“อะ…อะ เอ่อ ขะ ข้า เอ้อ จะรับผิดชอบเจ้าค่ะ”
“หืม อย่างไรนะ” ใช้สายตาคมกริบสำรวจบุตรสาวคนโตของศิษย์พี่หวังร่วนเทา พร้อมกับย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ
หวังปิงปิงเม้มปากเมื่อรู้ว่าตนเองดันเอ่ยคำพูดออกมาอย่างใจคิดเสียได้ ต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้นางควรจะสำรวมกิริยาหาใช่กล่าววาจาเฉกเช่นสตรีไร้ยางอาย ไร้การอบรม “เอ่อ คือ” คำถามของบุรุษที่ต้องตาต้องใจทำให้นางหาเสียงของตนเองแทบไม่เจอ โชคยังดีที่ในเวลานั้นมีทหารวิ่งเข้ามา
“ฝ่าบาทพะยะค่ะ มีม้าเร็วมาจากแคว้นฉินแจ้งว่าฮ่องเต้ฉินเจียอีสิ้นพระชนม์แล้วพะยะค่ะ”
แล้วความวุ่นวายตรงหน้าก็หายไปราวกับลมพาดผ่าน หวังปิงปิงทรุดตัวลงไปกองกับพื้น มือบางกุมหน้าอกตนเองและรับรู้ว่ามันเต้นจนเกือบจะหลุดออกมานอกอกแล้ว รักแรกของนางจากไปราวกับพายุ ทิ้งไว้เพียงความคิดถึงอันรุนแรง จนยากที่จะสลัดทิ้ง ‘ทำอย่างไรดี?’ หนีจากคนลูก มาเจอคนพ่อที่คว้าหัวใจดวงน้อยของนางไปในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน
“คุณหนูเจ้าขา บ่าวขออภัยที่ทิ้งคุณหนูไว้ บ่าวปวดหนักจนทนไม่ไหวจึงตัดสินใจวิ่งไปหาที่ปลดทุกข์เจ้าค่ะ” วิ่งมาประคองคุณหนูให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะปัดเศษหญ้า เศษใบไม้ออกจากชุด แม้จะสงสัยว่าคุณหนูไปคลุกพื้นหญ้าที่ใดแต่นางก็ไม่ได้ถาม “กลับเข้าไปในงานประลองกันเถอะนะเจ้าคะ”
หวังปิงปิงเดินตามแรงจูงไปด้วยท่าทางเลื่อนลอย ฮ่องเต้มู่เจี้ยนเทียนกล่าวว่า ‘นางเล่นสนุกราวกับเด็กน้อย’ มิใช่หรอก นางคือสตรีที่พร้อมจะออกเรือนแล้วต่างหาก กว่าจะนึกได้ว่ายามนั้นควรกล่าวสิ่งใดสาวใช้อย่างอาเปาก็พานางเดินมาเกือบถึงศาลาเสียแล้ว เดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าจะนั่งอีกสักสองเค่อค่อยชวนมิ่งลี่กลับจวน แต่ในสายตาที่เห็นนั้นกลับพบเรื่องวุ่นวายอีกเรื่อง นั่นคือเรื่องว่าที่แม่ผัวกับว่าที่ลูกสะใภ้กำลังจะปะทะกันโดยมีตัวต้นเหตุอย่างรัชทายาทมู่หรงหลานนั่งอยู่เคียงข้างเยี่ยนมิ่งลี่ ‘จะว่าไปเรื่องแม่ผัวกับลูกสะใภ้นี่มันมีทุกยุคทุกสมัยจริงๆ เลยนะ’ และครั้งนี้นางขอยืนเป็นผู้ชมเฉยๆ ก็แล้วกัน
“กลับตำหนักของเจ้าไปรัชทายาท” กู้ฮองเฮาแสดงออกมาว่าไม่พอใจที่เห็นบุตรของตนเข้าไปนั่งเคียงข้างสตรีธรรมดาอย่างเยี่ยนมิ่งลี่
“ลูกยังอยากนั่งตรงนี้อีกสักครู่ให้หายเหนื่อยก่อน เชิญเสด็จแม่เถิดพะยะค่ะ” มู่หรงหลานมิได้อยากจะทะเลาะกับเสด็จแม่พอๆ กับการที่ทุกคนในศาลามองเห็นว่าเขาเป็นถึงรัชทายาทแต่ยังเชื่อฟังคำสั่งของมารดาราวกับตนคือบุตรที่ยังเป็นองค์ชายน้อย เช่นนั้นเมื่อใดจะได้ขึ้นครองราชย์ ‘มันไม่ถูกต้องและน่าอาย’
แม้จะไม่พอใจแต่ยางอายยังคงมี แม่ของแผ่นดินอย่างฮองเฮาจึงต้องล่าถอย “เรามีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกยาวแน่รัชทายาท” กู้ฮองเฮาและสนมอีกสามนางเดินออกไปจากศาลาพร้อมนางกำนัลนับสิบ เรื่องคู่ครองของรัชทายาทนั้นเห็นทีมารดาเช่นนางคงต้องทำอะไรสักอย่าง หากห้ามไม่ให้เยี่ยนมิ่งลี่เป็นชายาไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องหาชายาเอกที่สมน้ำสมเนื้อก่อนจะแต่งตั้งเยี่ยนมิ่งลี่เป็นชายารอง ในตอนนี้สตรีที่เหมาะสมนั้นจะเป็นผู้ใดไปได้หากมิใช่ หวังปิงปิง หลานสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ผู้กุมอำนาจทหารทั้งเมืองหลวงคนนั้น “ข้าจะขอสมรสพระราชทานให้กับรัชทายาท”
คล้อยหลังฮองเฮาผู้งดงามสมวัย หวังปิงปิงเดินไปนั่งอีกด้านของศาลาด้วยใบหน้าเรียบเฉย การเข้าวังหลวงในครั้งนี้มันมิได้สูญเปล่า ^^ ในความคิดนางคืออย่างน้อยนางก็เจอความรักแม้สุดท้ายอาจจะจบลงตรงนี้ นางก็ดีใจ ‘ก็ดูฮูหยินเอกเมื่อครู่สิ นางจะเอาสิ่งใดไปสู้’
“เจ้ายิ้มสิ่งใดหวังปิงปิง” รัชทายาทเอ่ยถามสตรีที่แต่งกายงดงามแปลกตา จะสำคัญก็ตรงที่ว่าชุดของนางช่างคล้ายกันกับของเสด็จพ่อราวกับนัดกันมาสวมใส่ แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อนางมิเคยเข้าวังหลวงเลย
เจ้าของนามสะดุ้ง ราวกับมีชนักติดหลัง ‘แน่ล่ะ นางกำลังนึกถึงบิดาของอีกฝ่ายนี่นะ’ “ยิ้มที่ท่านเลือกจะอยู่กับมิ่งลี่แทนการกลับตำหนักตามคำสั่งของฮองเฮาน่ะสิ เพราะถ้าหากเป็นอย่างหลังคงน่าผิดหวังแย่”
รัชทายาทหรี่ตามองสตรีที่กล้ากล่าวคำสบประมาทตนโดยมิเกรงกลัวความผิด แต่ถ้าหากคิดตามคำพูดของนางแล้ว มันก็จริงอย่างที่นางว่า “เจ้าน่ะรึ ผิดหวัง”
หวังปิงปิงรีบส่ายหน้าทันที “ท่านกับข้าหาได้มีสิ่งใดข้องเกี่ยวกัน ความผิดหวังนั้นย่อมเป็นของมิ่งลี่จึงจะถูก” มองสหายคนสนิท “ข้าขอตัวกลับก่อนจะได้หรือไม่ บังเอิญจำได้ว่าต้องไปตรวจสินค้าที่มาจากแคว้นเพ่ย”
“แล้วรถม้าเล่า” เยี่ยนมิ่งลี่ผู้มากับหวังปิงปิงมีสีหน้าหนักใจ การเดินกลับที่ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยามย่อมมิใช่เรื่องดีสักเท่าใดนัก
“อย่าห่วงเลย รัชทายาทของเจ้าย่อมจัดการเรื่องนี้ได้ ใช่หรือไม่เจ้าคะ” คำหลังถามบุรุษสูงศักดิ์และจับจ้องเพื่อรอตำตอบ
เห็นเช่นนั้นรัชทายาทจึงมิอาจหลีกเลี่ยง ‘นางช่างเก่งในการบังคับกันทางอ้อมเสียจริงๆ’ “เป็นเช่นนั้น”
^^ “หวังปิงปิงขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” นางกล่าวขึ้นมาโดยมิได้เจาะจงว่าบอกผู้ใด ก่อนจะเดินไปตามเส้นทางเพื่อออกนอกวัง มีบ้างที่หยุดทักทายลูกค้าประจำของนางที่มีทั้งทหาร ขุนนางหรือแม้กระทั่งผู้มาร่วมงาน แต่นั่นถือเป็นเรื่องปกติของบุตรสาวพ่อค้าใหญ่แห่งเมืองหลวงแคว้นมู่
หลังจากที่หวังปิงปิงเดินออกไป เสียงชื่นชมจากคนในศาลาก็ดังออกมาไม่ขาดสาย บ้างกล่าวว่านางใช้เครื่องประทินโฉมแบบใดจึงดูงามมาก บ้างเอ่ยว่านางตัวหอมละมุน บ้างเอ่ยว่านางงามขนาดนี้แต่เหตุใดจึงยังมิออกเรือน และทุกการสนทนามีรัชทายาทมู่หรงหลานกับเยี่ยนมิ่งลี่แอบรับฟังไปอย่างเงียบๆ
๑-------------------๑
วันต่อมา:คลังสินค้าสกุลหวัง
เช้าวันนี้มีสินค้าใหม่เข้ามาเกือบสิบคันรถม้า บ่าวชายทั้งหลายในจวนต่างช่วยกันยกหีบสินค้าไปวางเรียงรายในสวนดังเช่นทุกครั้ง และครั้งนี้มีหวังปิงปิงบุตรสาวคนโตนั่งเปิดดูหีบทีละอันอย่างตื่นตาตื่นใจ ใดๆ คือมีของที่นางยึดเอาไว้ เช่นไดอารี่ของชาวต่างชาติ ผ้าพันคอสำหรับหน้าหนาวและ…สร้อยข้อมือสวยๆ
“สิ่งนี้ต้องนำเข้าวังหลวง” หวังร่วนเทาชี้ไปยังกล่องพู่กันด้ามทอง ที่สั่งทำมาจากต่างแดน ซึ่งมีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่ใช้ได้
หวังปิงปิงลุกจากกองเครื่องประดับทันทีพร้อมกับถามอย่างสนใจ “สิ่งใดรึเจ้าคะท่านพ่อ” ตั้งแต่วันที่นางเข้าไปชมการประลองยุทธ์เลื่อนขั้นในวังหลวงเมื่อห้าวันก่อน จนถึงตอนนี้นางก็ไม่มีโอกาสได้เข้าไปอีกเลยเพราะนางนั้นเป็นเพียงบุตรสาวของพ่อค้าหาได้มีเหตุให้นางต้องไปพบปะผู้ใดในนั้นไม่ ‘ความคิดถึงบุรุษด้านในยังไม่จาง แต่นางไม่มีข้ออ้าง’ ยิ่งถ้านางแจ้งว่าอยากพบฝ่าบาท ใครผู้ใดจะปล่อยให้นางได้เข้าพบ ต่างกับตอนนี้ที่นางรู้สึกว่า น่าจะมีของเพื่อเอาไปอ้างในการขอเข้าเฝ้าแล้ว ขอแค่ได้พบพระพักตร์สักสองจิบชาก็ถือว่าไม่สูญเปล่า ‘รักแรกของนาง ที่คงทำได้เพียงเฝ้ามอง’ มันคงจะเป็นเช่นนั้นสินะ
“พู่กันทองคำ พ่อสั่งทำไปเมื่อเดือนก่อน” ตรวจดูพู่กันในกล่องไม้หรูหรา “หากพรุ่งนี้พ่อมิได้มีงานมากมาย คงต้องเข้าวังไปหาสหายเสียหน่อยแล้ว เกือบเดือนเชียวที่มิได้ร่ำสุรา”
ผู้ฟังตาลุกวาว “ลูกไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”
หวังร่วนเทาและหวังหลีปินหรี่ตามองสตรีตัวน้อยอย่างจับผิด เดิมทีหวังปิงปิงจะคอยตามติดเยี่ยนมิ่งลี่เพื่อรอคอยให้รัชทายาทไปหาสหายตามเวลานัดหมาย ก่อนที่นางจะสั่งให้อาเปามาเอาข้าวของเครื่องใช้จากต่างแดนไปมอบให้บ่อยครั้ง จนทั้งสองบุรุษเอือมระอา แน่นอนว่าครั้งนี้อาจจะไม่ต่าง ที่ต่างคือขอเข้าวังด้วยเท่านั้น
“หากเจ้าสัญญาว่าจะไม่วุ่นวายออกไปตามหาตำหนักของรัชทายาท บิดาเจ้าย่อมอนุญาต” ร่วนเทากล่าวดักคอบุตรสาว จะว่าไปแล้วตั้งแต่หวังปิงปิงเติบใหญ่มานี้มิเคยมีสักครั้งที่นางจะขอติดตามเข้าวัง หากจะกล่าวว่าฮ่องเต้มิเคยพบเจอบุตรสาวคนนี้ก็ย่อมใช่ ในเมื่อทุกครั้งที่เข้าวังหลวงจะเป็นบุตรชายคนโตมากกว่าที่เฝ้าติดตาม ส่วนในวันปักปิ่นของปิงปิงนั้น ฮ่องเต้ส่งเพียงปิ่นมุกมาเป็นของขวัญ โดยผ่านทางขันทีคนสนิทหาได้ทรงเดินทางมาด้วยตนเอง เนื่องจากมิใช่ภารกิจสำคัญอะไร
“สัญญาเจ้าค่ะ ยามนี้ลูกมิได้ชมชอบรัชทายาท” ทำหน้านึกได้ “มิใช่สิเจ้าคะ ลูกมิเคยชมชอบเลยต่างหาก ที่ติดตามทั้งมิ่งลี่ ทั้งรัชทายาทนั้นเป็นเพราะอยากช่วยให้พวกเขาสมหวัง มิได้อยากแทงข้างหลังมิ่งลี่เพื่อช่วงชิงบุรุษเสียหน่อยเจ้าค่ะ” ย้ำอีกครั้งและนางจะย้ำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
หวังหลีปินมองน้องสาวเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ดีแล้ว บุรุษในใต้หล้ามีมากมาย เจ้าเองเป็นถึงบุตรสาวของพ่อค้าอันดับหนึ่งในเมืองหลวง อีกทั้งยังเป็นถึงหลานสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ จะรักชอบบุรุษใดพี่กับท่านพ่อล้วนไม่ห้าม ขอเพียงให้เจ้าคิดดีๆ ทุกคนเป็นห่วงเจ้ารู้หรือไม่”
‘นั่นสิ นางลืมไปว่ามารดาของนางเป็นบุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่’ มิใช่สตรีกระจอกงอกง่อย หลายครั้งหลายหน ก่อนที่นางจะมาอยู่ในนิยายเล่มนี้ ตัวของหวังปิงปิงเองก็มีแม่สื่อเข้ามาเจรจาทาบทามให้นางตบแต่งเข้าสกุลใหญ่โตมากมาย แต่ทุกสกุลนั้นล้วนกลับไปด้วยความผิดหวังเพราะตัวนางเองเป็นฝ่ายออกมาปฏิเสธทุกสกุลอย่างไม่ใยดี ถึงตอนนี้ถามว่าเสียดายหรือไม่ นางกล้าตอบออกมาตรงนี้ว่า ไม่เสียดาย ในทางกลับกันนางนั้นดีใจเสียด้วยซ้ำที่เจ้าของร่างคนเดิมยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง “รู้เจ้าค่ะ” ใจคิดเอาไว้ว่าต้องเข้าไปหาท่านตาม่อจิ้นจื่อของนางในสักวัน
“เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ยามเซิน ก็เตรียมตัวไว้” หวังร่วนเทานั่งตรวจบัญชีสินค้าโดยมิสนใจบุตรสาวอีก
หวังปิงปิงยิ้มกว้างอย่างปิดไม่มิด พลันนั่งนับสินค้าที่ส่วนมากเป็นของใช้เกี่ยวกับการบำรุงผิวพรรณของสตรี ยิ่งดูยิ่งชอบใจ จึงเรียกสาวใช้ข้างกายพร้อมสั่ง “อาเปาไปเอาตะกร้าใบใหญ่ๆ มาใส่ของให้ข้าหน่อย”
“เจ้าค่ะ” อาเปาเดินออกไปจัดการเหมือนเช่นเคยตามที่คุณหนูเคยสั่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่ารอบนี้จะเอาตะกร้าไปใส่ของให้รัชทายาทหรือไม่หลังจากที่คุณหนูถอยห่างออกมาแล้วเท่านั้น ‘แต่เท่าที่ได้เห็นของที่คุณหนูคัดสรรแล้ว คงไม่ใช่’
หวังหลีปินลอบมองน้องสาวตนเองอีกครั้งอย่างเป็นห่วง แต่เมื่อได้ฟังคำถามของนาง ใจพี่ชายกลับชื้นขึ้นมามากกว่าเดิมหลายเท่า
“พี่หลีปินเจ้าขาสีชาดทั้งห้ากล่อง กับแป้งสองตลับนี้ อืมม” ทำท่าคิด “ปิ่นกับผ้าผูกผมนี้ด้วย” ผ้าผูกผมหลากสีในกำมือถูกชู “ข้าเอาไว้ใช้ได้หรือไม่เจ้าคะ” ผ้าผูกจากต่างแดนเช่นนี้ นางจะใช้ผูกเป็นโบด้านหลัง ‘ดินสอเขียนคิ้วนี่ด้วย’ นางจะเอา
“อยากได้สิ่งใดเจ้าก็คัดเก็บไว้เสีย ของยังมีอีกมากรีบคัดแล้วรีบมาช่วยพี่จัดของส่งร้านค้า อีกครู่พวกเขาจะเข้ามารับของกันแล้ว” หลีปินเร่งน้องสาว เขาหมายถึงร้านสาขาย่อยที่จะเข้ามาเอาสินค้าไปจำหน่ายโดยมีสกุลของเขาเป็นผู้รับทั้งหมดไปขายต่อ เป็นเช่นนี้มาสิบกว่าปีแล้วโดยมีเขาเฝ้าเรียนรู้งานจากบิดา “อันที่จริง หลังจากวันที่เจ้าไปร่วมงานปักปิ่นของเยี่ยนมิ่งลี่แล้ว พี่ว่าเจ้าดูนิสัยเปลี่ยนไป” มองน้องสาวขึ้นลงๆ “เจ้าดูมั่นใจและไม่เหมือนเดิม” ทั้งเรื่องการช่วยงานในบ้าน การตามติดรัชทายาทหรือแม้กระทั่งการแต่งหน้า แต่งตัว ที่จริงแล้วหลีปินอยากบอกนางว่ามันเป็นเรื่องดีที่เขาและบิดารอสนับสนุน
^^ “นั่นคือคำชมใช่หรือไม่เจ้าคะ” ยิ้มหวาน
‘ความขี้เล่นนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เขาชอบ’ “ย่อมชมเจ้า”
“เช่นนั้นวันนี้ข้าจะช่วยพี่ใหญ่สุดฝีมือเลยเจ้าค่ะ ไม่เหนื่อยไม่เลิก!!” กำมือสองข้างทำท่าสู้ๆ
“ฮึฮึ” หวังหลีปินหันไปสบตากับบิดาพร้อมกับยิ้มใส่กัน
๑--------------------๑
วันต่อมาในยามเซิน (16.10)
รถม้าคันเล็กของสกุลหวังเดินทางเข้าสู่วังหลวงผ่านทางประตูด้านหน้า เหล่าทหารยามต่างยิ้มแย้มใส่นายท่านหวังผู้เป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวของฮ่องเต้อย่างคุ้นเคย
หวังปิงปิงผู้นั่งอยู่บนรถม้ากับท่านพ่อของนางเม้มปาก แม้จะยังทำหน้าเรียบเฉยแต่ใครจะรู้ว่าในอกตอนนี้มันเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ในใจนางยอมรับตั้งแต่วันนั้นแล้วว่ามันคือรักแรกที่คงไม่สมหวัง ‘ซึ่งหากไม่สมหวังก็มิควรพบเจอ แต่ในเมื่อมีโอกาสได้เจอ ใยต้องหนี...มิสู้ขอเจอให้มันจบๆ ไปเสียจะเป็นไร’ รถม้าหยุดลงหน้าตำหนักหลังใหญ่ที่สุดและเป็นบิดาที่ก้าวลงไปก่อน โดยที่นางยังคงตบหน้าอกตนเองดัง ปับๆ ราวกับปลอบ เอาวะ!!
หวังร่วนเทายิ้มใส่คนคุ้นเคย “มิเจอกันนาน สบายดีหรือไม่” ค้อมหัวทักทายบุรุษสูงวัยผู้อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าขันที
ขันทีชราสี่สุ่ยผู้เดินออกมาต้อนรับ ทักทายกลับ “ข้าย่อมสบายดี” ผายมือเชื้อเชิญสหายคนสนิทของฝ่าบาทเข้าไปในตำหนัก “วันนี้นายท่านหวังเดินทางมาพบในยามเย็นคงไม่พ้นร่ำสุรา” ยิ้มแย้ม
หวังร่วนเทาส่ายหน้า “มิได้มิได้ วันนี้ข้าพาบุตรสาวมาด้วยเกรงว่าจะไม่เหมาะ” พลางหยุดฝีเท้าเพื่อรั้งรอแล้วหันไปด้านหลัง