ที่เยอรมนี เฟลิเซียนั้นกำลังร้อนใจเป็นอย่างมาก เพราะเธอพึ่งได้ยินข่าวจากพวกแม่ค้าในตลาดเกี่ยวกับการรบที่ฝรั่งเศส
พวกเธอคุยกันว่าการรบนั้นดุเดือดมาก มีทหารหลายนายเสียชีวิตในการรบ และพวกข้าศึกได้ยึดครองพื้นที่บางส่วนของฝรั่งเศสได้แล้ว
รวมไปถึงการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ที่ถูกปล่อยออกมาภายในประเทศเยอรมนีเกี่ยวกับการสละชีวิตของทหารกล้า ที่พวกเขาได้ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ เพื่อขับไล่ข้าศึกให้พ้นออกไปจากดินแดนอันกว้างใหญ่ของเยอรมนี
เฟลิเซียจึงตัดสินใจเขียนจดหมายไปหาโทมัสตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน แต่ในอีกไม่กี่วันต่อมา จดหมายก็ถูกตีกลับเพราะว่าไม่สามารถส่งให้ผู้รับปลายทางได้
นั่นทำให้หญิงสาวร้อนใจเป็นอย่างมาก และเกิดอาการหวั่นวิตกว่าโทมัสอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย หรือไม่ก็อาจจะเป็นหนึ่งในผู้โชคร้ายที่เสียชีวิตไปแล้วก็เป็นได้
แต่เธอก็คิดในแง่ดีว่างานในกองทัพอาจจะยุ่งมากเสียจนโทมัสไม่มีเวลารับจดหมาย หรือหน่วยทหารของเขาเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาในสนามรบก็เป็นได้
หัวใจดวงน้อยของเฟลิเซียอยู่ในสภาวะที่ไม่มั่นคง หากต้องสูญเสียโทมัส สามีที่อยู่กินกันมาหลายสิบปีไปจริงๆ หญิงสาวกล้าการันตีเลยว่า เธอไม่อาจที่จะทำใจได้อย่างแน่นอน และอาจจะเสียใจจนยอมเป็นม่ายไปตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้
“ฉันภาวนาให้คุณปลอดภัยนะคะที่รัก…”
เฟลิเซียกุมไม้กางเขน ก่อนจะสวดภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้สามีของเธอกลับมาหาเธออย่างปลอดภัย
ส่วนทางด้านยาคอปนั้น อาจจะเรียกได้ว่าเด็กน้อยหลงระเริงไปกับโฆษณาชวนเชื่อที่พรรคนาซีปล่อยออกมาไปโดยสิ้นเชิง เขาเชื่อว่ากองทัพเยอรมันนั้นเกรียงไกรกว่าชาติใดบนโลกใบนี้ และพวกข้าศึกจะต้องสยบยอมต่ออำนาจของกองทัพเยอรมัน
แม้แต่ข้าศึกในทิศตะวันออกและตะวันตกก็จะต้องถูกขับไล่ออกไปจากพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของเยอรมนี ด้วยฝีมือของพ่อของเขาและกองทัพเยอรมันอันแสนเกรียงไกร
ยาคอปเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในตัวของท่านผู้นำ ว่าจะนำพาชาติเยอรมนีเป็นใหญ่เหนือกว่าชาติอื่นๆ บนโลกใบนี้ และพวกข้าศึกที่พ่อของเขาออกไปรบด้วยก็เป็นเพียงแค่มดปลวกที่บังอาจมารุกรานเยอรมนีเท่านั้น
ความกังวลใจของเฟลิเซียและความเชื่อมั่นของยาคอปนั้นดำเนินมาจนถึงในช่วงเช้าของวันที่ 17 กรกฎาคม 1944
ในขณะที่เด็กน้อยกำลังทานอาหารเช้าที่ผู้เป็นแม่ทำให้ทานอยู่ และเฟลิเซียกำลังยืนเตรียมวัตถุดิบสำหรับมื้อกลางวันอยู่
‘ปิ๊งป่อง!’
เสียงกดกริ่งหน้าบ้านก็ได้ดังขึ้น
“พ่อฮะ!!”
ยาคอปรีบวางช้อน แล้วกระโดดลงจากเก้าอี้ด้วยความดีใจ และวิ่งไปที่ประตูบ้านทันที เพื่อหวังที่จะได้พบกับผู้เป็นพ่อ
แต่เมื่อเปิดประตู เด็กน้อยกลับพบกับทหารนายหนึ่งที่ยืนอยู่ ที่ใบหน้าของเขามีผ้าพันแผลพันเอาไว้อยู่ ในมือของเขามีชุดเครื่องแบบทหารพร้อมกับธงชาติและซองจดหมายวางเอาไว้บนนั้น
“…”
“…”
ทั้งสองฝ่ายจ้องมองกันโดยที่ไม่มีฝ่ายใดเอ่ยถ้อยคำออกมาก่อน จนกระทั่งเฟลิเซียเดินออกมาจากในห้องครัว
“ยาคอป? ใครมาเหรอลูก?”
พอเธอเห็นหน้าของทหารนายนั้นก็เริ่มที่จะหวั่นวิตกและรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่ต้องจะเผชิญต่อไป เพราะเธอจำชุดเครื่องแบบที่เขาถืออยู่ได้ มันเป็นของโทมัส สามีของเธอนั่นเอง
“…ผมขออภัยครับ…ที่หนีเอาตัวรอดมา…ผมละอายใจเหลือเกินที่คนที่มายืนอยู่ตรงนี้กลับเป็นผม…ไม่ใช่ผู้พัน…”
เฮ็ลมุทพูดขึ้น พร้อมกับก้มหน้าสำนึกผิด
เขาคิดว่าคนที่ควรมายืนตรงนี้ควรจะเป็นผู้พันโทมัสที่มีภรรยาและลูกคอยต้อนรับกลับอยู่ ไม่ใช่เขาที่ไม่เหลือใครในครอบครัวคอยต้อนรับกลับเลย
“แล้วโทมัสล่ะ! เขาอยู่ไหนคะ?!”
เฟลิเซียถามด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน
“…ผมขออภัยที่ต้องพูดจารุนแรงครับ…ผู้พัน…ตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูครับ…และข่าวจากวงในบอกว่า…กองพลของพวกเราสูญเสียอย่างหนักกับการรบกับทหารฝ่ายสหรัฐ…ผมไม่รู้เลยครับว่าผู้พันจะมีชีวิตรอดหรือเปล่า…”
เฮ็ลมุทพูดขึ้นเสียงอ่อยๆ
“คุณจะบอกว่าเขา…เสียชีวิตแล้วเหรอคะ…”
เฟลิเซียพูดเสียงสั่นเครือ
“ผม…ไม่ทราบครับ…กองพลของพวกเราอ่อนแอมากก่อนที่พวกสหรัฐจะบุกมา…ผม…ขออภัยครับ…คุณนาย…”
เฮ็ลมุทพูด
“ไม่จริง! ไม่จริง! คุณโกหก! สามีของฉันต้องสบายดีอยู่แน่ๆ”
เฟลิเซียปฏิเสธความเป็นจริงอันแสนโหดร้ายที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่น้ำตาของเธอกลับไหลพรากออกมาอย่างน่าสงสาร จนทำให้เฮ็ลมุทรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก
ถ้าหากเลือกได้เฮ็ลมุทก็อยากที่จะอยู่ที่กองพลต่อ เพื่อร่วมรบกับเพื่อนทหารในหน่วย แม้ว่ามันจะเสี่ยงชีวิตทุกขณะลมหายใจ แต่การที่จะต้องมาเห็นครอบครัวหนึ่งใจสลาย เพราะคนที่รักได้จากไปเพราะภัยของสงคราม เขาคิดว่าการที่ได้ตายในหน้าที่นั้นยังดูไม่เจ็บปวดเท่านี้เลย
“ฟังฉันนะพ่อหนุ่มน้อย พ่อของเธอคือนายทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาในชีวิตการเป็นทหาร พ่อของเธอคือแบบอย่างให้แก่ทหารในกองพัน เป็นสหายร่วมศึกที่ไว้ใจได้ เป็นคนที่มีน้ำใจแก่ทหารทุกนายโดยไม่ถือชั้นยศ มีความองอาจและกล้าหาญ ผู้ที่อยู่แนวหน้าของการต่อสู้เสมอ การสูญเสียพ่อของเธอไป ถือเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของกองทัพเยอรมัน เธอจงรับเครื่องแบบและธงชาตินี้ไปด้วยความภาคภูมิใจเถอะนะ ฉันขอโทษ และรู้สึกยินดีที่ครั้งหนึ่งเคยได้ร่วมรบกับพ่อของเธอนะ”
เฮ็ลมุทย่อตัวลงมาพูดกับยาคอป พร้อมกับยื่นชุดเครื่องแบบและธงชาติให้กับเด็กน้อย
“…”
ยาคอปช็อกไปแล้ว เมื่อรู้ว่าพ่อของตัวเองจะไม่มีวันได้กลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง สงครามที่เขาคิดมาตลอดว่าเป็นสถานที่ที่น่าสนุกและน่าตื่นเต้น และภาคภูมิใจทุกครั้งที่ได้เห็นพ่อของเขาเข้าไปมีส่วนร่วมกับมัน
บัดนี้ มันได้พรากพ่อของเขาไปตลอดกาลแล้ว…
“นี่สำหรับคุณครับ คุณนาย…”
เฮ็ลมุทยื่นจดหมายให้กับเฟลิเซีย ที่ในตอนนี้เธอได้ทรุดตัวลงไปนั่งร้องไห้อยู่ที่ตรงทางเข้าบ้านแล้ว
“…”
ยาคอปยังคงช็อกอยู่ ความช็อกและความโศกเศร้าที่ไม่สามารถหาถ้อยคำใดๆ มาบรรยายได้ถาโถมเข้ามาหาเด็กน้อยที่อายุ 13 ย่างเข้า 14 ปี ราวกับคลื่นในฤดูมรสุม
“ผมขอตัวก่อนนะครับ…”
เฮ็ลมุททำท่าวันทยหัตถ์ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
เฟลิเซียคลี่จดหมายฉบับสุดท้ายที่ผู้เป็นสามีเขียนถึงเธอออกมาอ่าน
“ถึง เฟลิเซียและยาคอป
กองพลของผมกำลังจะโดนพวกสัมพันธมิตรตะวันตกโอบล้อม ผมจึงต้องส่งจดหมายฉบับนี้ไปหาพวกคุณโดยผ่านใครสักคน ถ้าหากคุณได้อ่านจดหมายฉบับนี้ นั่นหมายถึงในตอนนั้นกองพลของผมคงอาจจะกำลังโดนโอบล้อมอยู่หรือไม่ก็โดนตีแตกไปแล้ว คุณเชื่อไหมว่าผมอยากจะแกล้งได้รับบาดเจ็บและกลับไปหาพวกคุณมาก แต่ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ถ้าผมทิ้งหน้าที่ตรงนี้ไป ทหารหลายนายอาจจะต้องตายเพราะขาดผู้บังคับบัญชาที่เข้มแข็งในการบัญชาการรบ ถ้าผมอยู่ที่นี่ พวกเขาอาจจะยังมีชีวิตรอดกลับไปหาคนที่พวกเขารักในอนาคต ผมรักคุณนะที่รัก ผมดีใจที่ได้มาเจอคุณและได้สร้างครอบครัวที่อบอุ่นด้วยกันนะ ฝากบอกย็อคด้วยนะว่าผมก็รักเขาเหมือนกัน เขาคือแก้วตาดวงใจของผมเลยล่ะ ขอโทษด้วยที่วันเกิดของย็อคในปีนี้ผมไม่ได้อยู่เฉลิมฉลองด้วยกันกับพวกคุณอีกแล้ว และอาจจะต่อไปในอนาคตด้วย.
ด้วยรัก
โทมัส”
พออ่านจบ เฟลิเซียก็สะอื้นไห้ราวกับกำลังจะขาดใจพร้อมกับกอดจดหมายเอาไว้แน่น เพราะเธอรู้ดีว่าโทมัสได้จากไปแล้ว จากไปแบบไม่มีวันหวนกลับมาอีก
ส่วนยาคอปนั้น พอเด็กน้อยตั้งสติได้แล้ว ความโศกเศร้าก็ประดังประเดเข้ามาหาเขา ราวกับกำลังเยาะเย้ยเขาที่ครั้งหนึ่งเคยดูถูกสงครามเอาไว้ว่าเป็นเพียงสถานที่ที่น่าตื่นเต้นและน่าสนุก และเป็นสถานที่สำหรับแสวงหาเกียรติยศเท่านั้น
บัดนี้ สงครามที่เขาเคยดูถูกมัน มันได้พรากบุคคลอันเป็นที่รักที่สุดของเขาไปแบบไม่มีวันหวนกลับมาอีก
และเด็กน้อยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องรับมือกับมันอย่างไร…
.
19 กรกฎาคม 1944, เมืองลิเวอร์พูล, สหราชอาณาจักร
“จัดแถวตอนเรียงหนึ่งแล้วเดินไปข้างหน้า ไอ้พวกนาซี!”
ทหารอังกฤษนายหนึ่งตะโกนออกคำสั่งควบคุมแถวของทหารเยอรมันที่ตกเป็นเชลยศึก ในขณะที่พวกเขาลงจากเรือและกำลังจะถูกส่งตัวไปที่ค่ายเชลยศึก
“ใครเล่นตุกติก ฉันยิงพวกแกทิ้งแน่!”
ทหารอังกฤษอีกนายตะโกน
โทมัสที่เป็นอดีตผู้บังคับกองพันของพวกเขาเดินนำอยู่ด้านหน้า ในขณะนั้นเองที่เขาถูกทหารอังกฤษสองนายขวางตัวเอาไว้
“พวกคุณมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า?”
โทมัสถามพวกเขาเป็นภาษาอังกฤษ
“คุณต้องมากับพวกเรา”
ทหารอังกฤษนายหนึ่งพูดกับเขา
“คุณจะพาผมไปไหน?”
โทมัสถาม
“อเมริกา คุณต้องถูกส่งตัวไปอเมริกา เพราะคุณเป็นนายทหาร”
ทหารอังกฤษแจ้งให้โทมัสทราบ
“ตกลง! พวกคุณพาผมไปได้เลย”
โทมัสยอมพวกเขาแต่โดยดี เพราะอย่างไรเสีย เขาก็เป็นเชลยศึกของกองทัพสัมพันธมิตรอยู่แล้ว
ในขณะที่โทมัสกำลังจะถูกควบคุมตัวไปขึ้นเรือนั้น อดีตทหารในบังคับบัญชาของเขาทุกคนได้ทำความเคารพส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย
“ทหารทุกนาย ทำความเคารพ!!”
ทหารทุกนายที่เคยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของโทมัสทำท่าวันทยหัตถ์ส่งโทมัสเป็นครั้งสุดท้าย
โทมัสหันมาทำท่าวันทยหัตถ์และยิ้มให้พวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินขึ้นเรือรบที่กำลังจะมุ่งหน้าไปสู่สหรัฐอเมริกา
ทหารอังกฤษดูจะไม่ได้ว่าอะไรพวกเขา ในทางกลับกันยังปล่อยให้ทหารเยอรมันทำความเคารพส่งผู้บังคับบัญชาของพวกเขา จนกระทั่งโทมัสหายลับสายตาไป ทหารเยอรมันจึงเริ่มเดินกันต่อเพื่อไปยังค่ายควบคุมตัวเชลยศึก
‘ผมปลอดภัยแล้ว ผมภาวนาให้พวกคุณปลอดภัยจากภัยสงครามนะที่รัก’
โทมัสนั่งภาวนาอยู่ที่ใต้ท้องเรือถึงภรรยาและลูกชายของตนเองให้พวกเขาปลอดภัยจากภัยสงครามที่กำลังจะไปถึงตัวของพวกเขาในไม่ช้านี้
เพราะในตอนนี้ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งให้เยอรมนีพ่ายแพ้สงครามได้อีกต่อไปแล้ว…