ตอนที่ 1
บ้านหลังใหญ่เก่าแก่ตั้งอยู่กลางพื้นที่เกือบไร่ริมถนนเลี่ยงเมืองพิษณุโลกด้านหน้าเป็นพื้นที่ว่าเปล่าแต่ในอดีตที่รุ่งเรืองเป็นสนามหญ้าสวยงามส่วนด้านหลังบ้านเป็นสวนผักผลไม้มีทั้งมะม่วงลำไยน้อยหน่ามะพร้าวขนุนและสวนผักติดแม่น้ำน่านและมีบ้านพักคนงานสองหลังภายในสวนซึ่งหนึ่งในนั้นเคยบ้านของนายพยนต์กับนางน้อมจิตสองตายายอาศัยอยู่เพราะทั้งสองทำงานที่นี่มีลูกสาวหนึ่งคนชื่ออรพินที่รักกับชาคริตลูกชายเจ้านายแต่ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองคบหากันจนกระทั่งชาคริตพบรักใหม่กับลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังและฝ่ายหญิงตั้งครรภ์จึงแต่งงานกันแล้วย้ายไปอยู่กรุงเทพทั้งที่อรพินกำลังตั้งครรภ์เช่นกันพอคุณเตชธรรมกับคุณสิรามนรู้เรื่องก็รับเป็นหลานและให้ลูกชายมาเซ็นรับรองบุตรและชาคริตก็ยอมแลกกับที่ดินของพ่อแม่ที่มีอยู่พันกว่าไร่และจะไม่ยุ่งกับที่ดินบ้านหลังใหญ่ที่พ่อแม่อาศัยอยู่แต่สุดท้ายชาคริตก็ผิดคำพูดมาขอยืมโฉนดที่ดินของแม่ไปค้ำประกันธุรกิจแต่กลับเอาไปจำนองกับธนาคารและขาดส่งมาหลายเดือนจนกระทั่งทางธนาคารมีจดหมายแจ้งมาตามที่อยู่ของเจ้าของโฉนดทำให้คุณสิรามนถึงกับเป็นลม
“คุณย่าคะ ทำใจดีๆไว้ก่อนค่ะ” เสียงหวานของหลานสาวดังขึ้นพร้อมกับยาดมจ่อจมูกทำให้คุณสิรามนลืมตาขึ้นมอง
“แม่เอ๋ย” สิริมนเรียกหลานสาวเบาๆแล้วน้ำตาไหลออกมาเมื่อเธอไม่สามารถปกป้องหลานสาวได้ทั้งที่เธอไม่ได้มีหลานสาวแค่ลิปการ์แต่ลูกชายคนเดียวยังมีลูกอีกสองแต่อาศัยอยู่ที่กรุงเทพนานๆจะมาหาสักครั้ง มีแต่ลิปการ์ที่คอยดูแลเธอมาตลอดและวันนี้มีจดหมายจากธนาคารบอกว่าอีกสองเดือนหากไม่นำเงินไปชำระหนี้ที่กู้เงินไปก็จะถูกยึดที่ดินผืนของเธอที่เก็บไว้ให้ลิปการ์
“จดหมายว่ายังไงคะคุณย่า” ลิปการ์สาวสวยหวานน่ารักผิวขาวนวลเนียนใบหน้าเกลี้ยงเกลารูปร่างอวบอิ่มอรชรสมส่วนอกเอวสะโพกรับกันเหมาะสูงหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซ็นติเมตรอายุยี่สิบสี่ปีเรียนจบจากมหาวิทยาลัยดังในจังหวัดพิษณุโลกก็ทำงานที่บริษัทขายรถยนต์ยี่ห้อดังในตำแหน่งพนักงานบัญชีทั้งที่จบมนุษย์ศาสตร์เอกภาษาอังกฤษและจีนเพราะพี่ระหัสเป็นผู้จัดการแล้วแนะนำเธอและที่ทำงานอยู่ใกล้บ้านแล้วเป็นห่วงย่าตายายที่อายุมากแล้วเธอต้องดูแลท่าน
“พ่อของเอ๋ยเอาไปเข้าแบงค์แล้วไม่จ่ายดอกเบี้ยและต้นทางธนาคารจะมายึดบ้านเราแล้วลูก เรามีเวลาสองเดือนที่จะหาเงินมาใช้หนี้ทั้งหมด” คุณสิริมนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความเสียใจที่ลูกชายคนเดียวของเธอเห็นแก่ตัวไม่คิดถึงลิปการ์ลูกสาวคนโตที่ถูกพ่อละเลยมีแค่เธอกับสามีและตายายเท่านั้นที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แม่จากไปตอนอายุสามขวบ
“เท่าไหร่คะคุณย่า” ลิปการ์ถามย่าด้วยความสงสารท่านและโกรธผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนั้นที่ทำให้ย่าเสียใจ
“สามสิบล้านยังไม่รวมดอกเบี้ย”
“สามสิบล้าน” ลิปการ์พูดเสียงดังเมื่อได้ยินจำนวนเงินที่ย่าบอกว่าพ่อเอาที่ดินไปจำนองกับธนาคาร “แล้วเราจะไปหาเงินที่ไหนมาคะคุณย่า”
“ย่าก็ไม่รู้เหมือนกันลูก เดี๋ยวย่าจะเข้ากรุงเทพไปคุยกับพ่อชาก่อน เอ๋ยไปกับย่านะ” ตอนนี้เธอต้องคุยกับลูกชายให้รู้เรื่องว่าจะทำยังไงกับหนี้สินก้อนนี้หากเทียบกับธุรกิจของลูกชายมันก็ไม่ใช่เงินมากมายและเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมลูกชายเอาที่ดินไปจำนอง
“คุณย่าจะไปกรุงเทพเมื่อไหร่คะ เอ๋ยจะได้ลางานถูกค่ะ” เธอไม่ปล่อยให้ย่าเดินทางไปกรุงเทพคนเดียวแน่แม้ไม่อยากเจอคนเป็นพ่อกับครอบครัวและไม่คิดจะไปเหยียบบ้านของพวกเขา
“ไปเช้าวันอาทิตย์ก็ได้ลูก เอ๋ยจะได้ไม่ต้องลางาน” หากไม่จำเป็นเธอจะไม่ให้หลานสาวลำบากใจที่ต้องไปเจอครอบครัวของพ่อและเข้าใจดีที่หลานสาวไม่เคยเรียกลูกชายของเธอว่าพ่ออีกหลังจากงานศพของสามีของเธอ
“ค่ะคุณย่า เดี๋ยวเอ๋ยจะเอารถไปเช็คด้วยค่ะ” ลิปการ์บอกย่าเพื่อความปลอดภัยเพราะเธอมีรถอีโคคาร์คันเล็กเพื่อขับไปทำงานและพาตายายย่าไปทำธุระและไปหาหมอยามไม่สบายและมีรถกระบะของตาที่เอาไว้ขนผักผลไม้ไปส่งตลาด
“เราไปรถไฟก็ได้ลูก” คุณสิรามนไม่อยากให้หลานสาวลำบากเพราะนานๆจะเข้ากรุงเทพไม่รู้จักถนนหนทาง
“ไปรถไฟคุณย่าจะลำบากขึ้นรถลงรถและต่อรถอีกไหนจะกระเป๋าอีก เอ๋ยว่าขับรถไปเองแล้วจับจีพีเอสไปไม่หลงหรอกค่ะคุณย่า” ลิปการ์ตอบย่าแม้ว่าเธอจะไม่คุ้นชินถนนหนทางในกรุงเทพแต่ยุคนี้มีจีพีเอสนำทางก็ไม่น่าจะหลง
“เอาอย่างนั้นเหรอลูก”
“ค่ะคุณย่า เดี๋ยวเอ๋ยชวนยายไปด้วยขากลับเราจะได้แวะไหว้พระที่อยุธยาด้วยไงคะ” เธอไม่ได้พาย่ากับยายไปไหว้พระทำบุญต่างจังหวัดมานานแล้ว
“ดีลูก ย่าไม่ได้ไปไหว้พระแถวนั้นนานแล้ว เดี๋ยวย่าจะโทรนัดพ่อของเอ๋ยก่อนนะลูก” คุณสิรามนยิ้มให้หลานสาวยังไงเธอก็จะเอาที่ดินผืนนี้กลับมาให้ลิปการ์ให้ได้แม้จะต้องมีปัญหากับลูกชายก็ตามก่อนจะโทรหาลูกชาย
“สวัสดีครับคุณแม่ มีอะไรหรือเปล่าครับถึงได้โทรหาผม” ชาคริตรับสายแม่ที่นานทีปีหนจะโทรหาเขาและเขาเองก็จะแวะไปหาแม่ปีละครั้งครั้งแต่ช่วงหลังนี่ไม่ได้ไปเลยเพราะงานรัดตัวและลูกชายก็ไม่เอาไหนให้มาช่วงานก็ไม่ช่วยและทำธุรกิจอะไรก็ไปไม่รอดจนเขาหนักใจเพราะภรรยากับพ่อตาแม่ยายตามใจ
“วันอาทิตย์นี้แม่จะเข้าไปหาพ่อชาที่กรุงเทพนะ แม่มีธุระจะคุยด้วยน่ะ” คุณสิรามนตอบลูกชายที่ไม่ได้เจอกันเป็นปีแล้ว
“คุณแม่มีธุระด่วนหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมไปหาที่พิดโลกก็ได้ครับ” ชาคริตบอกแม่เขาไม่ได้ไปหาท่านนานแล้วหากไม่มีธุระจริงท่านคงไม่โทรหา
“เอาอย่างนั้นเหรอ วันเสาร์นี้มาได้มั้ยลูก”
“ได้ครับคุณแม่ วันเสาร์ผมจะไปหานะคุณแม่จะได้ไม่ลำบากเดินทางมากรุงเทพ” ชาคริตไม่อยากให้แม่มาหาเขาที่กรุงเทพเพราะไม่อยากมีปัญหากับภรรยาที่ไม่พอใจแม่ของเขายกที่ดินและบ้านให้ลูกสาวคนโตที่เกิดกับอรพินผู้หญิงที่เขารักแต่ไม่สามารถแต่งงานอย่างออกหน้าออกตาได้เพราะอรพินเป็นลูกสาวคนรับใช้บ้านของเขาพอเจอกับทิติพรไฮโซสาวแสนสวยทายาทคนเดียวของรองนายกรัฐมนตรีในยุคนั้นเขาก็ตกหลุมรักและมีความสัมพันธ์กันในชั่วข้ามคืนทำให้ทิติพรท้องเขาจึงแต่งงานกับทิติพรเพราะตอนนั้นพ่อของเขายังเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมีหน้ามีตามีชื่อเสียงมีเงินทองและมารู้ภายหลังว่าอรพินท้องเขาจึงปฏิเสธไม่รับผิดชอบเพราะกลัวภรรยาจะรู้เรื่องแต่สุดท้ายทิติพรก็รู้เรื่องจนได้และยื่นคำขาดให้เขาอยู่กรุงเทพไม่ให้กลับพิษณุโลกยกเว้นไปเยี่ยมพ่อแม่พร้อมกับเธอและไม่ยอมค้างคืนที่บ้านและจะไปแค่ปีละครั้งจนกระทั่งอรพินเสียชีวิตเขาก็กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ปีละครั้งเหมือนเดิมส่วนลูกๆก็นานๆครั้งเพราะไม่ชอบที่มีปู่ย่าเป็นคนบ้านนอกจนกระทั่งพ่อของเขาจากไปก็ยิ่งทำให้เขาก็ห่างเหินกับที่บ้านมากขึ้น
“ดีลูก แม่เอ๋ยจะได้ไม่ลำบากขับรถไปกรุงเทพ” คุณสิรามนพูดกับลูกชายที่ไม่เคยดูดำดูดีลูกสาวคนโต
“คุณแม่จะมากรุงเทพกับเด็กเอ๋ยเหรอครับ ไม่ได้นะครับ ต่อไปถ้าคุณแม่จะมาหาผมก็โทรมาหาผมแล้วผมจะให้รถไปรับนะครับอย่าให้เด็กเอ๋ยมาที่บ้านของคุณพร ผมไม่อยากมีปัญหาครับ” ชาคริตพูดกับแม่เพราะคิดว่าแม่อยู่คนเดียวแต่เขาคิดผิดเพราะแม่ของเขาเปิดลำโพงทำให้ลิปการ์ได้ยินเต็มสองหู
“ทำไมแกพูดแบบนี้ตาชา แม่เอ๋ยเป็นลูกของแกนะ” คุณสิรามนพูดกับลูกชายด้วยความไม่พอใจที่ไม่ยอมรับลิปการ์เป็นลูกทั้งที่อรพินยอมตรวจดีเอ็นเอเพื่อให้ทุกคนรู้ว่าเธอท้องกับชาคริตจริงและผลออกมาก็ชัดเจนว่าลิปการ์เป็นลูกของชาคริตจริงและเป็นหลานสาวแท้ๆของเธอ
“ผมรู้ว่าเด็กเอ๋ยเป็นลูก ผมก็เซ็นรับรองบุตรให้ตามที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการแล้วจะเอาอะไรกับผมอีกตอนนี้ผมมีครอบครัวมีความสุขดีอยู่แล้วคุณแม่อย่ามารื้อฟื้นเรื่องเก่าขึ้นมาให้ผมมีปัญหาอีกเลยนะครับ ต่างคนต่างอยู่แบบนี้ดีแล้วครับ” ชาคริตพูดอย่างเห็นแก่ตัวเพราะตอนนี้ครอบครัวของเขามีความสุขดีหากลิปการ์มาที่นี่ก็จะทำให้ครอบครัวของเขามีปัญหาเพราะภรรยาไม่ยอมให้ใครรู้ว่าเขาเคยมีลูกมาก่อนที่จะแต่งงานและเขาก็ต้องเลือกครอบครัวของเขา
“แล้วอย่าลืมล่ะวันเสาร์แม่จะรอถ้าแกไม่มาแม่จะไปหาที่กรุงเทพงั้นแค่นี้แหละ” คุณสิรามนโกรธลูกชายและมองหลานสาวอย่างสงสาร
“ครับคุณแม่” ชาคริตพูดจบก็วางสายจากแม่แล้วถอนหายใจทุกวันนี้เขาอยู่สุขสบายมีเงินทองเป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียงเพราะได้แรงดันสนับสนุนจากพ่อตาจะทำอะไรก็เกรงใจและต้องยอมอ่อนข้อให้ภรรยาตลอดจนภรรยาได้ใจ
คุณสิรามนวางสายจากลูกชายแล้วลูบศีรษะหลานสาวเบาๆทุกวันนี้ก็ได้หลานสาวคนนี้ดูแลหากไม่มีลิปการ์ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ยังไงส่วนหลานอีกสองคนที่อยู่กรุงเทพเธอก็รักแต่ไม่ได้เลี้ยงดูอยู่ด้วยกันจึงไม่มีความผูกพันเหมือนลิปการ์ที่เธอทั้งรักและเป็นห่วง
“เอ๋ยอย่าคิดมากนะลูก”
“เอ๋ยไม่คิดมากหรอกค่ะคุณย่า เอ๋ยก็ไม่คิดจะไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาต่างคนต่างอยู่แบบนี้ดีแล้วค่ะ” เธอก็ไม่เคยคิดถึงพ่อและคิดมาตลอดว่าตัวเองไม่มีพ่อเพราะเธอใช้นามสกุลของตาจึงไม่มีใครรู้ว่าเป็นลูกของคุณชาคริตนอกจาคนใกล้ชิดสมัยก่อนก็เท่าอายุเธอ
“ย่ารักเอ๋ยนะลูก” คุณสิรามนพูดกับหลานสาวอย่างอ่อนโยน
“เอ๋ยก็รักคุณย่าค่ะ เดี๋ยวเอ๋ยไปช่วยยายทำอาหารเย็นก่อนนะคะ” ลิปการ์ยิ้มให้ย่าก่อนจะขอตัวไปช่วยยายทำอาหารเย็น
“ไปเถอะลูก”
ลิปการ์ลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั่งเล่นที่สะอาดสะอ้านเพราะเธอกับยายช่วยกันทำความสะอาดแม้ด้านนอกจะดูเก่าแต่ในบ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย
“ยายจ๋าทำอะไรคะ” เสียงหวานถามยายที่ยืนอยู่หน้าเตาเพื่อทำอาหารให้ทุกคนในบ้านรับประทานก็มีเธอย่าตายายส่วนคนงานอีกสองครอบครัวก็ทำอาหารกินเองและทุกคนก็มีเงินเดือนจากการทำสวนที่ไม่ได้มีกำไรมากมากแต่ก็พอเลี้ยงทุกคนไม่ให้ลำบาก
“พอดีตาเขาวิดท้องร่องแล้วได้ปลาช่อนมาหลายตัวเย็นนี้ยายทำแกงส้มปลาช่อนใส่มะละกอกับห่อหมกปลาช่อนน่ะลูก แล้วคุยอะไรกับคุณมนเธอล่ะลูก” นางน้อมถามหลานสาวที่เลิกงานมาถึงก็เข้าไปคุยกับย่าในบ้าน
“เราอาจจะต้องย้ายออกจากที่นี่ค่ะยาย” ลิปการ์พูดกับยายเบาๆ
“อะไรนะ เอ๋ยบอกว่าเราจะย้ายออกจากที่นี่มีเรื่องอะไรเหรอลูก” นางน้อมถามหลานสาวด้วยความตกใจหากย้ายออกจากบ้านหลังนี้แล้วพวกเธอจะไปอยู่ที่ไหนเพราะตั้งแต่แต่งงานกับสามีก็มาทำงานที่บ้านนี้สี่สิบกว่าปีญาติพี่น้องก็อยู่คนที่คนละทางที่ดินสักผืนก็ยังไม่มี
“คุณชาเอาบ้านหลังนี้พร้อมที่ดินผืนนี้ไปจำนองกับธนาคารแล้วไม่ยอมส่งเงินต้นเงินดอกและทางธนาคารก็ให้เวลาสองเดือนหาเงินไปจ่ายดอกจ่ายต้นไม่งั้นจะถูกยึดค่ะ”
“อกอีน้อมจะแตก ทำไมมันเลวแบบนี้นะแล้วคุณมนว่ายังไงลูก” นางน้อมถึงกับหมดแรงจนทัพพีร่วงจากมือเสียงดังเมื่อได้ยินหลานสาวพูดแม้เธอจะทำใจเรื่องลูกสาวที่ทะเยอทะยานคิดว่าชาคริตจะรักจริงแต่สุดท้ายก็ถูกทิ้งทำให้ลูกกพร้าพ่อทั้งที่พ่อยังมีชีวิตอยู่และเธอก็ปล่อยวางไปแล้ว แต่สำหรับชาคริตเธอก็เจ็บแค้นแทนหลานสาวที่พ่อไม่ยอมรับไม่มาเหลียวแลแม้แต่หางตา
“ยายไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวเอ๋ยจะหาที่อยู่ใหม่สำหรับพวกเราเป็นห่วงแต่ครอบครัวของลุงสมกับลุงดำไม่รู้จะทำยังไงค่ะ” ลิปการ์พูดอย่างหนักใจเพราะเงินจำนวนสามสิบกว่าล้านเธอไม่มีปัญญาหามาใช้คืนแน่นอนเพราะทุกวันนี้เธอทำงานกินเงินเดือนก็พอค่าใช้จ่ายบ้านและคุณย่ายังมีเงินทุนสำรองที่กันไว้สำหรับทำสวนและมีเงินเก็บอีกจำนวนหนึ่งและอีกส่วนจากประกันชีวิตของคุณปู่ที่เก็บไว้เป็นสำหรับฉุกเฉินและยังมีที่ดินที่จังหวัดเชียงใหม่อีกสองแปลงที่พ่อของเธอไม่รู้ก็พอทำให้ทุกคนไม่ลำบากเพราะย่าเป็นคนรอบคอบท่านจัดสรรเงินทองไว้เป็นระเบียบหากไม่จำเป็นเธอก็ไม่เอาออกมาใช้เพราะท่านให้เธอเป็นคนเก็บทุกอย่างไว้
“เอ๋ยเอ้ย ลำบากหลานยายแล้วลูก” นางน้อมพูดกับหลานสาวแล้วโอบกอดลูบหลังเบาๆ
“เอ๋ยไม่เป็นไรไปคะ ย่าตายายเลี้ยงดูเอ๋ยมาจนโตก็ลำบากไม่น้อยเอ๋ยจะไม่ทำให้ย่าตายายลำบากค่ะ” ย่าตายายช่วยกันเลี้ยงเธอมาจนโตท่านก็ลำบากมามากแล้วเธอจะไม่ทำให้พวกท่านลำบากเช่นกัน
“เอ๋ยเป็นเด็กดีกตัญญูรู้คุณแบบนี้ยายก็ชื่นใจแล้วลูก ไปเปลี่ยนชุดเถอะเดี๋ยวจะได้มากินข้าว” นางน้อมบอกหลานสาวที่เธอรักมากกว่าลูกสาวเสียด้วยซ้ำและลูกสาวของเธอมันเลือกผัวผิดแล้วยังชิงจากไปก่อนทิ้งลูกเล็กไว้ให้เธอกับสามีและปู่ย่าเลี้ยงโดยที่พ่อไม่สนใจและไม่คิดว่าเป็นลูก
“เดี๋ยวเอ๋ยมานะคะยาย จุ๊บ” ลิปการ์พูดจบก็หอมแก้มยายก่อนจะเดินเข้าในบ้านหลังใหญ่ที่เมื่อตอนปู่มีชีวิตอยู่สวยงามและมีผู้คนเข้าออกตลอดเวลาแต่พอปู่หมดอำนาจบารมีผู้คนก็ห่างหายไปนานๆถึงจะมีคนที่ยังเคารพแวะมาเยี่ยมเยียนแต่พอปู่เสียทุกอย่างก็เงียบหายไปตามกาลเวลาทำให้ที่นี่เงียบเหงาเหลือแค่สี่คนในบ้านและคนงานอีกสองครอบครัวที่เธอหนักใจไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือยังไง
“เฮ้อ เวรกรรมอะไรของหลานฉันนะ” นางน้อมมองตามหลังหลานสาวแล้วถอนหายใจ
เวลา 18.30น.
สมาชิกในบ้านทั้งสี่คนก็มานั่งทานอาหารเย็นด้วยกันโดยไม่มีเจ้านายลูกน้องแต่เป็นคนในครอบครัวเดียวกันที่เหลืออยู่และดูแลกันมานาน
“นายยนต์กับแม่น้อมรู้เรื่องบ้านของเราติดจำนองแล้วใช่มั้ย” คุณสิรามนพูดขึ้นหลังจากทานอาหารเย็นอิ่มแล้วเพื่อหารือกันว่าจะทำยังไงกันต่อไป
“ค่ะ/ครับคุณมน”
“ฉันไม่คิดว่าจะมาเสียบ้านตอนแก่แบบนี้ ฉันไม่น่าเชื่อตาชาเลยทั้งที่ฉันตั้งใจเก็บบ้านและที่ดินผืนนี้ให้แม่เอ๋ยแต่สุดท้ายฉันก็ยังเห็นแก่ตัวให้ลูกชายไป ฉันเป็นย่าที่แย่จริงๆ”คุณสิรามนว่าตัวเองแต่ยังไงเธอก็ตัดลูกไม่ได้
“คุณย่าอย่าพูดแบบนี้สิคะ ที่ผ่านมาคุณย่าดูแลเอ๋ยมาเป็นอย่างดีส่วนของพวกนี้มันเป็นของนอกกายอย่าไปยึดติดกับมันนะคะ และเงินมากมายขนาดนั้นมันเกินกำลังที่เราจะยื้อไว้ค่ะ” เธอไม่ได้ยึดติดทรัพย์สินที่ไม่ใช่ของตัวเองแค่ปู่ย่าเลี้ยงดูให้การศึกษาเธอก็เป็นพระคุณมากแล้ว
“รอให้ย่าคุยกับตาชาก่อนแล้วเราค่อยมาคิดกันว่าจะเอายังไง ยังไงย่าก็ยังมีที่ดินเหลืออีกสองแปลงและมีเงินเก็บที่จะช่วยพวกเราได้นายยนต์กับแม่น้อมไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ” คุณสิรามนพูดกับคนสนิททั้งสองและยังเป็นตายายของหลานสาว
“ฉันกับตายนต์ก็พอมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่งเหมือนกันค่ะ” นางน้อมบอกเจ้านายที่ตอนนี้กลายเป็นครอบครัวเดียวกันดูแลกันมาตลอด
“ฉันขอโทษแทนลูกชายของฉันด้วยนะนายยนต์แม่น้อม”
“ไม่เป็นไรครับคุณมน มันเป็นกรรมของนังอรลูกสาวของผมเองที่มันมักใหญ่ใฝ่สูงโดยไม่มองกำพืดของตัวเองจนทำให้ลูกพลอยลำบากไปด้วย ดีว่าเอ๋ยเป็นเด็กดีและเข้มแข็งถึงยืนหยัดอยู่มาได้” พยนต์พูดปลดปลงๆเขาไม่คิดโกรธแค้นชาคริตที่ไม่สนใจลูกสาวแค่หลานคนเดียวเขาเลี้ยงได้และยังมีปู่ย่าที่ช่วยเหลือแค่เห็นหลานมีความสุขเขาก็พอใจแล้ว
“เอาเถอะเดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง แม่น้อมกับนายนต์ไปพักผ่อนเถอะเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว” คุณสิรามนบอกตายายของหลานสาวที่เป็นคนดูแลสวนผักผลไม้ที่พอจะสร้างรายได้เลี้ยงทุกคนโดยไม่เอาเงินเก็บออกมาใช้
“ครับคุณมน เอ๋ยก็ดูแลย่าด้วยนะลูกตาจะไปปิดบ้านก่อน” พยนต์พูดกับหลานสาวอย่างอ่อนโยนผิดกับหน้าตาที่ดุดัน
“ค่ะตา” ลิปการ์ยิ้มให้ตายายที่พักอยู่ห้องชั้นล่างคนละฝั่งกับห้องของย่าส่วนเธอพักชั้นบนคนเดียวแต่พอย่าแก่แล้วก็มานอนเป็นเพื่อนท่าน
เมื่ออาบน้ำแล้วลิปการ์ก็ลงมาชั้นล่างเพื่อนอนเป็นเพื่อนย่าเหมือนทุกคืนและเช้ามาเธอก็ตื่นมาช่วยยายทำอาหารและทานอาหารเช้าก่อนจะไปทำงาน
ถัดมาอีกสามวันที่คุณสิรามนนัดลูกชายไว้และวันนี้ลิปการ์ไปทำงานแม้จะเป็นวันเสาร์แต่ที่บริษัทก็ยังทำงานหยุดแค่วันอาทิตย์ทำให้ไม่เจอคนเป็นพ่อที่มากับภรรยา
“สวัสดีครับ/ค่ะคุณแม่”
“สบายดีนะแม่พร” คุณสิรามนรับไหว้ลูกชายลูกสะใภ้
“สบายดีค่ะ พรซื้อเครื่องดื่มบำรุงกำลังมาฝากคุณแม่ด้วยค่ะ” ทิติพรพูดกับแม่สามีที่ไม่ได้เจอกันมาปีกว่าเพราะเธอไม่อยากมาแต่ครั้งนี้ท่านบอกให้สามีมาหาบอกว่ามีธุระจะคุยด้วยเธอคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดินผืนนี้จึงมาด้วยและเธอต้องมาทุกครั้งเพราะกลัวสามีจะสนใจนังลูกคนใช้แล้วยกมาเสมอตนกับลูกๆของเธอ
“ขอบใจนะแม่พร น้ำท่าในตู้เย็นก็หยิบเอาเองนะพอดีบ้านนี้มีคนใช้น่ะ” คุณสิรามนบอกลูกสะใภ้ที่กวาดสายตามองหาหลานสาวของเธอ
“ค่ะคุณแม่” ทิติพรยิ้มเจื่อนเมื่อแม่สามีพูดอย่างรู้ทันเธอ
“คุณแม่มีอะไรจะพูดกับผมเหรอครับ พอดีผมจะตีรถกลับเลย” ชาคริตถามแม่เพราะไม่รู้เรื่องโฉนดที่ดินของแม่ที่เอาไปค้ำประกันธุรกิจได้ถูกภรรยาเอาออกไปจำนองกับธนาคารที่เพื่อนของพ่อเป็นเจ้าของเรื่องจึงเงียบเพราะทุกคนปิดปากเงียบตามคำสั่งของทิติพร
“เรื่องโฉนดที่ดินของแม่ที่พ่อชายืมไปค้ำประกันธุรกิจแต่กลับเอาไปจำนองและตอนนี้ทางธนาคารเขาให้เวาสองเดือนหากไม่นำเงินต้นและดอกไปคืนก็จะยืดบ้านหลังงนี้” คุณสิรามนพูดกับลูกชายที่ทำหน้างง
“คุณแม่พูดอะไรครับ โฉนดของคุณแม่ผมไม่ได้เอาไปจำนองนะครับ” ชาคริตถึงกับงงเพราะเขาแค่เอาไปค้ำประกันเท่านั้นและธุรกิจของเก็ไม่ได้มีปัญหาแล้วเขาคิดว่าจะเอามาคืนท่านเพราะมันเป็นที่ดินผืนสุดท้ายที่ท่านมีและท่านบอกเขาแล้วว่าจะยกให้ลิปการ์เขาก็เห็นด้วยถึงยังไงเด็กนั่นก็เป็นลูก
“แล้วนี่อะไรล่ะ” คุณสิรามนยื่นซองเอกสารของธนาคารให้ลูกชายดูและเห็นลูกสะใภ้หน้าเสียก็คิดว่าคนทำน่าจะไม่ใช่ลูกชายของเธอ
“คุณพรนี่มันอะไรกัน ทำไมโฉนดที่ดินของคุณแม่ถึงไปอยู่ที่ธนาคารของคุณปองพลได้” ชาคริตอ่านเอกสารแล้วถามภรรยาเพราะเขาเก็บโฉนดที่ดินไว้ในตู้เซฟที่บ้านและคนที่เปิดได้มีแค่เขากับภรรยาเท่านั้น
“คือว่าตาฟิวส์จะเอาเงินไปเพิ่มในพอร์ตแล้วตอนนั้นฉันไม่มีเงินสดก็เลยยืมโฉนดของคุณแม่ไปจำนองและเอาเงินมาให้ตาฟิวส์แล้วตาฟิวส์ขายหุ้นขาดทุนครั้งนั้นไงคะก็เลยไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ยค่ะ” ทิติพรตอบสามีอย่างไม่สะทกสะท้านเธอรู้ว่าแม่สามีจะยกโฉนดที่ดินแปลงนี้ให้นังลูกคนใช้นั่นแล้วเรื่องอะไรเธอจะยอมล่ะเงินตั้งสี่สิบห้าสิบล้านและเธอวางแผนไว้แล้ว
“งั้นพ่อชาก็ไปจัดการเอามาคืนแม่ด้วยลูก” คุณสิรามนพูดกับลูกชายแล้วหนักใจเพราะลูกชายกลัวเมียยอมทำตามเมียทุกอย่างแม้กระทั่งไม่มาหาเธอแต่คนเป็นแม่ยังไงก็ตัดลูกไม่ขาดแต่ทำอะไรไม่ได้
“ได้ครับคุณแม่ เดี๋ยวผมจะจัดการให้ครับ" ชาคริตถอนหายใจหันไปมองภรรายตัวตั้นเรื่องที่ทำลับหลังเขา