นับตั้งแต่วันที่ฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่หาดนอร์มังดีสำเร็จ กองพลทหารราบที่ 77 ที่โทมัสสังกัดอยู่ก็ได้ทำการรบป้องกันพื้นที่จากข้าศึกเอาไว้อย่างเหนียวแน่น และพยายามที่จะขับไล่พวกเขากลับลงไปในทะเล
แต่ความพยายามนั้นก็ไร้ค่าโดยสิ้นเชิง เพราะฝ่ายตรงข้ามนั้นเหนือกว่ากองทัพเยอรมันในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นบนบก ในทะเล หรือบนท้องฟ้า
บนบกนั้น ทุกครั้งที่ฝ่ายสัมพันธมิตรพ่ายแพ้ ในครั้งถัดไป พวกเขาจะกลับมาพร้อมกับกำลังพลที่มาขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า การสนับสนุนจากยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่าอย่างเทียบไม่ติด
แม้ว่าทางฝั่งเยอรมันจะมีกองพันยานเกราะหนักที่บรรจุรถถังชนิดแพนเธอร์ และ ไทเกอร์ 1 เอาไว้เป็นกำลังสนับสนุนภาคพื้นดิน แต่พวกมันก็ไม่ต่างจากโลงศพหรือเศษเหล็กวิ่งได้ เมื่ออยู่ต่อหน้ากระสุนปืนใหญ่จากเรือรบหรือระเบิดที่ทิ้งมาจากเครื่องบิน
กองพลทหารราบที่ 77 ต้องถอยร่นออกจากพื้นที่เมืองก็อง เพราะพวกสัมพันธมิตรคืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และความสูญเสียของกำลังพลนั้นมากเกินไป จนเกินกว่าที่จะทำการรบเพื่อรักษาพื้นที่ของเมืองส่วนมากเอาไว้ได้
อีกทั้งพื้นที่ดังกล่าวเปรียบเสมือนพื้นที่สังหารชั้นยอด จากกระสุนปืนใหญ่ที่ยิงมาจากเรือรบ กองทัพเยอรมันต้องสังเวยกำลังพลไปเป็นจำนวนมากจากการระดมยิงที่หนักหน่วงทั้งวันทั้งคืน
กองพลทหารราบที่ 77 ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรกดดันให้ล่าถอยไปทางทิศตะวันตกอ้อมเข้าสู่คาบสมุทรโคทองแทง ระหว่างนั้นทหารฝ่ายสหรัฐก็ได้เปิดปฏิบัติการย่อยๆ เพื่อกดดันให้พวกเขายอมจำนนโดยเร็วที่สุด
แต่ฝ่ายเยอรมันก็สู้จนขาดใจ แม้ว่าตัวเองจะเสียเปรียบในทุกๆ ด้านก็ตาม หากพวกสหรัฐจะยึดพื้นที่ไปจากกองทัพเยอรมัน พวกเขาก็ต้องจ่ายด้วยชีวิตของกำลังพลที่ล้มตายราวกับใบไม้ร่วงในทุกๆ หลาที่รุกคืบเข้ามา
‘ตู้ม!!! ตู้ม!!! ตู้ม!!! ตู้ม!!!’
เสียงระเบิดจากลูกกระสุนปืนใหญ่ในยามเช้าตรู่ปลุกให้ทหารเยอรมันทุกนายที่อ่อนล้าจนร่างกายแทบแตกสลายต้องลุกขึ้นมาจับอาวุธสู้อีกครั้ง เพราะมันคือสัญญาณที่บ่งบอกว่าทหารสหรัฐกำลังจะเปิดฉากเข้าโจมตีพวกเขาในไม่ช้านี้
และเป็นไปตามคาด หลังจากสิ้นเสียงระเบิดสงบลง เสียงคำรามของยานเกราะของฝ่ายสหรัฐก็ได้ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของพวกเขาบริเวณแนวพุ่มไม้ห่างออกไป 500 เมตร
“ทุกนายเตรียมพร้อม!!”
ผู้บังคับกองร้อย A สั่งให้ทหารเยอรมันทุกนายเตรียมพร้อม
เมื่อทหารสหรัฐเคลื่อนเข้ามาอยู่ในพื้นที่สังหารแล้ว ฝ่ายเยอรมันก็เปิดฉากโจมตีในทันที กระสุนนานาชนิดถูกสาดไปหาทหารสหรัฐ บางนายถูกกระสุนยิงจนล้มลงเสียชีวิตคาที่ บางนายได้รับบาดเจ็บนอนร้องครวญคราง บางนายหมอบตัวลงพร้อมกับคลานเข้าหาทหารเยอรมันอย่างไม่สะทกสะท้าน
ยานเกราะของฝ่ายสหรัฐเปิดฉากโจมตีแนวรับของเยอรมัน ยานเกราะของฝ่ายเยอรมันจึงเปิดฉากโจมตีกลับไปบ้าง และด้วยขนาดลำกล้องปืนของยานเกราะฝ่ายเยอรมันที่ใหญ่กว่าของฝ่ายสหรัฐ มันจึงเป็นการง่ายที่จะทำลายยานเกราะฝ่ายสหรัฐ
แต่ด้วยจำนวนที่มากกว่า ไม่นานนักยานเกราะฝ่ายเยอรมันก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียเอง มียานเกราะเยอรมัน 2 คันถูกทำลายด้วยกระสุนต่อต้านยานเกราะของฝ่ายสหรัฐ
ทางด้านทหารราบนั้นก็กำลังยิงต่อสู้กันอย่างดุเดือด ฝ่ายเยอรมันต้องการจะรักษาที่มั่นของตัวเองและขับไล่ฝ่ายสหรัฐให้ออกไปจากพื้นที่ของตนเอง ส่วนฝ่ายสหรัฐก็ต้องการที่จะบดขยี้ฝ่ายเยอรมันให้ราบคาบ เพราะอย่างนั้นแล้ว การรบจึงดุเดือดเป็นเท่าทวีคูณ โดยที่ไม่มีใครยอมใครแม้แต่ก้าวเดียว
“ยิงมัน! ยิงมัน!”
ผู้บังคับกองร้อยตะโกนสั่งทหารของตัวเอง
แต่มันก็เป็นการยากที่จะสู้กับทหารสหรัฐที่รุกเข้ามาอย่างรวดเร็วแบบนี้ แถมมีการสนับสนุนจากยานเกราะอีก ฝ่ายเยอรมันจึงจนปัญญาในการที่จะสู้กับฝ่ายสหรัฐ
และเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างจนตรอกจนถึงขีดสุดแล้ว พวกเขาจึงขอการสนับสนุนจากปืนใหญ่ให้ยิงลงมายังตำแหน่งตัวเอง เพื่อทำลายทั้งฝ่ายสหรัฐและฝ่ายตัวเองให้ย่อยยับไปพร้อมๆ กัน
‘ตูม! ตูม! ตูม!’
เสียงระเบิดของกระสุนปืนใหญ่ที่ตกกระทบพื้นดิน มันทำลายทุกอย่างที่อยู่ในบริเวณที่ตกกระทบจนกระจุยกระจายไม่เหลือชิ้นดี ร่างของทหารสหรัฐและเยอรมันผู้เคราะห์ร้ายถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ด้วยอำนาจการทำลายล้างของกระสุนปืนใหญ่
ยานเกราะฝ่ายสหรัฐถูกทำลายไปจำนวนหนึ่ง ส่วนที่รอดจากอำนาจการทำลายล้างนั้น พวกเขาจำเป็นที่จะต้องถอนกำลังเพื่อสงวนกำลังเอาไว้ทำการรบในวันต่อๆ ไป
ทหารเยอรมันขับไล่ทหารสหรัฐได้อีกครั้ง แต่พวกเขารู้ดีว่าในอีกไม่นาน พวกนั้นจะกลับมาใหม่ พร้อมกับสรรพกำลังที่มากกว่าเดิมจนพวกเขาไม่อาจที่จะทำอะไรได้ นอกเสียจากรอคอยความพ่ายแพ้และการยอมจำนนเท่านั้น
และเป็นไปตามคาด ในอีก 4 ชั่วโมงต่อมา ทหารสหรัฐก็กลับมาใหม่ กำลังพลที่มากกว่าคราวที่แล้วพร้อมกับอาวุธที่ครบมือ ยานเกราะที่มากกว่าเดิม
การต่อสู้รอบที่ 2 ของวันได้เริ่มต้นขึ้น และคราวนี้มันดุเดือดเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เมื่อทหารสหรัฐเข้าประชิดแนวรบของฝ่ายเยอรมันได้แล้ว การต่อสู้แบบตัวต่อตัวนั้นไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป
ยานเกราะฝ่ายสหรัฐนั้นนำหน้าทหารราบมาก่อน พวกมันบดขยี้ร่างของทหารเยอรมันที่คู้ตัวเพราะตื่นตระหนกต่อสถานการณ์ตรงหน้าอยู่ในหลุมบุคคลจนแหลกเหลวกลายเป็นชิ้นเนื้อแบนๆ
ปืนใหญ่ต่อสู้ยานเกราะของเยอรมันระดมยิงใส่ยานเกราะฝ่ายสหรัฐ แม้มันจะได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงดีกว่าที่ไม่มีอะไรที่เอาไว้สู้กับพวกมันเลย
ทหารราบของทั้งสองฝ่ายนั้นเข้าต่อสู้กันแบบตัวต่อตัวด้วยอาวุธนานาชนิดเท่าที่จะหาหรือหยิบได้ มีดพก ดาบปลายปืน พลั่วสนาม มือเปล่า หรืออะไรก็ตามแต่ที่จะสามารถใช้เป็นอาวุธได้ พวกมันถูกนำมาใช้ในการต่อสู้แทบทั้งสิ้น
ทหารสหรัฐจำเป็นที่จะต้องล่าถอยอีกครั้ง เมื่อกองพันยานเกราะหนักของฝ่ายเยอรมันเคลื่อนที่เข้าสู่สนามรบเพื่อทำการสนับสนุนทหารราบในกองพลทหารราบที่ 77
แต่มันก็เป็นแค่การถอยทัพเพียงชั่วขณะเท่านั้น
ตอนเย็นของวัน แนวรบส่วนหน้าของกองพลทหารราบที่ 77 ถูกประเมินจากเบื้องบนของกองพลว่าหมดขีดความสามารถในการรบโดยสิ้นเชิง มีทหารอย่างน้อย 1 กองร้อยเสียชีวิตในการรบที่ผ่านมา
ทางกองพลทหารราบที่ 77 ของเยอรมันจึงจำเป็นที่จะต้องถอยทัพอีกครั้ง และปล่อยให้ทหารสหรัฐรุกคืบเข้ามายึดพื้นที่มั่นที่เคยเป็นของพวกเขา
“ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เราได้โดนพวกมันล้อมแน่ๆ”
ผู้บังคับบัญชากองพลอย่างพลโทไวเทอร์ พ็อพเพอร์ พูดกับเหล่านายทหารในกองพล
“ถ้าพวกมันเคลื่อนลงใต้ไปอีก กองพลของเรากับอีก 2 กองพลในพื้นที่ได้โดนล้อมในคาบสมุทรโคทองแทงแน่ๆ ครับท่าน”
นายทหารคนหนึ่งพูดขึ้นในที่ประชุม
“เราจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แม้ว่ามันจะต้องแลกมากับการที่ทหารในกองพลของเรา พวกคุณ หรือผม ต้องสละชีวิตก็ตาม”
ไวเทอร์พูดเสียงหนักแน่น
เขารู้ดีว่าด้วยการรุกที่รวดเร็วแบบนี้ ภายในอีกไม่เกิน 1 สัปดาห์ พวกเขาจะต้องโดนล้อมและหมดหวังที่จะหนีกลับไปรวมกับกำลังหลักที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินฝรั่งเศสเป็นแน่
การรบนี้มันสิ้นหวังสุดๆ ไม่มีทางที่จะแก้ไขมันได้เลย…
ในวันถัดๆ มา วันที่ 10-12 มิถุนายน ทหารเยอรมันในกองพลทหารราบที่ 77 ต้องทำการรบอย่างทรหดที่สุดเท่าที่ชีวิตพวกเขาจะทนไหว เพราะการเข้าตีของทหารสหรัฐนั้นหนักหน่วงและรุนแรงขึ้นทุกขณะ
กำลังพลของฝ่ายสหรัฐที่สดใหม่กว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ที่เพียบพร้อมกว่าฝ่ายเยอรมัน มันเทียบกันไม่ติดเลยแม้แต่น้อย ทหารเยอรมันบางนายที่รู้สึกท้อและเหนื่อยหน่ายกับการรบที่ไม่รู้ว่าจะมีวันที่จะชนะหรือไม่ พวกเขาเลือกที่จะหนีทัพและไปยอมแพ้กับทหารสหรัฐด้วยตัวเองเลยก็มี
เพราะสำหรับทหารที่ตกเป็นเชลยศึก นั่นหมายถึงสงครามสำหรับพวกเขานั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว และพวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องทำการรบที่เสี่ยงชีวิตตัวเองอีกต่อไป
ชีวิตนับจากนี้ของพวกเขามีเพียงใช้ชีวิตอยู่ในค่ายเชลยศึก และรอคอยให้เยอรมนีประกาศยอมแพ้ เพราะในตอนนี้หนทางที่จะรุ่งโรจน์ของเยอรมนีนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว
และเมื่อสงครามสงบ พวกเขาก็จะได้กลับบ้าน และใช้ชีวิตตามที่ตัวเองปรารถนาตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดสงครามและต้องเข้ามาเป็นทหาร
.
“ฉันฝากสองสิ่งนี้ให้ภรรยาและลูกชายของฉันที่ดอร์ทมุนด์ด้วยนะ เฮ็ลมุท”
โทมัสฝากจดหมายกับเสื้อผ้าของเขาไปกับเฮ็ลมุทที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ และจำเป็นที่จะต้องถูกส่งตัวกลับแนวหลังเพื่อรักษาตัว
โทมัสรู้ดีว่าเขาคงจะไม่ได้มีชีวิตรอดกลับไปพบหน้าทั้งสองคนในการรบขั้นแตกหักในครั้งนี้ ดังนั้นจดหมายนี้น่าจะแทนใจเขาได้ดีกว่า
“ทราบแล้วครับท่าน”
เฮ็ลมุทวันทยหัตถ์ในท่านอน เพราะเขาได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าและขาข้างซ้าย
ก่อนที่รถบรรทุกคนเจ็บจะขับออกไปตามเส้นทางที่ยังปลอดภัยอยู่ ณ ตอนนี้ เพื่อลำเลียงพวกเขาสู่มือของแพทย์ที่อยู่ในแนวหลังต่อไป
และก็เป็นอย่างที่นายทหารของกองพลพูดเอาไว้ ภายใน 4 วันหลังจากที่เฮ็ลมุทและทหารที่ได้รับบาดเจ็บชุดสุดท้ายถูกส่งกลับไป กองพลทหารราบที่ 77 กองพลทหารราบที่ 243 และ กองพลทหารราบรักษาการณ์ที่ 709 พร้อมด้วยกำลังเสริมอีกจำนวนหนึ่งก็ถูกฝ่ายสหรัฐล้อมโดยสมบูรณ์ในพื้นที่ของคาบสมุทรโคทองแทง
ทหารเยอรมันทุกนายรบอย่างสิ้นหวัง เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีทางที่จะได้กลับออกไปอีกเป็นครั้งที่สอง อยู่ตรงนี้มีเพียง 2 ทางเลือก ไม่สู้จนตัวตาย ก็ยอมแพ้แล้วถูกจับเป็นเชลยศึกเท่านั้น
โทมัสเองก็เป็นหนึ่งในทหารหลายหมื่นนายที่ติดอยู่ในการล้อมที่คาบสมุทรโคทองแทงนั้น
‘มันคงจะดีกว่าถ้าหากพวกผู้บังคับบัญชาพวกนั้นฉลาดพอ และเลือกที่จะพาทหารในกองพลยอมแพ้ไปซะ’
ทั้ง 3 กองพลวางแนวรบของตนไว้รอการบุกมาของกองทัพสหรัฐ แม้จะรู้ว่ามันไม่มีหวังในการที่จะเอาชนะ เพราะกำลังของฝ่ายตรงข้ามนั้นเหนือกว่า แต่การจะยอมแพ้โดยที่ไม่ทำให้กองทัพสหรัฐเสียหายเลยนั้น มันก็ไม่ได้อยู่ในแผนของกองทัพเยอรมันที่โดนโอบล้อม
พวกเขาจะทำให้กองทัพสหรัฐต้องจ่ายในราคาแพง ถ้าหากคิดที่จะยึดพื้นที่ในคาบสมุทรโคทองแทงไปจากพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะต้องสูญเสียทหารไปในจำนวนเท่าๆ กัน แต่มันก็คุ้มค่าที่จะทำให้สหรัฐเสียหายไปพร้อมกัน
และถ้าหากการรบเข้าตาจนจนถึงขีดสุด แนวรับทุกแนวถูกตีแตกจนหมด สถานที่สุดท้ายที่พวกเขาจะสามารถถอยไปได้ก็คือ ‘เมืองแชร์บวร์ก’ เมืองที่อยู่ลึกเข้าไปในคาบสมุทรโคทองแทง ที่สุดปลายทางคือผืนน้ำอันกว้างใหญ่เท่านั้น
วันเวลาไม่เคยคอยท่าใคร 18 มิถุนายน 1944 หลังจากที่ฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกได้ 12 วัน พวกเขาก็เปิดปฏิบัติการที่จะทำลายกองทัพเยอรมันในคาบสมุทรโคทองแทงให้ราบคาบ
กองทัพน้อยสหรัฐที่ 7 (กองพลทหารราบในสังกัดได้แก่ กองพลทหารราบที่ 1, 4, 9 และ 30 แต่เนื่องจากกองพลทหารราบที่ 30 เกิดความล่าช้าในการรวมพล กองทัพน้อยที่ 7 จึงได้นำกองพลทหารราบที่ 79 มาดำเนินยุทธการณ์แทน) ได้เปิดฉากโจมตีกองทัพเยอรมันที่อยู่ภายในคาบสมุทรโคทองแทงอย่างรวดเร็วและรุนแรง
และกองทัพเยอรมันทำได้เพียงรบอย่างสิ้นหวังและรอวันพ่ายแพ้เท่านั้น…