ตอนที่ 2 ด่านเคราะห์ (2)

2129 Words
ตอนที่ 2 ด่านเคราะห์ (2) แดนปักษาตั้งอยู่ในหุบเขาทางทิศตะวันตกของทะเลตงไห่ ฝั่งหนึ่งเป็นเขาที่มีหน้าผาสูงชันซึ่งสามารถมองเห็นทะเลได้ อีกฝั่งของดินแดนมีความลาดชัน ไล่ลงไปถึงหุบเขาพันพฤกษาซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าเซียนปักษา แดนสวรรค์มีเผ่าเซียนหลักๆ อยู่สี่เผ่า นั่นคือเผ่ามังกร เผ่ามัจฉา เผ่าจิ้งจอกและเผ่าปักษา ในตำนานของมนุษย์มักมีคำกล่าวว่า หากพูดถึงสี่เผ่าแห่งแดนสวรรค์แล้วไซร้ เผ่ามังกรทรงพลัง หยิ่งผยองทะนงตน เผ่ามัจฉาโอบอ้อมอารี สุขุม มากน้ำใจ เผ่าจิ้งจอกเฉลียวฉลาดเจ้าแผนการ เผ่าปักษา ยอดขุนพลท้องฟ้าผู้รักสวยรักงาม ในอดีตเผ่าปักษาเต็มไปด้วยยอดขุนพล หากแต่มีบุรุษมากกว่าสตรี เมื่อถึงคราวที่ต้องออกศึกกับจอมมารหนี่หวง ขุนพลเผ่าปักษาเก้าในสิบต้องสังเวยชีวิตภายใต้กรงเล็บของสัตว์อสูรทั้งสี่ จนถึงบัดนี้แม้เวลาผ่านไปหลายหมื่นปี จำนวนประชากรก็หาได้เพิ่มขึ้นไม่ เผ่าปักษากลายเป็นเผ่าสวรรค์ที่มีจำนวนประชากรน้อยที่สุด ไม่ต่างกับอำเภอเล็กๆ ในโลกมนุษย์เลยแม้แต่น้อย หงหลิง เสิ่นอวี้มองศิลาปักษาของเทียนเฟิ่ง ในใจย่อมมีความขัดแย้งมากมายกับการกระทำที่ไร้เหตุผลของนาง ทว่าคนอย่างเทพปักษามีหรือจะทำอะไรตามอารมณ์ของตน อย่างน้อยนางก็มิได้ล้อเล่นกับความเป็นตายให้ผู้ใดเสียขวัญอย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วพอนางพูดถึงด่านเคราะห์ของเทพสวรรค์ เสิ่นอวี้จึงมิอาจวางใจได้ อย่างไรก็ตาม นอกจากนางจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของฝูซ่างแล้ว นางก็เป็นผู้มีพระคุณต่อพวกเขาสองสามีภรรยาจนชาตินี้ไม่รู้จะทดแทนอย่างไรจนหมด หลังจากเขียนนามใหม่ของนางลงไป คล้ายกับว่ามีกระแสพลังประหลาดแล่นปราดเข้าสู่ฝ่ามือ เซียนหนุ่มรีบปล่อยแท่งศิลากลับที่เดิมเพราะความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อย และเกรงว่าจะเผลอทำศิลาปักษาประจำกายเทียนเฟิ่งมีมลทิน หรือเกิดอะไรขึ้นกับเทียนเฟิ่ง? เขาสังหรณ์ใจ ร่างเซียนพลันสลายไปในอากาศ เหลือไว้เพียงขนนกสีทองแดงเส้นหนึ่ง เทพปักษาผู้ได้รับบาดเจ็บรักษาอาการเบื้องต้นของตนเองได้อย่างยอดเยี่ยม อย่างน้อยก็เสร็จสิ้นก่อนที่เสิ่นอวี้กลับมาพอดี นางยืนหันหลังให้คนสนิท มองออกไปนอกหน้าต่าง ในมือขวาที่ไพล่หลังคือขนนกสีทองเส้นหนึ่ง เสิ่นอวี้หางคิ้วกระตุก สตรีตรงหน้าสวมชุดบุรุษสีขาว เส้นผมสีดำประกายทองเหลือบแดงถูกรวบตึงแล้วสวมเกี้ยวสีทองบนศีรษะ ส่วนที่เหลือปล่อยยาวระแผ่นหลังที่ดูเหมือนจะหนากว่าเดิมเล็กน้อย กระนั้นแล้วก็ยังดูสง่าผ่าเผยราวกับว่าเป็นเทพหนุ่มรูปนามองค์หนึ่งอยู่ดี แต่หากนางแต่งเป็นบุรุษเมื่อใด นั่นหมายความว่าเทียนเฟิ่งจะออกจากแดนปักษา ครั้นสังเกตเห็นขนนกสีทองในมือนางที่แกว่งไปมาอย่างไม่อนาทรร้อนใจ หว่างคิ้วของเซียนหนุ่มค่อยๆ ขมวดเป็นปม นายหญิงของเขาหาเรื่องเจ็บตัวอีกแล้ว เทพสาวสัมผัสได้ถึงอารมณ์เครียดขึงของเสิ่นอวี้ แต่ก็มิได้นำพานัก ก่อนหน้านี้ตรงอกซ้ายของนางร้อนวาบ จึงรับรู้ได้ทันทีว่านามใหม่ของนางถูกจารึกไว้ในศิลาปักษาแล้ว หงหลิง…นับแต่นี้ข้าก็คือหงหลิง “ทำได้ดีมาก” นางมิได้หันหลังกลับ ปลายนิ้วกวัดแกว่งขนนกในมือไม่หยุด “เผ่าปักษาเราตั้งครรภ์ไม่นาน อาฝูบำเพ็ญตบะมิได้แกร่งกล้ามากนัก คลอดออกมาก็ยังต้องประคบประหงมทารกอยู่พักใหญ่จนกว่าพวกเขาจะแปลงร่างเป็นนกได้ ช่วงนั้นฝูซ่างต้องเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก จำเป็นต้องได้รับกำลังใจจากผู้เป็นสามี” หว่างคิ้วของเสิ่นอวี้คลายลงเล็กน้อย ใบหน้าพลันอ่อนโยนลงเมื่อคิดถึงภรรยาและลูกในท้องของนาง หงหลิงกระดิกปลายนิ้ว ขนนกสีทองลอยไปหาเสิ่นอวี้ เซียนหนุ่มรับมันไว้ แม้จะสงสัยแต่ก็มิได้ถามขึ้นมา รู้ดีว่าเทพปักษามอบขนสีทองที่มีค่ามหาศาลไว้ให้เขานั้นย่อมมีเหตุผล หงหลิงเอ่ยต่อ “ข้าจะหายไปสักพักหนึ่ง เดิมทีจะไปลาราชาปักษาก่อน แต่ว่าตอนนี้ไม่มีเวลามากนัก ฝากเจ้าไปบอกลาแทนข้าทีก็แล้วกัน อีกไม่นานข่าวลือจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็คงมาถึงที่นี่ บอกคนในเผ่าเราให้ปิดเรื่องที่ข้าไม่อยู่ไว้ พวกเขากล่าวอะไรก็ให้ตามน้ำไป หากเขามาเยือนที่นี่ ก็อย่าได้ปริปากพูดอะไรแม้ครึ่งคำ ขนนกนั่น…เมื่อข้าไม่อยู่ ขนนกสีทองก็คือตัวแทน ฝูซ่างตั้งครรภ์ร่างกายย่อมอ่อนแอ ทารกที่จะเกิดมาถือว่าเป็นทายาทของเผ่าปักษาเรา เป็นสิ่งล้ำค่าที่จะให้เกิดเหตุร้ายกับเขาไม่ได้ หลานข้าคนนี้จำต้องได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี จำไว้ว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น…ให้เจ้าใช้ขนนกสีทองปกคลุมร่างเขาไว้ แล้วเด็กจะปลอดภัยเข้าใจหรือไม่” “ข้าเข้าใจ ท่านจะไปนานแค่ไหน” เสิ่นอวี้ซาบซึ้งในน้ำใจของนาง ทว่าคำสั่งเสียที่ฟังไม่ค่อยเข้าหูเช่นนี้ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ นิสัยเสียของเทพปักษา ต่อให้ตายก็ไม่ยอมปริปาก เมื่อหงหลิงตัดสินใจแล้ว นั่นย่อมหมายถึงว่านางจะไม่เปลี่ยนใจ “ส่งขุนพลปักษาของเราออกไปทั่วสิบขุนเขาหมื่นธารา เรียกพี่ใหญ่ข้ากลับมา ฝากบอกเขาด้วยว่าถ้ายังอยากเห็นหน้าข้าเป็นครั้งสุดท้ายก็รีบมาทำหน้าที่ของตัวเองได้แล้ว” หงหลิงหัวเราะในลำคอ พี่ชายนางหายตัวไปจนนางคร้านจะตามหา อยากรู้นักว่าหากเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นแล้วเขายังจะนิ่งเงียบได้หรือไม่ เสิ่นอวี้ร้อนใจ หรือมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกันแน่ “นายหญิง ท่านอย่าพูดเป็นลางเช่นนี้ เอ๊ะ...เมื่อครู่ท่านพูดถึงเขา เขากลับมาแล้วหรือ” "อืม" "เช่นนั้นก็ดีสิ" เสิ่นอวี้รู้ว่านางรอคอยมหาเทพองค์นั้นมานานมากแล้ว หากเขายังไม่กลับมา ก็นับว่าผิดต่อนางยิ่งนัก "ด่านเคราะห์ครั้งนี้ ให้เขาช่วยเหลือไม่ดีหรือ" นางยกมือให้เขาหยุดพูด “ข้าไม่ตายหรอก ด่านเคราะห์สวรรค์ครั้งนี้แค่ทำให้ข้าอารมณ์เสียเท่านั้น ตราบใดที่ข้าไม่ยอมตาย ไม่มีทางกลับคืนสู่แดนกำเนิดง่ายๆ แน่ อย่าลืมว่าห้ามพูดกับเฉียนเวยแม้ครึ่งคำ สั่งคนในแดนปักษาด้วย อ้อ...สั่งให้พวกเขาแต่งชุดขาวจนกว่าข้าจะกลับมา เข้าใจหรือไม่” นางกำชับ "ทราบแล้ว" "ดี" เผ่าปักษาเป็นเผ่าเดียวที่ไม่เคยสิ้นชีพเพราะด่านเคราะห์ โดยเฉพาะเฟิ่งหวงซึ่งถือเป็นผู้ปกครองสูงสุดของเผ่าปักษายิ่งเป็นไปได้ยาก ขอเพียงไม่สลายหายไปในอากาศ ดวงจิตไม่แตกซ่าน เถ้าธุลีก็จะกลับกลายเป็นชีวิตใหม่อีกครั้ง “กลับไปได้แล้ว ข้าจะพักสักหน่อย” ท้ายเสียงของนางอ่อนระโหย เสิ่นอวี้จึงคิดว่าเป็นเพราะนางส่งร่างแปลงไปร่วมงานชุมนุมบุปผาจึงเหนื่อยล้าเป็นพิเศษ แม้อยากกล่าวอะไรสักหลายประโยคจึงพูดไม่ออก เมื่อนายหญิงสั่งให้เขาส่งคนไปตามหาเทพเยวียนหง[1] เขาก็จะออกตามหาตามคำสั่ง แม้ว่าเทพเยวียนหงจะเร้นกายหายไป นานๆ จะโผล่มาคราวหนึ่ง แต่เสิ่นอวี้ก็เชื่อว่าหากเอาเรื่องด่านเคราะห์ของเทียนเฟิ่งไปบอกเขา คนเป็นพี่ชายจะอย่างไรก็ต้องเป็นห่วงน้องสาวแน่นอน เซียนหนุ่มเร้นกายเงียบเชียบ ในห้องเหลือเพียงเงาร่างอันโดดเดี่ยวของเทพสาว ครั้นคนสนิทจากไป เทพสาวพลันทรุดกายลงบนตั่งนอน โลหิตไหลซึมมุมปาก หยดลงบนอาภรณ์สีขาวจนกลายเป็นบุปผาแดงบานสะพรั่ง ดวงตาหงส์อ่อนแสงลง มือเรียวเช็ดมุมปากอย่างลวกๆ หงหลิงถลกแขนเสื้อข้างซ้าย ป้ายยาบัวหยกลงบนบาดแผลสีแดงสดที่ยังไม่สมานกัน นางถูกอสนีมังกรฟ้าจนแขนซ้ายราวกับต้องของร้อนลวกจนเป็นสีแดงจัด หากแต่รอยแผลจากการถอนขนนกออกมากลับแดงสดเสียยิ่งกว่า ตอนนี้พลังของนางถูกผนึกไปกว่าเจ็ดส่วน ครั้นถอนขนนกสีทองออกมาจึงใส่พลังไปอีกหนึ่งส่วนเพื่อไม่ให้ผู้อื่นระแคะระคายเรื่องที่นางได้รับบาดเจ็บ บัดนี้เหลือพลังเพียงสองส่วนจึงทำได้เพียงประคองอาการบาดเจ็บภายในเอาไว้เท่านั้น หงหลิงทุบหน้าอกอันราบเรียบของตน นัยน์ตามีระลอกคลื่นแผ่กระจาย เจ้ามังกรชั่วผู้นั้น ผ่านไปหนึ่งแสนปีกลายเป็นมังกรทอง หกภพภูมินี้คงไม่กลัวผู้ใดแล้วกระมัง ทั้งยังบังอาจมาผนึกพลังของข้าอีก หรือกลัวว่าชีวิตหลังจากตื่นขึ้นมาจะสงบเกินไปเล่า หญิงสาวในร่างคล้ายหนุ่มน้อยถึงเจ็ดส่วนร้อนรุ่มในอก นางกลืนโลหิตคาวคลุ้งในลำคอ ผิวปากเป็นท่วงทำนองประหลาด เสียงแหวกอากาศดังขึ้นจากที่ไกลๆ ฟ้าร้องคำราม ก้อนเมฆทะมึนเริ่มก่อตัว กระแสลมพัดกระโชกแรงพัดเอาเศษฝุ่นและใบไม้ปลิวจนเกิดเป็นพายุหมุนขนาดย่อม ฝูงนกแตกฮือกับเหตุการณ์กะทันหันที่เกิดขึ้น กระทั่งพายุหมุนเคลื่อนเข้ามาใกล้หน้าต่างห้อง หงหลิงมองภาพเหตุการณ์ด้วยสายตาสงบนิ่ง หงายมือยื่นออกไป ขลุ่ยหยกสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือเคลื่อนออกจากตาพายุเข้ามานอนแน่นิ่งอยู่บนฝ่ามือของนาง เพียงพริบตาเดียวพายุหมุนและท้องฟ้าทะมึนก็พลันกลับสู่ท้องฟ้ากระจ่างใส่เช่นเดิม สภาพเช่นนี้ชาวเมืองปักษาย่อมคุ้นเคยมาบ้าง แต่มีไม่น้อยที่ตกใจแตกตื่น หกหมื่นปีมานี้เป็นครั้งแรกที่เทียนเฟิ่งเรียกอาวุธประจำตัวของตนออกมาภายหลังจากนางหายตัวไป เทพเซียนส่วนใหญ่นำเหตุการณ์ครั้งนี้มาวิเคราะห์ว่าจะเกิดภัยใหญ่หลวงเพียงใดจนนางต้องใช้ขลุ่ยหยางเยี่ยนออกโรง หงหลิงหลับตาลง คิดพักสายตาสักครู่หนึ่ง นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายต้องใช้อาวุธที่คนผู้นั้นมอบให้จนได้ แม้พลังเพียงสองส่วนก็เพียงพอให้แยกแผ่นดินพลิกมหาสมุทร แต่หากต้องการรักษาอาการบาดเจ็บภายในก็ต้องพึ่งพาพลังจากอาวุธเทพเท่านั้น หลายหมื่นปีมานี้นางไม่ได้ไปเหยียบยอดเขาหลิงหลง ไม่รู้ว่าสหายของนางคนนั้นจะยังจดจำนางได้อยู่หรือไม่ เทพสาวคิดคำนวณในใจ ปกตินางจะแปลงร่างหงส์เพื่อบินไปยังยอดเขาหลิงหลง ทว่ายามนี้ขนปีกนางล่อนจ้อนไปข้างหนึ่ง จะบินอย่างเป็ดก็ยังบินไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องคิดถึงว่าจะใช้ทางลัดใดๆ ครั้นจะขี่เมฆมงคลก็ไร้สามารถ ต้องโทษที่ตอนนั้นนางเกียจคร้านการฝึกฝน คิดว่าตัวเองมีปีกแล้วจะไปที่ใดก็ได้ อาจารย์ยังหัวเราะอย่างดูแคลนจนนางโมโหอยู่หลายวัน ดังนั้นแล้วจึงต้องใช้พลังเทพผสานกับอาวุธประจำกายจึงจะใช้ก้าวย่างหมื่นลี้ได้ นางทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย คลึงหน้าอกอันราบเรียบพลางกลืนความคับแค้นใจลงท้อง จับหน้าอกตนเองทีไร หงหลิงยิ่งรู้สึกถึงเพลิงแค้นที่สุมอก นึกอยากเป็นคนพาลไร้เหตุผลดูสักครา แต่ก่อนหน้านั้นขอเพียงร่างกายกลับมาปกติก่อนเถิด มิเช่นนั้นแล้วนางคงต้องตรอมใจตายเป็นแน่ คิดแล้วเทพสาวก็พลันหนีบขาเข้าหากัน นึกขอบคุณสวรรค์ที่ไม่ส่งของแปลกๆ มาแลกเปลี่ยนกับหน้าอกของนาง [1] คนในเผ่าปักษาเรียกมหาเทพด้วยนามที่ใช้ยกย่อง “เยวียนหง” เป็นนามที่เรียกขานด้วยความเคารพ แต่ “อี้หลิง” เป็นนามที่ผู้ที่สนิทสนมหรือศักดิ์ฐานะใกล้เคียงกันใช้เรียกขาน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD