บทนำ 2/2

1002 Words
วูบ~ “ทะ ท่านปู่ครับ! ท่านปู่เกิดเรื่องฉิบหายขึ้นแล้ว!” บริวารหนุ่มปรากฏกายขึ้นในห้องบำเพ็ญเพียรของเจ้าที่อาวุโส ร่างกำยำอายุพันกว่าปีทว่ากลับดูคล้ายชายหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ พ่นลมหายใจออกมาเมื่อถูกรบกวน ทันทีที่ดวงตาสีมืดนั้นเบิกกว้างขึ้น อาการสั่นเทาของบริวารหนุ่มก็หายไป “มึงน่ะสิไอ้ฉิบหาย! กูสั่งไว้แล้วใช่ไหมว่าอย่าเข้ามา! ใครจะตายก็ช่างหัวมัน!” เสียงทรงอำนาจตวาดบริวารหนุ่ม ดวงตาสีมืดจ้องเขม็งราวกับจะฆ่าเขาให้ตาย อีกไม่กี่วันก็ครบกำหนดออกจากสมาธิแล้วแท้ ๆ จะรอหน่อยไม่ได้หรือไง “มะไม่มีใครตายครับ ตะแต่มีคนกำลังจะเกิดครับ” บรวารหนุ่มรีบตั้งสติแล้วบอกผู้อาวุโส สองเท้าหนาย้ำอยู่กับพื้นไม้จนเกิดเสียงดังตึงตัง เขายืนนิ่ง ๆ ไม่ได้ มือไม้สองข้างชี้ออกไปนอกศาลราวกับคนเสียสติ “คนบ้าที่ไหนจะมาเกิดในป่าช้า ไอ้ห่า มึงเห็นหลุมฝังศพเป็นเตียงในโรงพยาบาลหรือไง!” เสียงนั้นตวาดกลับ “เป็นผีแต่โดนผีทั้งกลมหลอก โง่จริง ๆ เลยมึง” “อุแว้!” “...” / “...” พลันนั้นเองที่เสียงแหลมเล็กปานจะขาดใจดังก้องป่าช้า เจ้าที่แกร่งพ่นลมหายใจออกมา เขาสบตากับบริวารหนุ่มก่อนจะหายวับออกมานอกศาลพร้อมบริวารตัวเอง “เห็นไหมครับ ผมไม่ได้โกหกแล้วก็ไม่ได้โดนผีด้วยกันหลอกด้วย” ขุนพลรีบบอกผู้อาวุโส ก่อนจะเดินเข้าไปถามวิญญาณผีทั้งกลมที่มาช่วยกันทำคลอดให้ชบา “ผู้หญิงหรือผู้ชายวะ” “ผู้หญิง” เสียงเย็นยะเยือกนั้นตอบกลับ ก่อนจะก้มหัวทักทายคนมาใหม่ที่ยืนทำหน้าถมึนทึงอยู่ “แต่เหมือนแม่เด็กจะไม่รอดแล้วนะ” วิญญาณนั้นพูดต่อ วินาทีนั้นป่าช้าก็เงียบสงัดไร้ลมพัดผ่าน ใบไม้สักใบก็ไม่ไหวติง ข้างแคร่ไม้ตอนนี้มีวิญญาณหนึ่งปรากฏขึ้น ชบามองลูกสาวที่เพิ่งจะลืมตาขึ้นมาดูโลกด้วยความอาลัยอาวรณ์ สองดวงตาแดงก่ำเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา วิญญาณแม่ลูกอ่อนร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ เธอเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้ดูแลลูก แม้แต่น้ำนมจากอกเธอก็ไม่มีโอกาสให้ลูกได้กิน ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะกอดลูกตัวเอง สงสารที่ลูกต้องเป็นกำพร้าตั้งแต่เกิด “มึงไปได้แล้ว หมดเวลาของมึงแล้ว” เสียงเย็นยะเยือกทรงอำนาจเอ่ยกับวิญญาณแม่ลูกอ่อน ไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายกับใครหน้าไหน “แต่ว่า… ปู่ทวดเจ้าขา” ชบามองวิญญาณอาวุโส ถึงแม้จะเพิ่งเคยเห็นท่านเป็นครั้งแรก แต่บางอย่างที่แผ่รอบตัวท่านผู้นี้ก็ทำให้เธอรู้ว่าท่านคือใคร “ไปซะ” เสียงทรงอำนาจย้ำ พลันนั้นกลุ่มหมอกควันสีขาวก็ปรากฏขึ้น ร่างกำยำของชายชุดสูทสีดำเดินออกมาจากกลุ่มหมอกควันนั้น ในมือเขาถือเชือกเส้นใหญ่สีแดงติดมาด้วย “ชบาฝากลูกสาวด้วยนะจ๊ะ ฝากท่านดูแลแกกับลุงของแกด้วย พ่อแกตายไปแล้ว แกไม่เหลือใครแล้ว” ชบาเอ่ยพร้อมเสียงสะอื้อไห้ วิญญาณอาวุโสไม่ได้ตอบอะไร เขายืนมองยมทูตพาวิญญาณแม่ลูกอ่อนจากไป ก่อนจะปรายตามองทารกน้อยที่แผดเสียงร้องดังก้องป่า “ทำให้มันหุบปากซะ กูหนวกหู” พูดจบร่างกำยำก็หายวับกลับเข้าศาลไป “ว่าแต่ไอ้หมอกมันหายไปไหนของมันวะ ได้ยินว่าไปเอาย่ามที่ท้ายป่าช้าทำไมยังไม่กลับมาอีก มันจะรู้ไหมเนี่ยว่าเกิดเรื่องแล้ว” ขุนพลหันไปมองทิศทางที่สัปเหร่อหนุ่มเดินออกไป ก่อนจะหันมามองทารกน้อยที่นอนแผดเสียงอยู่ในอ้อมกอดไร้วิญญาณของผู้เป็นแม่ “เรามาตั้งชื่อให้เด็กนี่ดีไหม” วิญญาณที่ช่วยกันทำคลอดคุยกัน ขุนพลเห็นว่าไม่มีอะไรทำก็เข้าไปร่วมวงด้วย “ชื่ออะไรดีนะ เป็นผู้หญิงให้ชื่ออะไรดี” “เกิดในป่าช้าแบบนี้จะตั้งชื่อตามสถานที่เกิดก็ไม่ได้ด้วยสิ” วิญญาณหนึ่งว่าพลางทำท่าครุ่นคิด “ก็นี่ไง เกิดใต้ต้นไม้ ก็ตั้งชื่อตามต้นไม้เลย” ขุนพลเสนอ “แต่นี่มันต้นสะเดานะ จะให้เด็กชื่อสะเดาเหรอ” เหล่าวิญญาณมากมายเริ่มโต้เถียงกัน พลันนั้นเสียงเจี้ยวจ้าวก็ดังแข่งกับเสียงแผดร้องของทารกน้อย ไม่มีใครรู้เลยว่าในศาลเจ้าที่ตอนนี้มีวิญญาณหนึ่งกำลังอารมณ์เสียอยู่ วูบ~ “นี่กูบอกให้พวกมึงทำให้มันเงียบเสียงลง! ไม่ใช่ให้พวกมึงเสียงดังแข่งกับมัน!” ร่างใหญ่ที่ปรากฏขึ้นหน้าศาลตรงข้ามแคร่ไม้ตวาดเหล่าวิญญาณจนลั่นป่าช้า พลันนั้นเองที่เสียงเจี้ยวจ้าวเมื่อครู่เงียบลง รวมถึงเสียงแผดร้องแสบแก้วหูของทารกน้อยด้วย “...” “งะเงียบไปแล้วจ้ะท่านปู่” วิญญาณที่ทำคลอดเอ่ยกับผู้อาวุโสขณะพยักพเยิดหน้าไปยังทารกน้อย “ถ้างั้นท่านปู่ตั้งชื่อให้ยัยหนูของพวกเราหน่อยสิจ๊ะ” อีกวิญญาณเอ่ยขึ้น เหล่าวิญญาณที่ยืนมุงอยู่ก็เห็นด้วย จนเสียงเจี้ยวจ้าวนั้นเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง “ทำไมกูต้องตั้งชื่อให้มัน เดี๋ยวลุงมันมาก็ตั้งให้เอง” คนที่ถูกมองด้วยสายตานับสิบคู่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะพ่นลมหายใจหนัก ๆ ออกมาเมื่อจู่ ๆ ก็รู้สึกกดดัน “อบเชย ต้นอบเชยมันยืนต้นอยู่ข้างต้นสะเดา แม่มันเอามาปลูกไว้สมัยเป็นเด็ก” ว่าแล้วก็หายวับกลับศาลไป เหล่าวิญญาณมากมายก็เห็นดีเห็นงามด้วย ต่างพยักหน้าหงึกหงักให้ด้วยความชอบใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD