บทที่ 25: ชีวิตในค่ายทหาร

2361 Words
ยาคอปรู้สึกตัวในตอนที่รู้สึกว่าพักผ่อนเต็มอิ่มแล้ว และสิ่งแรกที่เขาเห็นในตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็คือผ้าใบเต็นท์สีขาว ที่มีหน้าต่างให้แสงแดดส่องเข้ามาให้ความสว่าง เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งมึนๆ บนเตียง พร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ ตัว แล้วก็ได้พบว่ามีทหารอีกหลายนายที่นอนอยู่บนเตียงเช่นเดียวกับเขา และพวกเขาสวมเครื่องแบบที่ยาคอปไม่เคยเห็นมาก่อน “โอ…เธอตื่นแล้ว! พวกเราเป็นห่วงแทบแย่ ตอนที่หน่วยลาดตระเวนแบกเธอมาที่ค่าย” ชายในชุดเครื่องแบบสีขาวเดินเข้ามาภายในเต็นท์ พอเขาเห็นยาคอปฟื้นแล้วก็อุทานออกมาเป็นภาษาอังกฤษด้วยความโล่งอก แต่เด็กหนุ่มนั้นฟังไม่ออกว่าเขาพูดว่าอะไร “ผมอยู่ที่ไหนครับ?” ยาคอปถามกลับไปด้วยภาษาเยอรมัน “??????” ชายคนนั้นมีสีหน้างุนงง เพราะเขาเองก็ฟังเยอรมันไม่ออกเหมือนกัน “ผมอยู่ที่ไหนครับ?” ยาคอปจึงถามกลับไปด้วยภาษาอังกฤษตามที่เฟลิเซียเคยสอนเขามา “เธออยู่ที่ค่ายของทหารสหรัฐ พวกหน่วยลาดตระเวนเป็นคนพาเธอมา แล้วเธอก็สลบไปตั้ง 3 วันเลยแน่ะ” ชายคนนั้นตอบยาคอป พร้อมกับนั่งลงข้างๆ เขา และจับแขนของเด็กหนุ่มตรงหน้าขึ้นมาดู เพื่อที่จะเช็คบาดแผลว่ามันเริ่มจะสมานตัวดีหรือยัง “!!” ยาคอปรีบสะบัดแขนออกด้วยความตกใจ เพราะเขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับการที่มีคนแปลกหน้ามาสัมผัสตัวเขาสักเท่าไหร่ ชายคนนั้นยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะลูบศีรษะของยาคอปเบาๆ “ไม่เป็นไรนะ เธอไม่เป็นไรแล้ว ฉันแค่จะตรวจอาการของเธอเฉยๆ เท่านั้นเอง แค่แปบเดียวเองนะ” “…” แม้จะฟังสิ่งที่คนตรงหน้าพูดไม่ออก แต่ด้วยความจริงใจที่ถ่ายทอดออกมาทางคำพูด มันทำให้ยาคอปยอมให้ชายคนนั้นแตะต้องร่างกายของเขา “อืม…บาดแผลเริ่มสมานตัวดีแล้ว แค่ล้างแผลและเปลี่ยนผ้าพันแผลอีกสักครั้งก็คงจะเรียบร้อย” ชายตรงหน้าพึมพำเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้น และเตรียมจะเดินออกไปข้างนอก “เดี๋ยวก่อนครับ…มีอะไรให้ผมกินบ้างไหม…ผมหิว…ขอแค่เศษขนมปังก็ได้…” ยาคอปพูดอ้อนวอนชายคนนั้นเป็นภาษาอังกฤษ แม้ความเหนื่อยล้าทางกายของยาคอปจะหายไปแล้ว แต่ท้องที่ว่างเปล่านั้นยังคงส่งเสียงประท้วงอยู่เนืองๆ และถ้าหากว่าไม่ได้อาหารในเร็วๆ นี้ เด็กหนุ่มเกรงว่าเขาจะเป็นลมไปอีกรอบอย่างแน่นอน “โอเค ฉันจะแจ้งคนในครัวให้นะ” ชายคนนั้นพูดยิ้มๆ ก่อนที่จะเดินออกไปข้างนอกเต็นท์ ยาคอปนั่งรออาหารอยู่ราวๆ 10 นาที ท่ามกลางเสียงท้องร้องที่ดังโครกครากจนน่ารำคาญ จนกระทั่งมีชายอีกคนนำถาดอาหารมาให้กับเขา ในนั้นมีอาหารที่ยาคอปคุ้นเคยอยู่ด้วยอย่างซุปมันฝรั่ง และที่สำคัญคือ มันมี ‘เนื้อตากแห้ง’ และขนมปังอย่างดีที่มีสีขาวสวย แตกต่างจากขนมปังที่เขาคุ้นเคยที่มีสีดำไม่น่ารับประทาน มันช่างแตกต่างจากอาหารที่ยาคอปเคยรับประทานอย่างสิ้นเชิง ในตอนที่อยู่ในเยอรมนีภายใต้การควบคุมของพรรคนาซี “ค่อยๆ ทานนะหนุ่มน้อย ท้องเธอยังไม่พร้อมรั…” ชายคนที่เอาอาหารมาให้ยังพูดไม่ทันจบ ยาคอปก็ฟาดพวกมันจนเรียบ พร้อมกับยื่นถาดอาหารมาให้เขา พร้อมกับพูดว่า “ผมขออีกชามครับ!!” และแม้ว่าจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง แต่ชายคนนั้นก็พอที่จะเข้าใจจุดประสงค์ของยาคอป เขายิ้มออกมาจางๆ ก่อนจะรับถาดไป แล้วพูดว่า “ได้สิ! ทานให้หนำใจไปเลยนะ” ผลสรุปของวันนั้นคือ ยาคอปขอเติมอาหารมากถึง 4 รอบ!! . หลังจากชายที่มาจากโรงครัวออกไปแล้ว ก็มีทหาร 2 นายเดินเข้ามาหายาคอป ก่อนที่หนึ่งในสองคนนั้นจะนั่งลงข้างๆ และเริ่มแนะนำตัวเองให้เด็กหนุ่มได้ทราบ “สวัสดีพ่อหนุ่มน้อย ผมมีชื่อว่า อัลเบิร์ต วิกเกลมันส์ เป็นล่ามประจำกองทัพสหรัฐอเมริกา ส่วนคนที่ยืนอยู่ด้านหลังผมมีชื่อว่า เจมส์ ริชเชอร์ เขาเป็นนายทหารที่คอยดูแลเชลยศึก แล้วเธอมีชื่อว่าอะไรเหรอ?” และเพราะเขาพูดภาษาเยอรมันได้อย่างคล่องแคล่ว ยาคอปจึงรู้สึกเบาใจขึ้นมาหลายส่วน เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องใช้ภาษามือหรือภาษาอังกฤษที่เขาไม่ถนัดในการสื่อสารกัน “ผมมีชื่อว่ายาคอปครับ ยาคอป ฮอฟมัน” ยาคอปพูดแนะนำตัวเอง “โอเคยาคอป ผมขอแจ้งให้เธอทราบว่า ในตอนนี้สถานะของเธอคือ เชลยศึก แต่เธอมีความพิเศษมากกว่านั้นนิดหน่อย เพราะเธอเป็นเชลยศึกที่เป็นเด็กเพียงคนเดียวในค่ายของเรา เธอเข้าใจตรงนี้ใช่ไหม?” อัลเบิร์ตพูดกับยาคอป “ผมเข้าใจครับ” ยาคอปพยักหน้าหงึกๆ “เอาล่ะ…เรามาเริ่มจากคำถามง่ายๆ กันเลยดีกว่า เธอไปโผล่ในป่านั้นได้ยังไง?” อัลเบิร์ตถามยาคอป เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเล่าทุกอย่างตั้งแต่ที่เขากับแม่อพยพจากดอร์ทมุนด์มายังกรุงเบอร์ลิน การที่ผู้เป็นแม่หายสาบสูญไปในสงคราม และได้เข้าต่อสู้กับทหารโซเวียต การเสียผู้เป็นอาซึ่งเป็นญาติคนสุดท้ายในครอบครัว จนกระทั่งระหกระเหเร่ร่อนมายังชายป่าใกล้กับค่ายทหารแห่งนี้ ซึ่งพอเล่าจบ อัลเบิร์ตก็หันไปมองเจมส์พร้อมกับแปลทุกอย่างแบบรวบรัดให้เขาฟัง นายทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังจึงจดอะไรบางอย่างลงไปในสมุดที่นำติดตัวมาด้วย “…” “โอเค ยาคอป เธอมีญาติคนอื่นๆ นอกจากอากึนเทอร์ของเธอไหม?” อัลเบิร์ตถามยาคอปอีกครั้ง เด็กหนุ่มคิดถึงอาเอ็ลซ่าที่เป็นภรรยาของแวร์เนอร์ แต่เขาไม่ต้องการที่จะรบกวนเธอ เพราะเธอกำลังจะมีลูกน้อย การดูแลเด็กพร้อมกันสองคนในสภาพที่ไม่พร้อม อาจจะสร้างปัญหาตามมาภายหลังได้ เพราะอย่างนั้นแล้ว ยาคอปจึงพูดปฏิเสธไป “ไม่มีเลยครับ…” “อืม…โอเค งั้นตามกฎของกองทัพแล้ว ถ้าหากสถานการณ์สงบเมื่อไหร่ เธอจะต้องถูกส่งตัวไปยังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้านะ เพื่อรอรับการอุปถัมภ์จากครอบครัวอุปถัมภ์ เธอโอเคกับสถานการณ์ตรงนี้ใช่ไหม?” อัลเบิร์ตชี้แจงให้ยาคอปฟัง ถึงขั้นตอนของกองทัพสหรัฐในการปฏิบัติกับเด็กกำพร้าที่สูญเสียพ่อกับแม่ไปในสงคราม “ผมโอเคครับ…” แม้ว่ายาคอปจะรู้สึกสะเทือนใจที่ต้องถูกเรียกว่าเด็กกำพร้า แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ก็มีแต่จะต้องเดินไปข้างหน้าแบบสุดกำลังเท่านั้น เด็กหนุ่มจึงตอบตกลงในทันที “โอเค คำถามของผมหมดแล้ว เธอมีคำถามอะไรไหม?” อัลเบิร์ตถามยาคอป “ไม่มีครับ…” ยาคอปสั่นศีรษะปฏิเสธ “งั้นก็ดีแล้ว…อ้อ!…อีกอย่างหนึ่ง คุณเจมส์อนุญาตให้เธอเดินเล่นภายในค่ายแห่งนี้ได้ตามใจชอบเลยนะ เธอมีอิสระเต็มที่ พวกเราขอแค่เพียงอย่าไปยุ่งกับพวกเชลยศึกคนอื่นๆ ที่ถูกกักบริเวณอยู่ก็พอ เธอเข้าใจไหม?” อัลเบิร์ตพูดกับยาคอปถึงสิทธิพิเศษที่สามารถทำได้ ในขณะที่อยู่ภายในค่ายทหารแห่งนี้ “ผมเข้าใจครับ…” ยาคอปพยักหน้าหงึกๆ ก่อนที่อัลเบิร์ตและเจมส์จะจากไป ส่วนตัวของยาคอปนั้นรู้สึกแน่นท้องจากการที่เขมือบอาหารเข้าไปจนเต็มท้อง เด็กหนุ่มจึงกะว่าจะออกไปสูดอากาศภายนอกสักหน่อย เพราะอยู่ในเต็นท์พยาบาลมีแต่กลิ่นของแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ ซึ่งมันฉุนจมูกของเขาแปลกๆ ยาคอปเดินเล่นภายในค่ายทหารด้วยรองเท้าคู่ใหม่ที่ทางทหารสหรัฐหามาให้ มีทหารหลายนายมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ บางคนก็ซุบซิบกัน แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มได้ยิน พวกเขาเรียกยาคอปว่า “เด็กของพวกปีศาจ” นั่นทำให้ยาคอปสะเทือนใจอยู่พอสมควร จนต้องกลับมานั่งร้องไห้อยู่ในเต็นท์คนเดียว เพราะสำหรับเด็กอายุ 14 ปี คำๆ นี้มันรุนแรงและกระทบกระเทือนจิตใจของเขาได้มากเลยทีเดียว เคราะห์ดีที่เสนารักษ์ในเต็นท์พยาบาลนั้นใจดี เขาช่วยปลอบยาคอปให้กลับมายิ้มได้อีกครั้ง และเด็กหนุ่มก็ออกไปวิ่งเล่นในค่ายทหารอีกครั้งจนกระทั่งถึงมื้อเย็น . ยาคอปใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหารมาได้ราวๆ 2 สัปดาห์แล้ว เขาได้ยินจากพวกทหารในค่ายว่ากองทัพเยอรมันที่รักษากรุงเบอร์ลินยอมจำนนต่อกองทัพโซเวียตและสัมพันธมิตรตะวันตกแล้ว และสงครามอันแสนโหดร้ายนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว นอกจากนั้น ยาคอปยังได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษจากเสนารักษ์ เพื่อที่จะตีซี้กับพวกทหารที่อยู่ในค่าย และโดยเฉพาะพวกที่อยู่ในโรงครัว โดยหวังที่จะขออาหารอร่อยๆ ในปริมาณมากในทุกๆ มื้อ “อรุณสวัสดิ์ครับคุณแฮรี่!!” ยาคอปยิ้มกว้างๆ ทักทายทหารที่เป็นเวรตักอาหารวันนี้ “โอ้! อรุณสวัสดิ์ยาคอป! วันนี้มีเนื้อผัดแครอทกับมันฝรั่งอบนะ จะเอาเลยไหม?” แฮรี่ที่เป็นเวรตักอาหารทักทายยาคอป “เอาครับ! ขอเนื้อเยอะๆ เลยนะครับ!” ยาคอปพยักหน้าหงึกๆ พลางน้ำลายสอ “จัดไปอย่าให้เสีย!!” แฮรี่ตักอาหารใส่ถาดให้ยาคอป โดยเน้นไปที่เนื้อซึ่งเป็นของโปรดของเด็กหนุ่มตรงหน้า และคีบมันฝรั่งอบสองลูกใส่ถาด เป็นอันเสร็จพิธี “ขอบคุณครับ!” ยาคอปยิ้มกว้างๆ เพื่อแทนคำขอบคุณ “เฮ้ย!! แฮรี่!! แกลำเอียงนี่หว่า!! ยาคอปได้เนื้อไปตั้งเยอะ ทีพวกเราทำไมแกเน้นแต่ผักฟะ!!” พลทหารแมทธิวที่ต่อคิวด้านหลังบ่นขึ้นมา “เสียใจด้วยนะครับคุณแมทธิว คุณแฮรี่รักผมมากกว่า” ยาคอปแลบลิ้นเยาะเย้ยแมทธิว “อ้าว! ไอ้เด็กนี่เอ็งวอนหาเรื่องซะแล้ว! นับวันยิ่งเหิมเกริมนะแก! เฮ้ย! แฮรี่! ตักให้ฉันเยอะกว่าไอ้เด็กนี่ที!” แมทธิวรู้สึกหมั่นไส้ยาคอปที่มาทำตัวล้อเลียนเขา “เสียใจด้วยว่ะแมทธิว แกเอาเนื้อไปแค่ 4 ชิ้นพอ แล้วเอามันฝรั่งอบไปเยอะๆ แทนนะ” แฮรี่พูด พร้อมกับทำอย่างที่ว่ามา “แกแม่งลำเอียงนี่หว่า!” แมทธิวบ่นอีกรอบ ส่วนยาคอปนั้นเดินไปนั่งทานอาหารกับทหารสหรัฐกลุ่มหนึ่ง ที่ตรงอาร์มแขนของพวกเขามีรูปศีรษะของนกอินทรี พร้อมกับคำว่า ‘Airborne’ “อรุณสวัสดิ์ยาคอป” พอหนึ่งในพวกเขาเห็นยาคอปแล้วก็เอ่ยทักขึ้นมา “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณหมอยูจีน” ยาคอปเอ่ยทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม อาหารมื้อเช้านั้นค่อนข้างสนุกสำหรับยาคอป เพราะทหารสหรัฐบางนายก็ชวนเขาคุย โดยในหมู่ของพวกเขามีคนที่พูดเยอรมันได้อยู่ จึงรับอาสาแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ทุกคนได้ฟัง แล้วจากนั้นยาคอปก็กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะออกไปเล่นกีฬาแก้เครียดกับพวกทหารสหรัฐที่อยู่ในค่าย และด้วยความที่เขาเป็นเด็ก ทำให้ทหารสหรัฐไม่กล้าที่จะเล่นแรงกับเขามากนัก เพราะกลัวว่าเด็กหนุ่มจะได้รับบาดเจ็บ จนถูกพวกเสนารักษ์ดุเอา วันเวลาในค่ายทหารของยาคอปผ่านพ้นไป จนกระทั่งในช่วงเย็นของวันหนึ่ง อัลเบิร์ตก็กลับมาพร้อมกับเอกสารบางอย่าง ก่อนที่เขาจะชี้แจงให้ตัวของยาคอปได้ฟัง “รับเอกสารนี้ไปนะยาคอป พรุ่งนี้เธอต้องออกเดินทางไปเบอร์ลินกับพวกพลร่ม 101 รถบรรทุกออกเวลา 08.00 นาฬิกา มาให้ตรงเวลานะ รถบรรทุกจะไปส่งเธอที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า ให้เธอยื่นเอกสารนี้ให้กับผู้ดูแล เข้าใจไหม?” อัลเบิร์ตพูดกับยาคอป “ทราบแล้วครับ!” ยาคอปรับคำ “วันนี้พักผ่อนเถอะนะ พรุ่งนี้เธอต้องตื่นแต่เช้า” อัลเบิร์ตลูบศีรษะของยาคอป “ครับ!” ยาคอปรับคำยิ้มๆ . ตอนเช้าของวันถัดมา ยาคอปก็ได้บอกลาค่ายทหารและมุ่งหน้าสู่สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยจากมาเพราะไฟสงครามอย่างกรุงเบอร์ลิน แต่บัดนี้ภัยสงครามได้ผ่านพ้นไปแล้ว และเขากำลังจะต้องเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ที่นั่น ยาคอปขึ้นไปนั่งเบียดกับทหารของกองพลส่งทางอากาศที่ 101 ของสหรัฐ และรถบรรทุกก็มุ่งหน้าสู่กรุงเบอร์ลินในทันที รถขับราวๆ 30 นาทีก็เดินทางเข้าสู่ตัวเมืองของกรุงเบอร์ลิน ก่อนที่ทหารสหรัฐทั้งหมดจะต้องลงไปปฏิบัติหน้าที่กันต่อไป “ไปดีมาดีนะยาคอป” หนึ่งในพวกเขาพูดร่ำลากับยาคอป “ขอให้โชคดีครับ” ยาคอปโบกมือลา เพราะเขาต้องติดรถบรรทุกไปลงที่หน้าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของกรุงเบอร์ลินต่อ ไม่นานหลังจากจุดที่ปล่อยทหารสหรัฐลงแล้ว รถบรรทุกก็ได้มาจอดที่หน้าอาคารหลังหนึ่ง ที่ถูกล้อมด้วยรั้วลูกกรงสีดำขนาดใหญ่ คนขับบอกว่าที่นี่คือสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ตัวของยาคอปแอบคิดว่านี่คือสถานทรมานเด็กๆ เพราะภายนอกนั้นดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย “โชคดีนะยาคอป” พลขับกล่าวอวยพรให้ยาคอป “เช่นกันครับ” ยาคอปกล่าวตอบกลับไป หลังจากรถบรรทุกวิ่งหายไปจนลับสายตาแล้ว ยาคอปก็ยืนทำใจอยู่ที่ด้านหน้าสถานรับเลี้ยงอยู่สักพักใหญ่ๆ ‘เอาเถอะ…เรื่องแย่กว่านี้เราก็ผ่านมาแล้วนี่นะ’ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วเปิดประตูรั้วเข้าไปด้านใน พร้อมกับเอกสารที่อยู่ในมือ มีหญิงสาวคนหนึ่งออกมาต้อนรับเขา เพราะได้รับแจ้งล่วงหน้ามาจากอัลเบิร์ตแล้ว ในตอนนี้ ยาคอป ฮอฟมัน ได้กลายมาเป็นเด็กที่กำพร้าพ่อและแม่จากไฟสงครามแล้ว…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD