันยกมือถือขึ้นมาถ่ายเซลฟี่กับเพื่อนสนิทอีกสองคน จากนั้นเพื่อนคนอื่นๆ ก็เข้ามาร่วมเฟรมอีกมากมาย
เธอเหมือนน้องสาวคนเล็กผู้บอบบางและแสนดีจนทั้งคู่เอ็นดูแพรพรรณ พวกเขาลูบหัวหญิงสาวอย่างสนิทสนมและกอดกันอย่างแนบชิดเพราะทำกันจนเป็นนิสัยปกติธรรมดา
‘หน้าด้าน’
.
.
.
ประเทศไทย
[นายหัวจะให้ผมไปรับไหมครับ]
"ไม่ต้อง! เสียเวลา! เจอกันที่ชายป่าได้เลย"
[ครับ]
ณ เวลาดึกสงัดที่คนทั่วไปจะนอนหลับสบายอยู่บนเตียงอุ่นๆ ในบ้านของตัวเอง แต่กลับมีกลุ่มโจรชั่วที่กล้ากระตุกหนวดเสืออย่างกวินภัทรเจ้าของไร่โพธิพรรณ
พวกมันย่ามใจเพราะข่าวลวงว่านายหัวผู้ดุดันออกไปทำธุระหลายวันทิ้งไร่ให้คนงานดูแล
มันไม่รู้เลยว่าคนฉลาดเป็นกรดอย่างนายหัวกวินภัทรตั้งใจปล่อยข่าวว่าจะไม่อยู่นานถึงสองสัปดาห์ แต่จริงๆ แล้วไปเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น สรุปว่าคนในไร่เป็นหนอนบ่อนไส้ หักหลังกันจนได้
และวันนี้ก็เป็นคราวซวยของพวกมันที่ย่ามใจเข้ามาขโมยแม่โคนมพันธุ์ดีราคาหลักแสนที่เขาเลี้ยงมาจนโต
วัยที่กำลังให้น้ำนมคุณภาพดี และเป็นวัยที่สามารถขายต่อเป็นแม่พันธุ์ชั้นดีเอาไว้ออกลูกออกหลานได้อีกมากมาย
แกร๊ก..!!
แสงประกายไฟสว่างวาบจากไฟแช็กเพียงชั่วครู่มอดดับลงส่งต่อเป็นแสงสีส้มเล็กๆ ที่ปลายมวลสีขาวขุ่นในความมืดมิดของค่ำคืน
เหล่าชายฉกรรจ์เกือบยี่สิบนายยืนพ่นควันที่มองไม่เห็นในคืนมืดสนิทเฝ้ารอเวลาอย่างเงียบกริบแม้แต่เสียงหายใจก็ไม่มีให้ได้ยิน เป็นไปตามที่คิดไว้ว่าตีสองจะมีคนมาเปิดคอกโคนมและฉุดกระชากลากจูงมันไปยังรถที่จอดรออยู่ชายป่าไกลๆ โน้น ซึ่งนายหัวกวินภัทรพร้อมพวกดักรออยู่นานแล้ว
เฮ้ย!
ปั้ง!
ปั้ง!
ปั้ง!
เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวหลายนัดก่อนจะเงียบสงบลง และแน่นอนว่ากระสุนไม่ผ่านร่างใครให้เสียเลือดสักคนเลยไม่ต้องวุ่นวายหามแร่ส่งโรงพยาบาล แต่สิ่งที่น่ากลัวกำลังจะเกิดขึ้นกับพวกมันต่อจากนี้
‘นาย...หัว...ได้...โปรด...ไว้ชีวิตผม’
หนึ่งในนั้นจำได้เป็นอย่างดีว่านี่ใคร และมันก็กลัวจัดจนเยี่ยวแตกเปียกเลอะหน้าขา
“เลี้ยงไม่เชื่องอย่างมึงกูควรไว้ชีวิตรึไง” คนพูดคาบบุหรี่มวนใหม่ในปาก
กวินภัทรปรายตามองเศษสวะและยกเท้าเตะเข้าที่ปลายทางเต็มแรงอย่างไม่เมตตาปรานี
ผลัวะ!!
“แปลงมันท้ายไร่ต้องใส่ปุ๋ยพอดี จัดการพวกมันที่นั่น” น้ำเสียงนิ่งเรียบเย็นจัดจนโจรกระจอกร้องไห้ครวญคราง พวกมันเอาแต่ร้องว่า ‘ผิดไปแล้วๆ ,เมตตาด้วยๆ’
“นายหัวเมียผมกำลังท้อง…ได้โปรดเถิดได้โปรดผมทำไปเพราะความจำเป็นเท่านั้น”
“จำเป็น? กูก็ทำไปด้วยความจำเป็นเหมือนกัน”
รอยยิ้มแสยะแลดูเยือกเย็นของกวินภัทรที่จ้องมองโจรสองนายผู้โชคร้ายที่เสือกมาปล้นโคนม คนอย่างนายหัวกวินภัทรมั่นใจว่าเลี้ยงดูคนงานทุกคนให้อยู่ดีกินดีแลกกับความซื่อสัตย์และผลงาน
แต่ใครก็ตามที่กล้ามาหยามเหยียดล้ำเส้นกันรับรองว่าเขาพร้อมตอกกลับให้เจ็บเจียน ‘ตาย’