ยาคอปตื่นนอนตอนเวลา 07.00 นาฬิกา ซึ่งเร็วกว่าเวลาปกติที่เขามักจะตื่นประจำอยู่ 1 ชั่วโมง เพราะวันนี้เขาต้องเตรียมตัวเข้าไปอยู่ในการอุปการะของคุณเฮนรี่และครอบครัวแล้ว
หลังจากที่อาบน้ำและทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ยาคอปก็ไปเก็บของใช้ที่เหลืออยู่นิดหน่อยลงถุงส่วนตัว และที่สำคัญเขาตรวจเช็คสิ่งของในลิ้นชักส่วนตัวว่ามีสิ่งไหนที่ตัวเองลืมเอาไว้หรือเปล่า
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อย ยาคอปเช็คของที่สำคัญที่สุดของเขาอย่าง ‘รูปถ่ายครอบครัว’ ที่เขามีติดตัวเพียงใบเดียวและใบสุดท้ายที่เหลือรอดมาจากสงครามเมื่อหลายเดือนก่อน
“ผมจะไปแล้วนะครับ คุณพ่อ คุณแม่”
ยาคอปพูดกับรูปภาพใบนั้นเบาๆ เพราะสิ่งนี้มันทำให้เขาอุ่นใจราวกับว่าตัวของเขามีพ่อและแม่คอยดันหลังในการทำสิ่งต่างๆ แม้ว่าในตอนนี้พวกท่านจะจากโลกใบนี้ไปแล้วก็ตาม
และยาคอปรู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่ได้ใจร้ายกับเขาอย่างที่คิด ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนบนโลกใบนี้ ต่อให้จะบุกน้ำลุยไฟ หรือจะให้ตะลุยฝ่าห่ากระสุนอีกครั้ง แต่เมื่อเขามีรูปถ่ายใบนี้ติดตัวไปด้วย ทุกอย่างก็สามารถกลายเป็นเรื่องง่ายภายในพริบตาเดียว
“พี่ยาคอปคะ~ คุณครูมาร์ทาให้มาตามพี่ไปพบที่ห้องค่ะ”
เสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของยาคอป ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังอมยิ้มให้กับรูปถ่ายครอบครัวของตัวเองอยู่
“อื้ม! พี่จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ยาคอปหันไปตอบเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าเขา 5 ปี เธอมีชื่อว่า ‘เอลิซาเบ็ท’ เด็กกำพร้าที่สูญเสียพ่อกับแม่ไปในสงครามเหมือนกับเขา
หลังจากนั้นเอลิซาเบ็ทก็เดินจากไป เพื่อไปเล่นกับเพื่อนๆ หลังจากที่ทำตามคำสั่งของคุณครูใหญ่เสร็จแล้ว ส่วนยาคอปก็มัดถุงส่วนตัวและสะพายมันขึ้นบ่า ก่อนจะมุ่งตรงไปที่ห้องของคุณครูมาร์ทาตามคำสั่ง
“ขออนุญาตครับ คุณครูมาร์ทา ผมยาคอปครับ”
ยาคอปเคาะห้องตามมารยาท
“อื้ม! เข้ามาสิจ๊ะ~”
พอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับคุณครูมาร์ทาที่กำลังนั่งจัดการกับงานเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะอยู่
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“คุณเฮนรี่แจ้งว่าอาจจะมาช้ากว่ากำหนดการประมาณ 2 ชั่วโมงนะจ๊ะ พอดีเขามีเคสคนไข้ด่วนเข้ามาแทรก อีกอย่างตอนนี้หิมะกำลังตกหนัก การจราจรเลยเป็นอัมพาต คุณเฮนรี่เลยแจ้งเอาไว้ล่วงหน้าก่อนจ้ะ”
คุณครูมาร์ทาพูดยิ้มๆ
“ทราบแล้วครับ”
ยาคอปพยักหน้าหงึกๆ เป็นสัญญาณว่าเขารับทราบข้อมูลแล้ว
“ไปรอที่ห้องนั่งเล่นกับเด็กๆ คนอื่นๆ ได้เลยนะจ๊ะ อากาศหนาวแบบนี้ นั่งหน้าเตาผิงอุ่นๆ จะดีต่อร่างกายมากกว่านะ”
คุณครูมาร์ทาพูดกับยาคอป
“ทราบแล้วครับ ขอตัวนะครับคุณครู”
ยาคอปพยักหน้ารับทราบคำสั่ง ก่อนจะปิดประตูออกไป
ยาคอปไปนั่งหน้าเตาผิงตามคำสั่งของคุณครูมาร์ทา ที่นั่นพวกเด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงกำลังนั่งทำกิจกรรมร่วมกับคุณครูคนอื่นๆ อยู่ บางคนอ่านนิทานภาพ บางคนเล่นเกมต่อคำ บางคนเล่นเกมกระดาน บางคนก็นอนหลับบนตักของคุณครูมารี
ส่วนตัวของเด็กหนุ่มนั้นว่าจะอ่านหนังสือต่อจากส่วนที่ค้างเอาไว้ เพราะเขายุ่งจนลืมไปเลยว่าอ่านหนังสือค้างเอาไว้
ยาคอปเลือกนั่งลงที่โซฟาหน้าเตาผิงที่ยังว่างอยู่ ก่อนจะเปิดหนังสือนิยายอีกครั้ง และเขาก็ถูกโลกแห่งตัวอักษรดึงดูดความสนใจไปจากรอบข้างจนหมด
นิยายเริ่มต่อจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยสืบสวนอาชญากรรมจับตัวฆาตกรไร้เงาได้ ก่อนที่จะจับตัวของเขาไปสอบสวน และจากเบาะแสทั้งหมดที่ได้จากคดีต่างๆ รวมไปถึงการให้ปากคำของคนร้าย ทำให้พวกเขาทราบว่าจอมโจรไร้เงาเป็นสมาชิกขององค์กรลับที่เคลื่อนไหวในเงามืดที่มีเครือข่ายขนาดใหญ่ครอบคลุมทั่วทั้งโลก และมีฐานปฏิบัติการใหญ่อยู่ในประเทศเผด็จการแห่งหนึ่ง
องค์กรที่ว่านั้นก็คือ ‘WBV’ หรือ ‘Wenn Blumen verwelken’ (ยามดอกไม้เหี่ยวเฉา) องค์กรที่เปรียบเสมือนเงาของโลกเบื้องหน้าของประเทศเผด็จการที่ฐานของพวกเขาตั้งอยู่ พวกเขาทำภารกิจทุกรูปแบบตั้งแต่การลอบสังหารบุคคลธรรมดา การหาข่าวกรองต่อประเทศที่เป็นศัตรู ไปจนถึงก่อความวุ่นวายในระดับโลก
พวกเขามีคำปฏิญาณที่จะต้องพูดเมื่อเข้าร่วมองค์กรว่า
“ข้าจะมอบความภักดีทั้งหมดของข้า เพื่อผลประโยชน์ขององค์กรและมาตุภูมิ แม้ความภักดีจะต้องแลกด้วยชีวิตของข้า”
องค์กรนี้มีตั้งแต่คนระดับรากหญ้าไปจนถึงคนใหญ่คนโตระดับประเทศเป็นสมาชิก พวกเขาคอยชักใยอยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์สำคัญๆ มากมายที่เกิดขึ้นในโลก
และจากข้อมูลที่ตำรวจหน่วยสอบสวนอาชญากรรมรวบรวมมาได้จากจอมโจรไร้เงา คราวนี้ WBV และประเทศแม่กำลังจะก่อสงครามที่จะคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์นับล้านคนด้วยอาวุธมหาประลัยที่ซุ่มพัฒนามาอย่างยาวนาน เพื่อการขยายดินแดน
หน่วยตำรวจอาชญากรรมเห็นว่าเกินขอบเขตอำนาจของตัวเอง พวกเขาจึงส่งเอกสารทั้งหมดไปให้องค์กรที่เปรียบเสมือนกับปรปักษ์ของ WBV
นั่นก็คือ ‘BBB’ หรือ ‘Bis Blumen blühen’ (จนกว่าดอกไม้จะผลิบาน) ที่พวกเขาเป็นองค์กรที่คอยเคลื่อนไหวในเงาเช่นเดียวกับ WBV แต่พวกเขารับใช้อุดมการณ์ที่แตกต่างกัน
ถ้าหาก WBV รับใช้เผด็จการของพวกชนชั้นปกครองและคอยก่อความวุ่นวาย BBB จะรับใช้เสรีภาพของประชาชน และคอยระงับการกระทำของ WBV และทั้งสององค์กรมักจะโต้ตอบกันด้วยข่าวกรองที่สามารถเขย่าโลกได้ทั้งใบ
คำปฏิญาณของ BBB คือ
“พวกเราจะปกป้องปวงชนด้วยความเป็นจริง ความเป็นจริงที่จะทำให้พวกเขาเป็นไทจากการกดขี่ของเผด็จการ”
เมื่อเอกสารมาถึงองค์กร BBB และประเทศเสรีที่พวกเขาใช้เป็นที่มั่นแล้ว พวกเขาจึงส่งเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการภาคสนาม 4 คน พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการที่แทรกซึมในองค์กร WBV อีก 1 คน เพื่อทำการจารกรรมข้อมูลและทำลายแผนการของฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก
และเมื่อยาคอปอ่านมาถึงตรงนี้ เขาก็ต้องแปลกใจที่ตัวละครมีการเปลี่ยนตัวแสดงหลัก จากเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยสอบสวนอาชญากรรม มาเป็นหนึ่งในสี่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการภาคสนามจากองค์กร BBB ซึ่งเด็กหนุ่มไม่เคยเจอมาก่อนในหนังสือเล่มไหน แต่เขาก็อ่านต่อ เพราะลุ้นระทึกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการภาคสนามของ BBB ได้แทรกซึมเข้าสู่ประเทศเผด็จการ ก่อนจะนัดพบกับชุดปฏิบัติการแทรกซึมในองค์กร WBV และพวกเขาทั้งหมดได้วางแผนกันอย่างรัดกุม เพื่อทำลายแผนการใหญ่ครั้งนี้ให้สิ้นซาก
พวกเขาทั้ง 5 คนได้ก่อวินาศกรรมทำลายฐานปฏิบัติการของ WBV และจารกรรมข้อมูลภารกิจทั้งหมดของฝ่ายนั้นมา จนพวกเขาถูกสั่งตามล่าในขณะที่หลบหนีกลับไปยังแผ่นดินฝั่งเสรี
การหลบหนีนั้นยากลำบาก เพราะหัวหน้าชุดปฏิบัติการนั้นได้รับบาดเจ็บจากการถูกกระสุนยิง และพวกเขาก็ค่อยๆ สูญเสียเพื่อนร่วมทีมไปทีละคนในขณะที่กำลังหลบหนี รวมไปถึงชุดปฏิบัติการแทรกซึมในองค์กร WBV ด้วย
จนในที่สุดเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการภาคสนามคนสุดท้ายที่รอดชีวิตก็ฝ่ามาถึงแผ่นดินเสรี ในขณะที่พวกคนจากฝั่งเผด็จการตามล่าเขาที่หอบเอกสารทั้งหมดกลับมา
ทหารฝ่ายเสรีและเผด็จการต่างเปิดฉากยิงกันอย่างดุเดือด ฝั่งหนึ่งต้องการที่จะปกป้องเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการภาคสนาม ฝั่งหนึ่งพยายามที่จะชิงตัวเขาไป
เจ้าหน้าที่ภาคสนามนั้นถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสและอาการโคม่า ฝั่งเสรีได้พาตัวของเจ้าหน้าที่รายนั้นเข้าสู่กระบวนการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่มี จนกระทั่งเขารอดชีวิต
ส่วนเอกสารที่จารกรรมมาได้ก็ถูกส่งไปถึงมือของฝั่งประเทศเสรี และองค์กร BBB พร้อมกับกองทัพฝั่งเสรีได้ทำการสกัดกั้นแผนการทั้งหมดของ WBV ได้ทั้งหมด และโลกก็กลับมาปลอดภัยอีกครั้ง
ส่วนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการรายนั้นที่เป็นตัวละครหลักได้รับการปรนนิบัติจากสาวสวยในขณะที่รักษาตัว จนกระทั่งพวกเขาตกหลุมรักกัน และได้แต่งงานกันในที่สุด
.
ยาคอปปิดหนังสือที่พึ่งอ่านจบลงด้วยความตื่นเต้นสุดขีด เพราะมันสนุกมากๆ อาจจะสนุกที่สุดเท่าที่เขาเคยอ่านมาเลยก็เป็นได้ ใครจะคาดคิดว่าจากแค่ปริศนาในเมืองเล็กๆ นำไปสู่ปฏิบัติการระดับโลกที่มีชีวิตผู้คนเป็นเดิมพัน
แต่ยาคอปก็ต้องเก็บความตื่นเต้นนั้นเอาไว้ก่อน เพราะนี่ก็ใกล้ได้เวลาที่ครอบครัวอุปถัมภ์จะมารับแล้ว เด็กหนุ่มต้องทำทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่พวกเขาจะมา
และเมื่อเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลา 12.00 นาฬิกา ประตูของสถานรับเลี้ยงก็ถูกเปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของชายคนหนึ่ง
เขาสวมหมวกปีกกว้างสีน้ำตาล เสื้อกันหนาวสีเทา กางเกงขายาวและรองเท้าสีดำ ใบหน้าเขายังดูหนุ่มแน่น ไร้รอยเหี่ยวย่นใดๆ นัยน์ตาของเขาเป็นสีฟ้าใส และเมื่อเขาถอดหมวกปีกกว้างออก เรือนผมสีน้ำตาลบลอนด์ก็ปรากฏออกมา
“อ๊ะ! คุณเฮนรี่ใช่ไหมคะ?”
คุณครูมาร์ทาที่รีบกระวีกระวาดลงบันไดมาเอ่ยทักขึ้น
“ใช่ครับ”
เฮนรี่กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ
“ทางนี้เลยค่ะ ยาคอปกำลังรอคุณอยู่เลย”
คุณครูมาร์ทาพูดกับเขา
ก่อนที่ทั้งสองคนเดินไปหายาคอปที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น
“คนนั้นคือยาคอปค่ะ คุณเฮนรี่”
คุณครูมาร์ทากล่าวกับเฮนรี่ พร้อมกับชี้ไปทางยาคอปที่กำลังก้มเก็บหนังสือลงถุงส่วนตัวอยู่
เฮนรี่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหายาคอป และหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กหนุ่ม ห่างจากเขาราวๆ 2-3 เมตร
“สวัสดียาคอป ผมชื่อเฮนรี่ มาธิอุส ยินดีที่ได้รู้จักนะ ผมหวังว่าเธอจะเข้ากับครอบครัวพวกเราได้นะ”
เฮนรี่กล่าวทักทาย ก่อนจะยื่นมือออกไปหายาคอป
เด็กหนุ่มสะดุ้งตัวน้อยๆ เพราะในขณะที่ก้มลงเก็บของอยู่นั้นก็มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยเรียกชื่อของตัวเอง พอเงยหน้ามาก็พบกับชายคนหนึ่งที่ยืนยิ้มและยื่นมือมาทางเขาอยู่
“…ยินดีที่ได้รู้จักครับ…คุณมาธิอุส”
ยาคอปพูดพร้อมกับสัมผัสมือของเฮนรี่กลับไปเป็นการทักทาย
“ขอโทษที่วันนี้ครอบครัวผมไม่ได้มาด้วยนะ พอดีพวกเขากำลังเตรียมฉลองคริสต์มาสอยู่ที่บ้านน่ะ ว่าแต่พวกเราไปกันเลยดีไหม?”
เฮนรี่พูดกับยาคอป
“ตามที่คุณสะดวกเลยครับ คุณมาธิอุส…”
ยาคอปพยักหน้าหงึกๆ
แม้จะไม่คุ้นเคยกับเฮนรี่มาก่อน แต่แววตาและน้ำเสียงที่อ่อนโยนเหมือนกับผู้เป็นพ่อที่ล่วงลับไปของเขา ทำให้ยาคอปรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยที่อย่างน้อยชายตรงหน้าก็ดูเป็นคนดี
“อื้ม! ไปกันเลยเถอะ!”
เฮนรี่กล่าวยิ้มๆ
ยาคอปจึงสะพายถุงส่วนตัวขึ้นบ่า ก่อนจะเดินตามเฮนรี่ไป โดยมีคุณครูในสถานรับเลี้ยงรวมถึงคุณครูมาร์ทาและเด็กๆ ทุกคนตามมาส่งด้วย
และก่อนที่ยาคอปจะก้าวออกจากประตูรั้วไปสู่โลกกว้างที่รอคอยเขาอยู่ คุณครูมาร์ทาก็ได้พูดกับเขาว่า
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น…บ้านหลังนี้พร้อมต้อนรับเธอกลับมาเสมอนะจ๊ะยาคอป กลับมาหาครูได้เสมอเลยนะ”
“ได้ครับคุณครู…ผมไปก่อนนะครับ…ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะครับ”
ยาคอปพูดด้วยเสียงสั่นเครือ เพราะต่อจากนี้เขาจะไม่ได้เห็นพวกคุณครูที่กำลังเดินง่วนทำกิจวัตรประจำวัน หรือเสียงเจี๊ยวจ๊าวจนน่ารำคาญของพวกเด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงอีกต่อไปแล้ว
มันจึงน่าเศร้าในหลายๆ แง่ แต่ยาคอปรู้ดีว่าเพื่ออนาคตของตัวเองแล้ว มีแต่ต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น เพราะเขาไม่อาจจะหยุดเวลาเอาไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ไว้ตลอดไปได้
“จ้ะ…ไปดีมาดีนะ…”
คุณครูมาร์ทาลูบศีรษะของยาคอป
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเดินไปขึ้นรถของเฮนรี่ และรถก็ขับออกมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า มุ่งหน้าสู่บ้านของครอบครัวมาธิอุส สถานที่ที่ลึกลับและน่าฉงนสำหรับยาคอป
.
บนรถในขณะที่กำลังติดอยู่บนท้องถนน เฮนรี่ได้ชวนยาคอปคุยเพื่อทำลายความเงียบระหว่างพวกเขา
“ว่าแต่นะยาคอป…เธออยากจะเปลี่ยนนามสกุลของเธอเป็นมาธิอุสเหมือนครอบครัวของผมหรือเปล่า?”
เฮนรี่ถามยาคอป เพราะเป็นครอบครัวเดียวกัน การใช้นามสกุลเดียวกันย่อมดีกว่า แต่ถ้าหากยาคอปไม่อยากที่จะเปลี่ยนเขาก็จะไม่บังคับ
“ผมขอใช้นามสกุลฮอฟมันต่อไปดีกว่าครับ คุณมาธิอุส”
ยาคอปพูดตอบกลับไป
“ฮะๆ โอเคๆ แต่ว่าอีกอย่างนะ เรียกผมเฮนรี่ก็ได้ เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ขืนเรียกว่าคุณมาธิอุส ครอบครัวผมได้หันมากันหมดแน่ๆ”
เฮนรี่หัวเราะร่วน พร้อมกับบอกให้ยาคอปเรียกชื่อเขาได้เลยโดยที่ไม่ต้องเรียกนามสกุลตามมารยาท
“……ตกลงครับ คุณเฮนรี่”
ยาคอปเปลี่ยนวิธีการเรียกเฮนรี่ใหม่ จากเรียกนามสกุลมาเป็นเรียกชื่อ แม้ว่าจะมีท่าทีลังเลเล็กน้อยในช่วงแรกก็ตาม
“ดีมาก! อ้อ! จริงสิ! มีอย่างหนึ่งที่ผมต้องบอกให้เธอรู้…”
เฮนรี่ดีดนิ้วอย่างนึกขึ้นได้ว่าพลาดบางอย่างที่สำคัญไป
“อะไรเหรอครับ?”
ยาคอปเอียงคอสงสัย
“คือว่านะ…ลูกสาวผมค่อนข้างที่จะดีดเป็นม้าเลย…ได้เห็นเธอก็จะรู้เอง…แต่ไม่ต้องห่วงนะ ผมเชื่อว่าลูกสาวของผมต้องเข้ากันกับเธอได้แน่ยาคอป ไม่สิ! เอ…พูดให้ถูกคือ ลูกสาวของผมเข้ากันได้ดีกับทุกอย่างรอบตัวนั่นแหละนะ ฮะๆ”
เฮนรี่หัวเราะร่วนอีกครั้ง
ส่วนยาคอปนั้นหน้าซีดราวกับไก่ต้มเมื่อได้ยินแบบนั้น เพราะไม่มีใครเคยบอกเขาเลยว่าลูกของเฮนรี่นั้นเป็นผู้หญิง ซึ่งยาคอปไม่ถูกกับเด็กผู้หญิงอย่างแรง และถ้าหากว่าเขารู้ในข้อนี้ เขาจะไม่เลือกเฮนรี่เป็นผู้อุปการะเด็ดขาด
แต่ในขณะเดียวกันก็ปลอบใจตัวเองว่าไม่มีอะไรที่ทำได้แล้วในตอนนี้ อีกทั้งตัวเขาเองยังเคยปฏิญาณว่าจะลองทำความเข้าใจผู้หญิงดูสักครั้ง และคิดในแง่ดีและเข้าข้างตัวเองแบบสุดๆ ลูกสาวของเฮนรี่อาจจะยังเป็นเด็กน้อยก็ได้
เมื่อคิดแบบนั้นแล้ว ยาคอปจึงค่อยหายกังวลได้นิดหน่อย และมองเหม่อออกไปบนท้องถนน ที่รถทุกคันกำลังเบียดเสียดกันราวกับปลาในกระป๋อง
ยาคอปภาวนาอย่างสุดฤทธิ์ว่าให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคิด เด็กหนุ่มภาวนาว่าขอให้เข้ากันได้ดีกับครอบครัวอุปถัมภ์ ขอให้วันเกิดปีนี้เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปในทางที่ดี และขอให้ลูกสาวของเฮนรี่เป็นเด็กน้อยตัวเล็กๆ
พระผู้เป็นเจ้ารับฟังคำขอของยาคอป แต่พระองค์ปฏิเสธที่จะรับฟังข้อสุดท้าย…