บทที่ 1 ขอทาน

1529 Words
พริ้มพราวเดินหนีหลวงหาญณรงค์ออกมาสำเร็จจนแน่ใจแล้วว่า เขาตามหาเธอไม่เจอแน่ ๆ หญิงสาวจึงถือโอกาสเดินเล่นซื้อของกินต่ออย่างเพลินใจจนหลงลืมการนัดหมายของชื่นที่บอกว่าให้เธอรออยู่ท้ายวัด ระหว่างที่พริ้มพราวกำลังเดินเล่นดูของกินต่าง ๆ อยู่นั้นเองจู่ ๆ หญิงสาวก็ได้ยินเสียงเอะอะมะเทิ่งจึงหันไปดูด้วยความสนใจ ทันใดนั้นเธอก็พบคนกลุ่มหนึ่งกำลังรุมทุบตีใครบางคน เสียงตุบตับจากคนเหล่านั้นที่ทั้งผลักเตะต่อยทุบตีทั้งดึงทึ้งเสื้อผ้าจนขาดรุ่งริ่ง บัดนี้ชายผู้นั้นมีสภาพยับเยินจนไม่เหลือชิ้นดี ผมเผ้าแลหนวดเคราสกปรกรกรุงรัง ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน ใบหน้านั้นเหยเกบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทว่าก็มิมีเสียงร้องคร่ำครวญใด ๆ ดังออกมา ทันทีที่พริ้มพราวเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็ให้เกิดความเวทนาสงสารจับใจ เธอจึงรีบเข้าไปช่วยเหลือในทันที “หยุดก่อนเถอะจ้ะ หยุดก่อนเถอะ” เสียงร้องห้ามของเธอนั้นมิดังพอที่จะทำให้ผู้คนที่กำลังคลุ้มคลั่งอยู่ในตอนนี้หยุดลงได้ จนแช่มแม่ค้าที่กำลังขายขนมชะมดอยู่ไม่ไกลนัก รีบรุดเข้ามาตะโกนบอก “หยุดโว้ย แม่หญิงพราวบอกให้หยุด” หลังจากแช่มพยายามตะโกนห้ามอยู่พักใหญ่คนพวกนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง หญิงวัยกลางคนจึงไปฉวยได้ถังน้ำที่มีน้ำใส่อยู่เต็มขึ้นมาก่อนจะสาดน้ำไปยังกลุ่มคนที่กำลังบ้าเลือดพวกนั้นอย่างจัง โครม! ทันทีที่ผู้คนเหล่านั้นเจอฤทธิ์ของน้ำที่แช่มสาดเข้าไปจนเปียกปอนจึงรีบยั้งมือในทันทีก่อนจะหันกลับมาตะคอกใส่ตัวต้นเหตุที่สาดน้ำใส่ตนเอง “อีแช่มเอ็งสาดน้ำใส่ข้าทำไมเนี่ยดูสิเปียกปอนไปหมดแล้ว” “ก็ถ้าข้าไม่สาดน้ำใส่พวกเอ็ง แล้วพวกเอ็งจะหยุดเป็นหมาหมู่กันรึ โน่น แม่หญิงพราวบอกให้หยุดโว้ย” คำว่า ‘แม่หญิงพราว’ ช่างศักดิ์สิทธิ์นัก ทว่าก็ยังไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่าเมื่อนึกว่าแม่หญิงพราวนั้นเป็นธิดาคนโตของพระยาคมฉกรรจ์อันขึ้นชื่อเรื่องอำนาจและบารมีทำให้ผู้คนต่างหวั่นเกรงเป็นที่สุด มีผลให้ผู้คนที่อารมณ์กำลังร้อนอยู่ในตอนนี้อารมณ์เย็นลงฉับพลัน “แม่หญิง” “หยุดทำร้ายเขาได้แล้ว ฉันขอล่ะ” เสียงหวานขอร้องหากแฝงด้วยคำสั่ง “แม่หญิงพราวขอรับ เอาไว้มิได้นะขอรับไอ้ขอทานนี่ เมื่อกี้มันขโมยของพวกข้าไปขอรับ พวกข้าเลยต้องลงโทษมัน” “บ้านเมืองมีขื่อมีแปร แล้วเหตุใดจึงมิส่งตัวเขาให้ทางการเล่า เหตุใดจึงต้องมาทำร้ายคนที่มิมีทางสู้ด้วย ดูสิคนตั้งหลายคนรุมทุบตีคนคนเดียวมันถูกต้องเช่นนั้นหรือ?” ประโยคต่อว่านั้นทำให้เหล่าผู้ก่อการแต่ละคนสีหน้าสลดลงแต่ก็ยังมิวายเถียงต่ออย่างไม่ลดละ ขณะชายที่เพิ่งโดนซ้อมไปหมาด ๆ กำลังนั่งคุดคู้ก้มหน้าเนื้อตัวสั่นเทาด้วยอาการหวาดกลัวท่ามกลางผู้คนที่คอยยืนคุมเชิงอยู่ “ถ้ามัวแต่แจ้งทางการ ไอ้ขอทานนี่คงจะหนีไปแล้วล่ะขอรับแม่หญิง พวกเราเลยต้องลงโทษมันแทนทางการปะไรล่ะขอรับ” “เอาเถอะ ว่าแต่ที่บอกว่าเขาขโมยของไป ของที่ว่านั่นคือสิ่งใดรึ?” พริ้มพราวถามด้วยความสงสัยเต็มที่ “ขนมตาลเจ้าค่ะแม่หญิง” แช่มรีบฟ้อง “ขนมตาลรึ? แล้วขนมตาลที่ขโมยไปน่ะมันกี่ชิ้นกันรึแม่แช่ม” หญิงสาวถามซักไซ้อย่างข้องใจทั้งที่เห็นขนมตาลชิ้นหนึ่งคลุกฝุ่นจนเป็นสีน้ำตาลเข้มและแบนเพราะรอยเหยียบย่ำจากความชุลมุนเมื่อสักครู่อยู่บนพื้นดินไม่ไกลจากขอทานนัก “หนึ่งชิ้นขอรับ” คราวนี้เสียงพูดอ่อย ๆ ของขามเจ้าของร้านขนมตาลดังขึ้น “พุทโธ่! ขนมตาลแค่หนึ่งชิ้น สงสัยเขาจะหิวน่ะสิ นี่แค่ขนมตาลเพียงชิ้นเดียวถึงขั้นต้องทุบตีกันถึงเพียงนี้เชียวรึ ถ้าเช่นนั้นเอาเบี้ยนี่ไปเสียเถิด ถือว่าฉันจ่ายให้เป็นค่าขนมตาลชิ้นนั้นแทนก็แล้วกันนะ พอไหมจ๊ะ” หญิงสาวพูดพลางหยิบเงินที่อยู่ในถุงผ้าซึ่งถูกเหน็บที่ชายพกออกมาส่งให้ขาม “พอ พอขอรับแม่หญิง” พ่อค้าขนมตาลกระวีกระวาดรับเงินไปด้วยความดีใจแต่ยังไม่วายหันกลับไปพูดกับขอทานที่กำลังลุกขึ้นนั่งด้วยทีท่าหวาดกลัวว่า “โชคดีของมึงแล้วนะไอ้ขอทานที่ได้แม่หญิงพราวมาช่วยไว้ มิเช่นนั้น มึงได้โดนหนักกว่านี้แน่ ๆ ไอ้ขอทานเอ้ย” ขามพูดทิ้งท้ายก่อนที่เหล่าผู้คนที่รุมทุบตีกันเมื่อครู่จะสลายไป “นี่แม่ค้า ฉันขอซื้อขนมตาลอีกสัก 10 ชิ้นเถอะ” “ได้เจ้าค่ะแม่หญิง” ผู้หญิงที่คาดว่าน่าจะเป็นภรรยาของขามรีบหยิบขนมตาล 5 ชิ้นใส่ในห่อใบตองก่อนจะรีบส่งให้หญิงสาวพร้อมกับรับเบี้ยมาด้วยความยินดี หลังจากพริ้มพราวได้ขนมตาลมาแล้ว เธอจึงแวะซื้อขนมชะมด และข้าวเหนียวหน้าปลาแห้งห่อใบตองร้านข้าง ๆ มาด้วย พร้อมกับถือไว้ในมือก่อนจะเดินตามหาขอทานผู้นั้นที่บัดนี้กำลังนั่งหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ห่างไกลจากผู้คน ทันทีที่เธอเดินเข้ามาใกล้ถึงขอทานผู้โชคร้าย เธอก็ต้องผงะด้วยกลิ่นเหม็นโชยมาจากร่างกายของเขาที่ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน ก่อนที่จะไม่สนใจกลิ่นเหม็นนั้นและขยับเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้นอีก ขณะที่หญิงสาวหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ขอทานผู้นั้นกลับพยายามหลบหนีไปอีกทางด้วยท่าทีลนลานหวาดกลัวเกรงว่าจะโดนทำร้ายซ้ำอีก ในมือของเขายังคงถือขนมตาลชิ้นที่ขโมยมาอย่างหวงแหน แม้ว่าขนมตาลชิ้นนั้นจะคลุกฝุ่นจนแทบไม่เห็นสีเดิมและโดนเหยียบแบนมาก็ตามที “มิต้องกลัว ข้ามาดี รับนี่ไปกินสิเอ็งหิวมิใช่รึ” น้ำเสียงหวานอ่อนโยนของพริ้มพราวราวกับน้ำทิพย์ปลอบประโลมให้ขอทานผู้นั้นที่กำลังขยับหนีกลับชะงักนิ่งอยู่กับที่พลางเงยหน้าขึ้นมองสบตาหญิงสาวนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกมือไหว้ท่วมหัว แล้วเอื้อมมือไปรับขนมมากินด้วยความหิวโหย “แววตาคู่นั้นช่างแปลกนัก” พริ้มพราวชะงักด้วยความแปลกใจไม่เคยเห็นแววตาเช่นนั้นจากผู้ใดมาก่อน ภาพขอทานเบื้องหน้าที่กำลังกินอาหารด้วยท่าทีหิวโหย เขาใช้มือทั้งสองข้างยัดของกินตรงหน้าเข้าปากอย่างตะกละตะกลามราวกับกลัวว่าจะมีใครไปแย่งของกินนั้น แม้เลือดยังคงไหลซึมจากมุมปากแต่ก็ไม่แสดงอาการเจ็บปวดออกมา ช่างเป็นที่น่าสงสารและเวทนาในสายตาของพริ้มพราวยิ่งนัก เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่ง เนื้อตัวสกปรกมอมแมมเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน ร่างกายมีร่องรอยบาดแผลถลอกไปทั่วทั้งตัว ยังไม่รวมกลิ่นเหม็นที่โชยออกมาจนทำให้ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ นอกจากเธอเพียงผู้เดียว “นี่ค่อย ๆ กินสิ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก ไม่มีใครแย่งกินดอก ถ้ามิอิ่มก็บอก เดี๋ยวข้าจะไปเอามาให้อีก” หญิงสาวพูดด้วยความใจดี “ว่าแต่เอ็งชื่อกระไร แล้วเหตุใดถึงได้มาขอทานเยี่ยงนี้ได้” ชายผู้นั้นชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อไปโดยไม่สนใจจะตอบคำถามของหญิงสาว “ตกลงเอ็งชื่อกระไรกันแน่” “...” พริ้มพราวพยายามซักถามชื่อ แต่เขาก็ไม่ตอบ เอาแต่จ้องหน้าเธอขณะที่มือก็จับขนมยัดใส่ปากไม่หยุด จึงทำให้หญิงสาวเข้าใจว่าชายผู้นั้นเป็นใบ้ “พุทโธ่พุทถัง น่าสงสารเสียจริงนอกจากจะเป็นขอทานแล้วยังพูดมิได้อีกหรือนี่ เยี่ยงนั้นข้าจะเรียกเอ็งว่า ‘ใบ้’ ดีหรือไม่?” พริ้มพราวมองชายตรงหน้าที่กำลังกินด้วยความเอร็ดอร่อยราวกับไม่ได้ยินคำถามของเธอ “คุณพระ หรือว่า... นอกจากจะเป็นใบ้แล้ว เอ็งยังหูหนวกด้วยหรือนี่?” จบประโยคนั้นนายใบ้ที่พริ้มพราวเรียกก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก ทำให้หญิงสาวหลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “มองข้าเช่นนี้ก็แสดงว่าหูมิได้หนวก เยี่ยงนั้นก็เป็นใบ้อย่างเดียวสินะ แล้วคราหลังก็อย่าไปขโมยของใครเขาอีกล่ะ ข้าคงจะไปช่วยมิได้ดอกนะ” พริ้มพราวพูดอย่างใจดี
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD