ตอนที่ 1 องศาเดิม จากมุมเดิม

2660 Words
บังเอิญ สายฝนในเดือนมิถุนายน ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ถือว่าเป็นโชคดีหรือเปล่าก็ไม่อาจแน่ใจ ที่ฉันต้องมาติดอยู่ในร้านกาแฟแห่งนี้ ช่วงวันธรรมดาไม่ค่อยมีลูกค้าหนาตาเหมือนวันเสาร์และอาทิตย์ ยิ่งฝนตกเช่นนี้ ลูกค้าก็บางตากว่าทุกวัน มีแต่ฉันนี่แหละที่วิ่งกางร่มฝ่าสายฝนจากออฟฟิศเพื่อมาร้านกาแฟแห่งนี้ที่อยู่สองซอยถัดมา เมนูเดิมที่ฉันสั่งเป็นประจำก็คือชากลิ่นพีช จนตอนนี้พนักงานในร้านจำได้หมดทุกคนแล้ว “เหมือนเดิมใช่ไหมครับ?” ทันทีที่ฉันมาถึงร้าน จัดการใส่ร่มลงตะกร้าข้างประตูที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ยามฤดูฝน เสียงชายหนุ่มแสนคุ้นเคย เอ่ยทักยามที่ฉันเดินมาหน้าเคาน์เตอร์ เขาจำได้แม่นยำว่าฉันจะสั่งเมนูอะไรเมื่อเข้ามาในร้าน ฉันพยักหน้าตอบกลับ โดยไม่ได้เอ่ยปากสั่งชากลิ่นพีชเมนูประจำเสียด้วยซ้ำ พวกเขารู้ว่านี่คือเครื่องดื่มประจำ ไม่มีทางที่ฉันจะสั่งเครื่องดื่มชนิดอื่น “ชาพีชหวานน้อย ไซส์แอลนะครับ จะรับขนมอะไรเพิ่มไหมครับ?” “ชีสพายก็ได้ค่ะ” ชายหนุ่มยิ้มรับ พลางกดลงไปบนหน้าจอสัมผัสเลือกรายการอาหาร ฉันหยิบกระเป๋าสตางค์และกำลังหยิบเงินออกมา ทว่าเหรียญที่อยู่ผสมกับธนบัตรกลับร่วงกระจายหล่นบนพื้น ฉันย่อตัวลงเพื่อจะเก็บเหรียญพวกนั้น รู้สึกอายไม่น้อยที่ทำตัวป้ำๆ เป๋อๆ ต่อหน้าพนักงานร้านทั้งร้าน รวมไปถึงลูกค้าอีกคนที่กำลังเปิดประตูเข้ามาอีกด้วย หางตาเห็นเพียงมือหนา ข้อมือสวมนาฬิกาสีเงินเงาวับ มือนั้นหยิบเหรียญที่กระจัดกระจายลงบนพื้นอย่างไม่รีบร้อนเท่าไร หลังจากที่ฉันโกยเหรียญบนพื้นบางส่วนมาไว้ในมือ เขาคนนั้นก็ยืนขึ้นและยื่นเหรียญจำนวนหนึ่งมาให้ “นี่ครับ” “ขอบคุณนะคะ...” ฉันไม่เคยเชื่อคำว่าโลกหยุดหมุนเพียงชั่วขณะ จนกระทั่งตอนนี้ วินาทีนี้ ฉันเชื่อว่าโลกหยุดหมุนและทุกอย่างรอบตัวหยุดการเคลื่อนไหวนั้นมีอยู่จริง เพียงเพราะได้สบตาเขาคนนั้นที่ฉันคอยแอบมองมาตลอดระยะเวลาสามเดือน “ครับ” เขายิ้มให้ฉัน แม้จะเป็นเศษเสี้ยววินาทีที่ฉันได้เห็น มันก็สามารถทำให้ใจของฉันเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ...ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าคนที่ไม่เชื่อในความรัก หวาดหวั่นต่อความรู้สึก กลับใจสั่นเช่นนี้ ต่อหน้าผู้ชายที่ฉันไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเขาด้วยซ้ำ ได้แต่มองอยู่มุมหนึ่ง ไม่ใกล้ไม่ไกล “พี่ครับ ทั้งหมดสองร้อยสิบบาทครับ” เสียงของชายหนุ่มหลังเคาน์เตอร์ ทำให้ฉันได้สติและละสายตาจากชายตรงหน้า ตอนนี้ใบหน้าของฉันร้อนเหมือนถูกน้ำอุ่นสาด ความรู้สึกเหมือนกับวันแรกที่ฉันเจอเขาคนนั้นในร้านกาแฟแห่งนี้...ตกหลุมรัก ชายร่างสูงแต่งกายดูดี สวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อน กับกางเกงขายาว ทรงผมเซตปัดเรียบ คล้ายกับว่าเขาคงไปคุยงานกับใครสักคน อาจจะเป็นผู้ใหญ่ที่เขารู้จัก หรือบริษัทใหญ่ๆ แถวนี้ ในขณะที่วันนี้ฉันได้พบเขา ใบหน้าของเขาดูละอ่อนกว่าวันนั้นลงสักห้าปี อาจเป็นเพราะทรงผมที่ไม่ได้ทำสี รวมไปถึงไม่ได้ถูกจัดเป็นทรง เขาปล่อยผมให้ปรกหน้า แม้จะแต่งกายสวมเสื้อเชิ้ตเหมือนครั้งก่อน แต่ก็ไม่ได้เนี้ยบจนมองว่าเป็นทางการ เขาปลดกระดุมเสื้อด้านบนสองเม็ดจนเผยเห็นอกกว้าง จนฉันแอบรู้สึกไม่ชอบใจที่เขาไม่หวงเนื้อหวงตัว รู้สึกไม่ชอบใจ เมื่อคนอื่นใช้สายตาแบบเดียวกับฉันมองเขา “นี่ค่ะ” ฉันรีบจ่ายเงินและเดินไปนั่งรอบนโต๊ะประจำ มุมหนึ่งของร้านที่ฉันสามารถเห็นเขาถนัดตา ชายคนนั้นหยิบแมคบุ๊กขึ้นมาเปิดค้างไว้ ก่อนจะเดินมาสั่งเครื่องดื่มที่หน้าเคาน์เตอร์ ใบหน้าและรูปร่างของเขาน่าดึงดูดจนฉันละสายตาออกจากเขาไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว ทำไมกันนะ... เสียงสายฝนกระทบลงบนชายคา ณ ร้านกาแฟแห่งนี้ มันไม่เหมือนเสียงเพลงบรรเลงกล่อมให้ใจสุนทรีย์ แต่มันกลับน่ารำคาญและหนวกหูจนอยากให้ฤดูนี้เปลี่ยนผันไปโดยไว ทว่าเสียงที่เอ่ยออกมาท่ามกลางเสียงซัดสาดกระหน่ำของสายฝน ทำให้สายฝนที่น่ารำคาญ กลับกลายเป็นเสียงที่ชวนฟังทันที “อเมริกาโน่ครับ เอสเพรสโซ่ดับเบิ้ลช็อตนะครับ” ฉันแอบมองเขาด้วยหางตา ดวงตาสีเข้มของเขาคมดุ ทว่าอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน ทันใดนั้นฉันรีบหลบตา เมื่อเขาหันมาสบตาด้วยพอดี ฉันกัดริมฝีปากล่าง มือทั้งสองข้างบีบกำแน่นด้วยความประหม่า เขาส่งยิ้มให้ฉันเพียงเล็กน้อยตามมารยาท ก่อนที่จะหันหน้าไปพูดคุยกับพนักงานอย่างคุ้นเคยกัน “น่ารัก...” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ฉันเผลอพูดคำนั้นออกมา ฉันหวังว่าเสียงสายฝนจะสามารถเจือจางกลบคำพูดนั้นได้ แต่เปล่าเลย เสียงสายฝนซาลงช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ฉันเผลอพูดคำนั้นออกไป ชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่บริเวณเดียวกันมองฉันพลางยิ้มให้ คราวนี้มันเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ ระคนความขบขัน ไม่ใช่แค่รอยยิ้มตามมารยาท เมื่อเขาฉีกยิ้ม ดวงตาคมของเขาหรี่ลงจนมองไม่เห็นนัยน์ตา มันทำให้ใบหน้าของฉันเหมือนกาต้มน้ำ ที่กำลังเดือดพล่าน พร้อมจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อ เขาได้ยินคำพูดของฉัน...น่าอายชะมัด ฉันรีบหลบสายตา ทำเป็นรื้อค้นกระเป๋า ทั้งที่ในนั้นมีเพียงกระเป๋าสตางค์และเศษใบเสร็จจากร้านค้านับสิบใบ คิดแล้วก็อยากจะมุดหัวลงไปในกระเป๋าเสียจริงๆ “ชาพีชกับชีสพายได้แล้วค่ะ” พนักงานหญิงแต่งกายไม่ต่างจากพนักงานชาย ต่างก็แต่กระโปรงสีน้ำตาลลายสก็อต ยาวเหนือเข่าเล็กน้อย เธอเข้ามาเสิร์ฟชาพีชในแก้วทรงสูง และชีสพายเนื้อเนียนน่าอร่อย “ขอบคุณค่ะ” ฉันกล่าวขอบคุณเธอ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มร่างสูงเดินกลับโต๊ะ ทุกย่างก้าวที่เขาเดินไป ปลายเส้นผมที่เคลื่อนไหวตามจังหวะ ทำไมช่างน่ามองไปเสียทุกอย่าง ทั้งที่ฉันไม่รู้จักชื่อเขาเสียด้วยซ้ำ เขานั่งลงที่มุมเดิม ก่อนจะยกแมคบุ๊กวางบนตัก เขาใจจดใจจ่อกับงานตรงหน้า โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างสักนิด ผิดกับฉันที่เอาแต่เหลือบไปมองเขาทุกสองวินาที เขาสวมหูฟังและอมยิ้ม ขณะที่ดวงตามองหน้าจอ เพลงที่เขาฟังคงจะเพราะน่าดู ถึงได้ยิ้มออกมาขนาดนี้ และตอนนี้ฉันเริ่มตกหลุมรักรอยยิ้มนั้นเข้าอย่างจัง ตกหลุมรักยิ่งกว่าวันแรกที่ได้เจอกันเสียอีก . . . . . ฤดูฝนมักเป็นแบบนี้เสมอ คาดการณ์ไม่ได้ และทำร้ายคนที่เดินอยู่บนดินอย่างฉัน เพราะล่วงเลยเวลาเข้างานหลังจากพักเที่ยงได้หนึ่งชั่วโมง แต่ฉันออกไปไหนไม่ได้ เนื่องจากพายุฝนห่าใหญ่โหมกระหน่ำ ต้นไม้ใบหญ้าด้านนอกปลิวไสวคล้ายโค่นหัก ฉันยืนมองสภาพอากาศด้านนอก พลางถอนหายใจ คนในออฟฟิศยิ่งไม่ค่อยชอบหน้าฉันเท่าไร ตั้งแต่มาทำงานวันแรก จนผ่านมาสามเดือน ทุกคนก็ยังมองฉันด้วยสายตาประหลาด วันไหนหากฉันแต่งตัวหรือแต่งหน้าค่อนข้างสีจัด ก็จะถูกรุ่นพี่ที่ทำงานแซวจนต้องรีบเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้า อาจจะเป็นเพราะรูปร่างของฉันด้วยล่ะมั้ง ที่อวบอ้วน ไม่สมส่วนเหมือนคนอื่นเขา บางครั้งหากฉันทำอะไรผิดพลาดเพียงเล็กน้อย หัวหน้าฝ่ายบัญชีที่ชื่อว่า ‘พี่โอ๋’ จะพูดจาเสียดสีตลอดทั้งวัน ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าตัวเองนั้นทำอะไรผิดไป “ตกแรงแบบนี้จะเข้าออฟฟิศยังไงวะเนี่ย” ถึงจะมีร่มก็ไม่สามารถช่วยให้ฉันหลบฝนได้ เพราะออฟฟิศของฉันห่างจากร้านนี้ไปประมาณสองซอย อยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด ทำไมความสุขของฉันถึงได้มีความทุกข์มาบดบังเสมอ ทำไมกัน... “ไปกับผมไหม?” “คะ?” เสียงทุ้มต่ำคุ้นหูทำให้ฉันต้องรีบหันไป หากจำไม่ผิด เสียงนี้คือเสียงของเขาคนนั้นที่ฉันแอบมอง ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะเป็นคนเอ่ยชวนฉันทั้งที่ไม่รู้จักกัน แต่เมื่อฉันหันไปสบตา พลางฉีกยิ้มกว้าง หน้าของฉันก็เหมือนแก้วที่กำลังร้าวแตกละเอียดกระจายทั่วพื้นเป็นเสี่ยงๆ เขาคุยโทรศัพท์ ไม่ได้คุยกับเราสักหน่อย “ครับแม่ เดี๋ยวเย็นนี้ผมไปรับนะครับ” หัวใจที่กำลังพองโตเหมือนลูกโป่งถูกอัดแก๊ส ถูกเข็มปลายแหลมจิ้มจนแตก หน้าของฉันชาไปครึ่งซีกและรีบหลบสายตา ก่อนจะเปิดประตูร้านวิ่งออกมา โดยลืมหยิบร่มออกมาจากร้านด้วย สภาพฉันเปียกปอน ผมยาวลู่ลงแนบกับศีรษะ เหมือนสุนัขตัวอวบอ้วนวิ่งตากฝน ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง น่าอับอายเสียจนไม่กล้าหันหลังกลับไปมอง คิดได้ยังไงกันว่าเขาจะใจดีไปส่ง ไม่ดูสภาพตัวเองเลยนะ ‘บังเอิญ’ รูปร่าง หน้าตาแบบนี้ ไม่มีใครกล้ามาทักเธอก่อนหรอก แม้จะเฉียดเข้ามาใกล้ก็ไม่มีใครกล้า ฉันเดินมาถึงอาคารสี่ชั้น ในซอยย่านธุรกิจ เมื่อฉันเดินผลักประตูกระจก ฝ่ายประชาสัมพันธ์ด้านล่างก็มองฉันเป็นตาเดียว ไหนจะรุ่นพี่ต่างแผนกร่วมออฟฟิศ ก็ลอบยิ้มและหันไปพูดคุยกัน ฉันได้แต่ก้มหน้าเดินเข้าไปในลิฟต์ จำนนต่อโชคชะตา ที่มันรุมซัดเข้าหาแข่งกับสายฝนของวันนี้ ลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นสาม ชั้นที่รวมฝ่ายบัญชี ฝ่ายประสานงาน และคนที่มีวาจาเป็นอาวุธ ไม่ต่างจากมีดปลายแหลมจี้คอ ฉันทำงานที่นี่ได้สักระยะ แต่ก็ไม่ชินกับการร่วมงานหรือพฤติกรรมบางอย่างของคนที่นี่ พวกเขาเหมือนจะยินดี ทว่าลับหลังก็ถ่มน้ำลายใส่กัน ที่นี่ฉันไม่มีเพื่อนสักคน พวกเขามักจะถือตัว แบ่งว่าใครคือรุ่นพี่รุ่นน้อง อีกทั้งต้องมีความเห็นในเรื่องส่วนตัวของคนอื่น อย่างเช่นเห็นด้วยไหมว่าคนแผนกนั้นทำจมูกมาแล้วไม่สวย หรือคนแผนกนี้ไม่หัดรู้จักแต่งตัว เชยสิ้นดี หากให้ฉันเสนอและแสดงความเห็นเกี่ยวกับงาน ฉันยินดีพูดเสมอ แต่ถ้าเป็นเรื่องของคนอื่น...ฉันไม่รู้ว่า ทำไมฉันต้องมีข้อติหรือข้อเสนอ ทั้งที่เรื่องพวกนั้นมันเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขา “คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกเอ็มวีหรือไงถึงวิ่งตากฝนมา นี่ถ้าเอกสารเปียกจะทำยังไงเอิญ” พี่โอ๋หรือหัวหน้าฝ่ายบัญชีพูดขึ้น เธอพึ่งเดินออกมาจากเครื่องถ่ายเอกสาร พร้อมกับแผ่นกระดาษในมือ ใบหน้าของเธอดุไม่พอใจฉันสักเท่าไร ฉันไม่ตอบ ทำเป็นหูทวนลม เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ฉันได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากด้านหลังว่า ‘มารยาททรามไหมล่ะเด็กคนนี้ เข้ามาทำงานไม่กี่เดือน ดูซิ...เห็นหัวกันที่ไหน’ ฉันอยากตอบเธอกลับไปเหลือเกิน ว่าหากมีคนที่ทำตัวน่าเคารพยกย่อง ฉันคงจะเห็นหัวและให้เกียรติอยู่บ้าง แต่สำหรับเธอคนนั้น...ไม่แม้แต่จะให้เกียรติคนอื่นด้วยซ้ำ แล้วทำไมฉันต้องให้เกียรติเธอด้วย “งานที่ให้ทำน่ะ ส่งวันนี้นะ ไม่ใช่อาทิตย์หน้า เธอควรส่งงานให้พี่ดูได้แล้วนะ” หัวหน้าฝ่ายบัญชีเอ่ยกับฉัน ทั้งที่หัวหน้างานของฉันบอกให้ส่งงานตรวจรอบแรกคือพรุ่งนี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมายุ่งวุ่นวายกับแผนกอื่น และชอบใช้วาจาเสียดสีอย่างน่ารำคาญ “พี่แพงให้ส่งพรุ่งนี้ค่ะ” “แต่ก็ควรทำให้เสร็จวันนี้” “หนูพึ่งได้รับงานเมื่อสายนะคะ อีกอย่างหนูคุยกับพี่แพงแล้วว่า สคริปต์งานตรวจพรุ่งนี้” “เด็กไร้มารยาท!” เธอกระแทกแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะตรงหน้าฉัน ด้วยสีหน้าท่าทางกระฟัดกระเฟียด แน่นอนว่าสถานการณ์เช่นนี้มันเป็นที่สนใจแก่กลุ่มคนในออฟฟิศ แต่ก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียงหรือตำหนิ ไม่มีใครกล้ายืนหรือสบตา พวกเขาได้แต่ก้มหน้าและทำงานของตัวเอง ทั้งที่ใจของพวกเขาอยากจะเงยหน้าขึ้นมาดูเหตุการณ์ที่ร้อนระอุเหมือนน้ำเดือดก็ไม่ปาน “คนที่อยู่ฝ่ายบัญชี มายุ่งกับงานคอนเทนต์แบบนี้ พี่โอ๋คิดว่ามีมารยาทเหรอคะ?” “อีเอิญ อีอ้วน!” ตั้งแต่เด็กจนโต คำนี้ก็ยังเป็นคำต่อว่าติดปากเสมอ ไม่รู้ว่าจะเจ็บหรือชินชาที่ได้ยินคำด่านี้ดี ฉันนั่งนิ่งกำมือแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตากับผู้ใหญ่หัวหน้าแผนกบัญชี ฉันเคยคิดว่าเธอคนนี้คงโตพอที่จะเรียนรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี แต่ที่ไหนได้...อายุมันเป็นเพียงตัวเลขที่บ่งบอกความเป็นไปของสภาพร่างกาย แต่ไม่ได้บ่งบอกความรู้และความเข้าใจในสมอง “ค่ะ หนูอ้วน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับงานหนูไหมคะ?” “อีเด็กนี่!” “หนูไม่รู้ว่าพี่เกลียดอะไรหนู แต่หนูเข้ามาทำงานค่ะ แล้วก็ตั้งใจทำมาตลอด ถึงจะผิดพลาด หนูก็พร้อมแก้ไขงานเสมอ วันนี้หนูอาจจะผิดจริงค่ะที่เข้างานช้า แต่ก็ให้ระบบจัดการสิคะ หักเงินเดือนหรืออะไรก็ได้ ไม่ใช่มาต่อว่าเรื่องรูปร่างหรือแซะหนูแบบนี้ โตๆ กันแล้วนะคะพี่โอ๋ พี่ก็อายุน่าจะพอๆ กับน้าสาวหนู แต่พี่มีความคิดต่อคนอื่นแย่มากเลย พี่รู้ตัวไหม...ใครจะอ้วน จะดำ ทำจมูกไม่สวย ก็เรื่องของเขาสิคะ ไม่ใช่เอามานินทาลับหลังแบบนี้ หรือต่อว่าเขาเพราะหาคำอธิบายเรื่องงานไม่ได้” มันอาจจะถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่ฉันควรระเบิดออกมาบ้าง ที่เขาว่ากันว่าเด็กจบใหม่ไม่ค่อยจะทนงาน บางทีมันอาจจะมีเพื่อนร่วมงานแบบฉันก็ได้ ห่วยแตก น่าอาเจียน อยากลาออกให้รู้แล้วรู้รอด “หัดมีสัมมาคารวะหน่อยนะ ฉันโตกว่าเธอหลายปี อย่ามาพูดแบบนี้กับฉัน” “ค่ะ พี่โอ๋โตกว่าค่ะ แต่หนูขอไม่เคารพนะคะ” “พูดแบบนี้ สงสัยคงจะไม่อยากทำงานที่นี่แล้วสินะ” “หนูคงทำอะไรกับญาติเจ้าของบริษัทอย่างพี่ไม่ได้หรอกค่ะ จริงๆ หนูอยากเรียนรู้งานนะคะ แต่พอเห็นรุ่นพี่ร่วมงานอย่างพี่แล้ว หนูยินดีลาออกก็ได้ค่ะ หรือถ้าไม่อยากเสียหน้า พี่ไล่หนูออกก็ได้นะคะ” พี่โอ๋กำมือแน่น เหมือนว่าคำพูดของฉันนั้นดักเธอไว้ทุกทาง คนอย่างพี่โอ๋เกลียดสถานการณ์แบบนี้ และฉันก็เบื่อ ที่ต้องมาเจอกับสังคมที่นี่เหมือนกัน “ฉันไล่เธอออก!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD