บทที่ 4 นายใบ้ (2)

1283 Words
“แม่ดูนั่นสิ แม่หญิงพราวช่างมีเมตตา แม้แต่ขอทานเยี่ยงนี้ก็ยังยื่นมือเข้าช่วยเหลือ” ชายวัยกลางคนพูดกับมารดาผู้แก่ชราขณะที่กำลังเดินผ่านมาละแวกนั้นแล้วพบเห็นเหตุการณ์ที่หญิงสาวให้เบี้ยกับขอทานพอดี “ลูกเอ๊ย ก็เพราะพระยาคมฉกรรจ์กับคุณหญิงแพรพิไลท่านอบรมสั่งสอนมาดีอย่างไรเล่า” มารดาตอบ “ใช่พระยาหน้าดุคนนั้นใช่ไหมแม่” “ใช่ เอ็งยังมิรู้อะไร สมัยยังหนุ่มท่านรบเก่งอย่างกับอะไรดี แถมตำแหน่งล่าสุดยังเป็นถึงรองแม่ทัพ ท่านพระยาผู้นี้ฝีมือฉกาจฉกรรจ์นักไปรบที่ไหนชำนะที่นั่นมิเคยแพ้ให้กับผู้ใด” คำตอบของแม่เฒ่าที่สนทนากับลูกชายทำให้ชายใบ้ที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก พอได้ยินก็มีดวงตาเป็นประกายด้วยความสนใจ ไม่ช้านานเสียงผิวปากคล้ายเสียงนกร้องดังเป็นสัญญาณทำให้ชายขอทานมองไปยังต้นเสียงนั้น ก็เห็นใบหน้าของชายผู้หนึ่งแต่งตัวซอมซ่อจ้องมองมาที่ตน ทันทีที่ทั้งสองสบตากัน อีกฝ่ายพยักหน้าเล็ก ๆ เชิงเป็นสัญญาณก่อนจะหายไปในที่ลับตาโดยไม่มีใครสังเกตเห็นอากัปกิริยานั้นเลย “ซุกคยีตีฮะ ซุกคยี[1]...” ฉางมินในชุดมอซอละล่ำละลักเรียกชายขอทานเมื่อเห็นเขาโผล่หน้ามาในเขตป่าช้าอันเงียบสงบ “จุ๊ จุ๊” ชายขอทานผู้ถูกเรียกว่าซุกคยีตีฮะทำมือเป็นเชิงให้เงียบเสียงลงก่อนจะหันซ้ายหันขวามองไป รอบ ๆ ตัว แต่เมื่อไม่เห็นมีใครอื่นอีกนอกจากคนทั้งสอง เขาก็ยืดตัวขึ้น จากร่างกายที่มีสภาพเป็นขอทานหลังงองุ้ม ท่าเดินดูพิกลพิการก็ยืดตัวยืนตรงสูงสง่า ผิวสีแทนกร้านแดดลม อกผายไหล่ผึ่ง แม้แต่ฉางมินเองที่ยืนอยู่ก็ยังดูเตี้ยกว่าคนที่ถูกเรียกว่า ‘ซุกคยีตีฮะ’ ‘ซุกคยีตีฮะ’ ผู้รั้งตำแหน่งนายกองคนสำคัญของพม่ารามัญ เขาถูกส่งตัวมาทำหน้าที่สายลับ เพื่อหาข่าวในเมือง อโยธยาส่งไปให้ทางฝั่งพม่า เพื่อเป้าหมายเพียงสิ่งเดียวคือหงสาวดีจะเข้าโจมตีอโยธยาและจะต้องมีชัยเหนือแผ่นดินอโยธยาให้จงได้ “ฉางมิน เจ้าได้ข่าวอันใดมาบ้าง” ผู้เป็นหัวหน้าถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจังเป็นภาษาพม่า ขณะที่อีกฝ่ายส่ายหน้า “มิได้ข่าวอันใดเลยท่าน แต่เท่าที่ข้าพยายามแทรกซึมไปกับชาวบ้านได้ยินมาว่า ในแถบย่านตลาดท่าจีน นอกจากจะมีโรงรับชำเราบุรุษของนางย้งที่เลื่องชื่อ ยังมีบ่อนของนายเล้งผู้เป็นน้อง และใหญ่โตที่สุดในย่านนั้นอีกด้วย เรียกได้ว่าทุกเรื่องอัปรีย์ที่ทางการมิรู้สองพี่น้องนี้รู้ดีที่สุด บางทีหากข้าได้เข้าไปทำงานในโรงบ่อนหรือโรงรับชำเราบุรุษได้ละก็ ข้าอาจจะรู้ข่าวอะไรมากกว่านี้ก็เป็นได้” “เป็นความคิดที่ดี อย่างไรเสียไอ้พวกทหารหรือขุนนางก็จะต้องมีคนเลวปากสว่างที่เข้าไปในสถานที่อัปรีย์เยี่ยงนั้นบ้างละวะ” “แล้วถ้าเกิดพวกนั้นมิเข้าไปเที่ยวละขอรับ เราก็จะหาข่าวอะไรมิได้เลย” คำพูดของฉางมินเต็มไปด้วยความวิตกกังวลตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายถึงกับหลุดปากหัวเราะออกมาพร้อมกับแววตาวาววับเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว “ฉางมิน เจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า คนเรานั้นมีทั้งดีและร้ายปะปนกัน ข้ามิเชื่อดอกว่ามันจะมิมีคนเลวเหลืออยู่เลย เปลือกนอกของคนอย่างไรเสียก็เสแสร้งแกล้งทำให้ดูดีกันทั้งนั้น นั่นแหละคือจุดอ่อนของพวกมัน ที่เราจะต้องไปหาข่าวมาให้ได้” “ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว” “แล้วถ้ามีคนถามเจ้าว่า เจ้ามาจากที่ใดทำไมถึงพูดไทยได้มิชัดเจ้าจะตอบเยี่ยงไร” “ข้าจักตอบว่า ข้าอพยพหนีทหารพม่าที่มารุกรานจากทางเหนือ เลยต้องหนีร่นจากการก่อกวน ทำให้พูดไทยได้ไม่ชัดเจน สำเนียงเลยผิดเพี้ยนอย่างที่เห็นนี่แหละ” “ดีมาก อีกเรื่องหนึ่ง คราวหน้าเจอกันให้เรียกข้า ‘ทัพ’ อย่าเรียกชื่อรามัญนั้นอีกนะฉางมิน” “แต่ข้ามิคุ้นกับชื่อไทยเลยนี่ขอรับ” “มิคุ้นก็ต้องคุ้น จะมาเรียกชื่อจริงของพวกเราในแผ่นดินอโยธยามิได้เด็ดขาด หากเจ้ายังอยากมีชีวิตรอดจนกว่าจะกลับคืนหงสาฯ จงจำคำข้าและทำให้ได้เข้าใจไหม แล้วข้าก็จะเรียกเจ้าว่า ‘มั่น’ เช่นกัน” คนถูกเรียก ‘มั่น’ รับคำอย่างเสียไม่ได้ พลางสอดส่ายสายตาชำเลืองมองนายกองรามัญที่อยู่เบื้องหน้าก่อนจะหลุดขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “เจ้าหัวเราะกระไร มีสิ่งใดน่าขันนักรึพ่อมั่น” ซุกคยีตีฮะขมวดคิ้วอย่างสงสัย “พ่อทัพ มิมีสิ่งใดน่าขันดอก เพียงแต่ข้าสงสัยว่า ท่านมิได้อาบน้ำมานานเท่าใดแล้ว เหตุใดเนื้อตัวถึงได้ส่งกลิ่นเหม็นเยี่ยงนี้” คำถามนี้ถึงกับทำให้เจ้าตัวเบ้หน้า “นอกจากข้าจะมิได้อาบน้ำมาหลายเพลาแล้ว ตัวข้ายังเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนเพราะไอ้พวกพ่อค้าในตลาดนั้นเทียว มันรุมซ้อมข้าเสียหมดสภาพ หากข้ามิติดว่าตัวเองต้องปลอมตัวเป็นขอทานแล้วล่ะก็ ไอ้คนพวกนั้นคงจะมิมีชีวิตอยู่จนถึงวันพรุ่งเป็นแน่” คำก่นด่าจากผู้เป็นนายทำให้ทหารผู้น้อยหลุดขำออกมา “แต่ข้าว่าท่านก็เป็นขอทานได้สมบทบาทดีแท้ ว่าแต่... ท่านได้ข่าวเยี่ยงไรมาบ้างล่ะขอรับ” “ไร้ประโยชน์ แต่...” คำพูดอึกอักทำให้ฉางมินถึงกับสงสัย “แต่อะไรหรือขอรับ” “แม่หญิงผู้นั้นที่เข้ามาช่วยเหลือข้า ช่างมีจิตใจดีและงดงามยิ่งนัก” คำตอบนั้นเบาราวกับกำลังรำพึงกับตัวเองมากกว่าตอบคำถามของอีกฝ่าย “เอ๊ะ พวกเรามาทำงานนะ มิใช่มาเกี้ยวหญิงอโยธยา” “นั่นมิใช่แค่หญิงอโยธยา หากเป็นถึงธิดาของพระยาคมฉกรรจ์ผู้กรำศึกมานาน ข้าจึงได้สนใจต้องการสืบข่าวทางด้านนี้เป็นพิเศษ” “เป็นอย่างนี้นี่เอง” ทหารคนสนิทล้อเลียนออกมาอย่างรู้ทัน ทำให้ผู้เป็นนายเงื้อเท้าหมายเตะไปที่เจ้าตัวดีอย่างจังแต่ก็ไร้ผลเพราะเจ้าตัวดีดันนกรู้รีบดีดตัวออกไปให้ห่างจากปลายเท้าของซุกคยีตีฮะอย่างรวดเร็ว “เยี่ยงนั้นข้าไปก่อนนะพ่อทัพ” ฉางมินพูดทิ้งท้ายก่อนจะวิ่งหายลับไป ทิ้งให้ซุกคยีตีฮะยืนส่ายหัวด้วยความระอากับลูกน้องตัวแสบคนนี้ นายกองรามัญหวนนึกถึงใบหน้าของแม่หญิงคนงามที่เพิ่งช่วยเหลือตนให้รอดพ้นจากฝีเท้าของชาวบ้าน ทว่าความงามของแม่หญิงนั้นก็ยังไม่น่าสนใจมากไปกว่าเมื่อรู้ว่าเป็นธิดาของพระยาคมฉกรรจ์ผู้กรำศึก บางทีหากเขาหาโอกาสเข้าถึงตัวแม่หญิงคนนั้นได้อีกครั้งก็อาจจะได้รู้ข่าวทางทหารเพิ่มมากขึ้นก็เป็นได้ แววตาของชายหนุ่มแน่วแน่จริงจังเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง [1] ‘ซุกคยี’ ในภาษาพม่าแปลว่า นายกอง แต่คนไทยออกเสียงเพี้ยนมาว่า ‘สุกี้’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD