เจียวหนิงอันก็คิดว่าเป็นเรื่องดี ที่ท่านยายกล่าวออกมาเช่นนี้ก็แสดงว่าเด็กชายผู้นั้นต้องวิ่งไปป่าวประกาศให้ผู้อื่นรู้เป็นแน่ วันหน้าถ้าหากเรื่องของนางโด่งดังไปไกล ใครต่อใครก็ต้องพากันมาดูนางซึ่งนางไม่ชอบเลยสักนิด “หลานก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ ขอผ้าผืนบางที่หลานสามารถมองเห็นภายนอกได้เรือนรางนะเจ้าคะ เพราะหลานกลัวหกล้ม”
☺️ “ย่อมได้อยู่แล้ว”
“ขอบคุณท่านยายมากเจ้าค่ะ”
“หลังจากนี้ให้เจ้าหมั่นเพียรฝึกฝนมันให้ดีเล่า ไม่แน่ในภายภาคหน้าการหยั่งรู้ของเจ้าจะช่วยผู้คนได้อีกมากมาย”
“เจ้าค่ะหลานจะพยายาม” เพราะนางไม่อยากจะปวดหัวจากเรื่องราวของผู้อื่นอีกแล้ว
หลังจากนั้นผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ เด็กชายที่เคยกล่าวหาว่าเจียวหนิงอันเป็นปีศาจได้เดินทางเข้ามาพบสองยายหลานพร้อมกับร่ำไห้และกล่าวคำขอโทษ
เด็กชายกล่าวว่ายามนี้พี่ชายของเขาได้เดินทางไปขายแรงงานในเหมืองแล้ว กำหนดสัญญาว่าจ้างจะสิ้นสุดในอีกสามปีข้างหน้า ราคาค่าตัวเพียงตั๋วแลกเงินสองใบและท่านพ่อได้นำเงินทั้งหมดมาใช้จ่ายซื้อสินค้าจนเกือบจะหมด เขาเริ่มรู้แล้วว่าวันข้างหน้าท่านพ่อจะต้องขายเขาไปอีกคนแน่ หนทางหลังจากนี้เด็กชายก็ไม่รู้จะหาที่พึ่งจากใครได้อีกในห้วงความคิดนึกถึงเด็กหญิงตาสีเขียวที่มีผ้าปิดตาตรงหน้า เด็กหญิงอายุน้อยกว่าที่ทำนายดวงชะตาของเขาไว้เมื่อหลายวันก่อน
“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่?” ท่านยายเป็นผู้เอ่ยขึ้นอย่างสงสาร เจียวหนิงอันรู้ว่าท่านยายจะขอซื้อตัวเด็กชายคนนี้มาอยู่ที่นี่แต่ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่การตัดสินใจของเด็กชายแล้ว “ยายจะไปขอซื้อตัวเจ้ามาอยู่ด้วยกันที่นี่และวันหน้าเจ้าต้องติดตามยายออกไปต่างแคว้นเพื่อช่วยเหลือผู้คนเจ้ายินดีหรือไม่”
ความดีใจเอ่อล้นอยู่ในดวงตาคู่น้อยของเด็กชาย “ขอรับท่านยาย ข้าเอียนจื่อจะติดตามท่านยายไปช่วยเหลือผู้คน”
“เช่นนั้นก็ดี” แม่หมอเจียวจินลุกขึ้นยืนพลางบอกแก่หลานสาว “ยายจะไปพูดคุยกับพ่อและแม่ของเอียนจื่อสักครู่ หนิงอันหลานยายเข้าไปนั่งสมาธิในห้องเถอะ ด้านนอกมีทหารเฝ้าดูอยู่แล้วเจ้าอย่าได้กังวล”
“เจ้าค่ะ” เด็กหญิงที่มีผ้าปิดตาลุกขึ้นเดินเข้าบ้านไปอย่างว่าง่าย ใจนางยินดี ‘ที่เด็กชายเลือกทางนี้’ อย่างน้อยหากเขาอยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องถูกขายไปเป็นทาสที่อื่น
ระหว่างทางเดินไปบ้านของเอียนจื่อ เด็กชายวัยแปดหนาวมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด แม่หมอรู้ดีว่าเอียนจื่อไม่มีทางให้เลือกมากนัก ตัวอย่างนั้นมีให้เห็นเฉกเช่นพี่ชายของเขาที่ถูกส่งไปขุดเหมืองไม่รู้วันรู้คืนและอีกไม่นานก็คงจะถึงตาของตนเองบ้าง เรื่องนี้เอียนจื่อคงจะรู้ดี
“ท่านยายขอรับ”
“ว่าอย่างไร”
“ที่คุณหนูเจียวต้องปิดตา ส่วนหนึ่งมาจากข้าใช่หรือไม่” เขาจำได้ว่าเผลอเรียกนางว่า ‘ปีศาจ’ ความรู้สึกผิดท่วมท้นออกมาทั้งๆที่นางเป็นผู้ชี้ทางสว่างให้แก่เขาแท้ๆ
“ใช่ครึ่งหนึ่ง ไม่ใช่ครึ่งหนึ่ง” แม่หมอเดินหน้าต่อจนใกล้จะถึงกระท่อมที่มองเห็นในสายตา “หนิงอันเกิดมาในสกุลเจียว สกุลที่มีชะตาเป็นหมอดู ที่นางมีดวงตาสีเขียวมรกตนั้นเป็นเพราะนางคือสตรีที่มีบุญ..สามารถหยั่งรู้อดีตและปัจจุบัน ความวิเศษนี้สวรรค์เบื้องบนเป็นผู้ประทานมาให้” หยุดลงหน้ากระท่อมเก่าๆ “เพราะดวงตามิเหมือนผู้อื่นดังเช่นเจ้าว่านางจึงควรปกปิดมันเสีย..แต่ที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดคือ หากนางสบตากับผู้ใด..ดวงชะตาของคนผู้นั้นจะไหลบ่าเข้าสู่ความคิดของนาง นางยังเด็กจึงยังคงรับมันไม่ไหว”
“ข้าขอโทษด้วยขอรับ” เอียนจื่อทำหน้าเศร้า
“ไม่เป็นไร” แม่หมอเจียวจินเดินมาหยุดหน้ากระท่อม “ไปเรียกบิดาของเจ้าออกมาเถิด”
“ขอรับ” เอียนจื่อเดินเข้าไปภายในกระท่อมที่ค่อนข้างมีกลิ่นอับชื้น ไม่ไกลจากประตูกระท่อมก็พบท่านพ่อของเขา ‘ลิ่วหลีไห่’ นอนกอดไหสุราท่าทางไม่น่าดูชมสักนิด แต่ถึงอย่างไรเด็กชายวัยแปดหนาวก็ได้ตัดสินใจแล้ว หนทางข้างหน้าที่คิดไว้มันคงดีกว่าที่จะรอวันให้ท่านพ่อขายเขาออกไปเป็นทาส “ท่านพ่อขอรับ” เขย่าๆบิดาของตนเอง “ท่านพ่อ”
“อือ” เสียงครางดังเล็ดลอดออกมาจากปากที่มีแต่กลิ่นสาบ
“ท่านพ่อ”
“อือ..มีสิ่งใด” น้ำเสียงติดจะงัวเงียขานรับบุตรชายคนเล็ก
“แม่หมอเจียวจินมาหาขอรับ”
“หือ..มาหาด้วยเหตุใด” ยันกายลุกขึ้นจากพื้น ร่างกายเหม็นสาบ “แล้วมารดาเจ้าอยู่ที่ใด” หันมองไปรอบๆอย่างขัดใจที่ไม่มีใครรองมือรองเท้า
“ท่านแม่ไปหาอาหารขอรับ” เอียนจื่อลุกขึ้นยืนก่อนพ่อตนเอง “แม่หมอเจียวจินรออยู่ขอรับ” เร่งบิดาอีกครั้ง
“อืม” ลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกตามคำบอกของบุตรชายเพื่อพบกับแม่หมอที่มีพระคุณช่วยเหลือครอบครัวของเขาเมื่อหลายวันก่อน “แม่หมอมีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือขอรับ” กล่าวนอบน้อมตามอาวุธโส
แม่หมอไม่กล่าวคำยืดเยื้อให้มากความ นางเข้าเรื่องทันทีเพราะเริ่มเหม็นสาบชายตรงหน้า “ข้าอยากจะขอซื้อตัวบุตรชายคนเล็กของเจ้ามาช่วยงานที่กระท่อม อีกไม่นานก็ถึงหน้าปลูกนาแล้วถึงแม้เอียนจื่อจะยังเป็นเด็กแต่เขาก็ทำงานเก่ง หน่วยก้านดีหากเจ้าไม่ขัด ข้าจะมอบตั๋วแลกเงินให้เป็นค่าจ้างยี่สิบใบ” เบี้ยหวัดของแม่หมอมีมากมาย จากการที่สมัยก่อนนางอยู่เพียงแต่ในวังหลวงฮ่องเต้ทุกรุ่นทุกสมัยล้วนมอบเบี้ยหวัดให้นางใช้เป็นประจำอยู่แล้วทุกเดือนถึงแม้ยามนี้จะออกจากวังมานับเจ็ดปีแต่เบี้ยจากฮ่องเต้ก็ไม่เคยขาดมือ จะเสียหายอะไรหากมันจะถูกนำมาใช้เพื่อชีวิตใหม่ของเด็กคนหนึ่ง
“ยี่สิบใบรึ” ดวงตาของลิ่วหลีไห่เบิกกว้าง “หมายความว่าอย่างไร” ในหัวคิดคำนวณถึงรายรับ
“ข้าจะจ่ายตั๋วแลกเงินให้ยี่สิบใบกับการให้เอียนจื่อมาอยู่กับข้าสิบปีและทุกๆสิบปีเจ้าจะได้ครั้งละยี่สิบใบโดยเอียนจื่อจะต้องไปอยู่กับข้าที่กระท่อมปลายนา หากไม่มีกิจธุระใดสำคัญเจ้าก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
“ข้าตกลงๆ” ไร้การลังเลในดวงตาคู่นั้น
เอียนจื่อมองบิดาตนเองอย่างเศร้าใจ ไร้คำพูดต่อรองกับพวกเขาขาเล็กๆของเด็กชายเดินกลับเข้าไปในกระท่อมเพื่อเก็บเสื้อผ้าของตนเอง อย่างน้อยหากเขาอยากจะกลับมาเยี่ยมที่บ้านบ้างท่านยายคงจะไม่ว่าอะไร หยาดน้ำใสๆไหลหยดลงบนห่อผ้า เพียงชั่วจิบชาเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปพบกับท่านพ่อและเห็นท่านยายกำลังลงชื่อในกระดาษเป็นลายลักษณ์อักษร
ถือว่าท่านยายทำถูกต้องแล้วที่เขียนข้อความไว้เช่นนี้เพราะวันข้างหน้าเมื่อท่านพ่อของตนใช้เบี้ยจนหมดแล้วตามมารังควาญท่านยายมันคงจะไม่ถูกต้อง
“เอียนจื่อมาหาพ่อ” คนตัวสาบเอ่ยเรียกบุตรชายด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ”
“ไปอยู่กับแม่หมอก็อย่าเกียจคร้านเล่า อีกประเดี๋ยวท่านแม่ของเจ้ามาพ่อจะบอกแก่นางเอง” ลูบหลังบุตรชาย
“ขอรับ” เอียนจื่อรับคำ แม้เขาจะไม่เคยเกียจคร้านเพราะบิดาชอบทุบตีแต่ยามนี้ก็ต้องตอบรับทุกคำ
ลิ่วหลีไห่มองแม่หมออีกครั้ง “หากข้าและเถาฮวาจะไปหาลูกบ้างแม่หมอคงไม่ว่าอันใดใช่หรือไม่?”
“ได้สิ”
“เช่นนั้นก็เดินทางปลอดภัยเถิดขอรับ อีกครู่ข้าต้องเข้าไปซื้อของอีกนิด หากช้ากว่านี้คาดว่าจะมืดค่ำเสียก่อน” ใจจริงเขาอยากจะไปซื้อสุราชั้นดีมาดื่มต่างหาก
แม่หมอล้วงลงไปในถุงผ้าหยิบตั๋วแลกเงินยี่สิบใบ(1ใบแลกได้50ตำลึงทอง***สมมุตินะคะ) “หวังว่าเจ้าคงจะไม่นำเบี้ยไปสูญเปล่าหรอกใช่หรือไม่?” ส่งตั๋วไปตรงหน้า
“ไม่ขอรับ ข้าคิดว่าจะนำไปซื้อไม้มาทำกระท่อมให้ดีกว่านี้” มือสั่นๆรับตั๋วแลกเงินที่มีค่ามหาศาลสำหรับเขา
“ก็ดี เช่นนั้นข้าไปล่ะ” แม่หมอเจียวจินพยักหน้าให้ลิ่วเอียนจื่อเดินตามออกมา สองคนสองวัยเดินไปตามทางไร้คำพูดจาจนถึงกระท่อมปลายนา
“เดินกลับบ้านเจ้าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อด้วยซ้ำ เจ้าจะทำหน้าตาทุกข์ตรมไปใย” แม่หมอเจียวจินนั่งลงตรงโต๊ะหน้าบ้าน
“ที่ข้าทุกข์ตรมเพราะเสียใจที่ท่านพ่อไม่มีความรักหรือห่วงใยข้าเลยต่างหากเล่าท่านยาย” เด็กชายวัยแปดหนาวนั่งเหม่อไปยังทางกลับบ้าน
“งั้นรึ”
“ขอรับ” ต่อจากนี้ชีวิตของเอียนจื่อคงต้องขึ้นอยู่กับคนสกุลเจียวแล้ว ‘ทุกอย่างมันคงจะดีขึ้นใช่หรือไม่’