ลีออน & ชีต้า 2 วันซวย
วันนี้วันซวยอะไรวะเนี่ย... มาเที่ยวก็ต้องมานั่งหลบนั่งซ่อน เจอผู้งานดีไม่ทันจะได้เข้าดีลเลย เขาก็หนีกลับไปก่อนอีก
“นังชีต้า!”
“ห้ะ อ๋อ ยังวะ ฉันก็งง จะสุภาพบุรุษไปถึงไหน อ่อยก็แล้ว ยั่วก็แล้ว สงสัยนกเขาไม่ขัน”
จากที่เซ็งเรื่องผู้โต๊ะข้าง ๆ ก็เปลี่ยนมาเซ็งเรื่องอิพี่กายแทน
“ไม่ขันเพราะแกไม่เซ็กซี่น่าเจี๊ยะพอหรือเปล่า ฮ่า ๆ”
ฉันกลอกตามองบนกับการหัวเราะเยาะเย้ยหยันของนางพลอย
“คนอย่างฉันไม่เซ็กซี่ ก็ไม่มีใครเซ็กซี่ละจ๊ะ”
แต่คนที่มั่นหน้าที่สุดก็คงจะเป็นฉันเอง แต่ที่พูดไปไม่มีอะไรเกินจริงหรอก คนอย่างนังชีต้าถ้าผิวในร่มผ้าไม่เผยออกมาให้โดนแดดโดนลม ฉันก็ไม่ก้าวขาออกจากบ้านแน่นอน
“หรือว่านางเป็นเกย์”
แพมก็สรรหาเหตุผล ในความที่นางไม่แอ้ม ไม่โดนเนื้อตัวฉันสักที
“โนวโน เกย์จะมาจีบฉันทำไม”
แต่ฉันว่านางไม่เป็นหรอก เกย์หรือชายรักชาย เพราะเท่าที่ฉันสัมผัสนางมาระดับหนึ่ง นังชีต้ามั่นใจว่านางชอบผู้หญิงร้อยเปอร์เซ็นต์
“อย่างเดียวแหละ หัวโบราณ”
ฉันหันหน้าไปมองพลอยทันทีที่มันพูดออกมา
“แต่งก่อนเอางี้ปะ”
แพมก็พูดเสริมขึ้น ทำให้ฉันหยุดคิด...
“ถ้าจะขนาดนั้นฉันขอบาย”
ใช่ ถ้านางจะรอตบแต่งแล้วค่อยแอ้มฉันนะ ฉันขอบาย เพราะฉันไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับเขาสักนิด
“เขาก็ดีกับแก การงานก็มั่นคง ทำไมไม่จริงจังไปเลยวะ”
จู่ ๆ แพมก็พูดอะไรประหลาด ๆ ออกมาจนฉันและพลอยหันไปมองหน้ามันด้วยท่าทางตกใจจนน้ำในปากแทบจะสำลักออกมา
“แกพูดแบบนี้ แกลืมนึกถึงสันดานมันอีกแล้วสิ”
คนที่รู้สันดานฉันดีที่สุดคือพลอย ที่กำลังนั่งชี้นิ้วใส่ตำหนิแพมที่พูดอะไรบ้า ๆ นั่นออก
“นี้ฉันควรดีใจปะ”
แต่ทำไมพอมานึกฟังดี ๆ แล้วมันทะแม่ง ๆ จนฉันต้องหันไปหาเจ้าของประโยคเมื่อสักครู่
“ดีใจสิ ฉันเนี่ยรู้ใจแกดีที่สุดเพื่อนรัก”
ในเมื่อมันเคลมตัวเองขนาดนั้นแล้วก็ต้องตามน้ำ ยิ้มแห้งให้มันไปแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่
“เข้าขากันดีจังนะพวกแก สิ่งที่พูดนี่ไม่คิดจะฟังเลย”
“คุณแพมคะ คุณแพมก็รู้ว่าอิฉัน นางชีต้าสุดแซ่บคนนี้ ไม่เคยง้อผู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ จะมาพูดเพื่อ”
ฉันมองค้อน พูดติดตลกใส่เพื่อนตัวเองไปที ที่มันยังคะยั้นคะยอป้อนความคิดที่นังชีต้าไม่มีวันทำให้
ตั้งแต่เติบโตมา ฉันก็ถูกเลี้ยงมาด้วยแม่คนเดียวเพียงลำพัง ซึ่งท่านก็คอยสอนฉันให้พึ่งพาตนเอง อย่าไปฝากใจฝากท้องกับใคร เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่สนการครองคู่ การแต่งงาน หรือแม้กระทั่งการมีครอบครัว
ไม่รู้สิ... อยู่แบบนี้มันก็ดี สนุกดีจะตาย...
ครืดดด ครืดดด
ฉันล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าที่กำลังสั่นอยู่ออกมา และดูเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอก็...
“แม่ฉันโทรมา”
เมื่อรู้ว่าปลายสายที่โทรมานั้นคือใคร ก็เอ่ยบอกกับเพื่อนทั้งสอง ก่อนจะหันซ้ายแลขวาหลบสายตาอิพี่กาย แล้วเดินออกมาคุยโทรศัพท์ที่ด้านหลังร้าน
“ค่ะ แม่”
(วันนี้นอนบ้านเพื่อนเหรอลูก)
เสียงปลายสายที่นุ่มนวล หวานละมุน เข้าใจฉันดีทุกอย่าง นี่คือเสียงของแม่ฉันเอง
“ค่ะ ไม่ต้องทำกับข้าวรอนะ พรุ่งนี้ตอนเช้าก็ด้วย กลับอีกทีก็คงจะเย็น ๆ”
วันนี้วันศุกร์หรรษา แทนที่ฉันจะได้อยู่ทานข้าวกับแม่ และพรุ่งนี้วันเสาร์ฉันก็กลับเย็นอีก แต่ท่านชินและเข้าใจฉันแล้วล่ะ เพราะเราอยู่กันแบบนี้มาตั้งแต่ฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัย จนกระทั่งใกล้จะรับปริญญา ซึ่งระหว่างเรียนนั้นฉันก็ทำงานพิเศษออกมาหาเงินใช้เองมาตลอด
และมันยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ เปิดโลกใหม่แก่ฉัน... รวมถึงเรื่องผู้ชายด้วย ฮ่า ๆ ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ชอบการมีวันไนท์กับคนที่ชอบ และแค่กับคนที่ถูกชะตา
(พรุ่งนี้แม่หยุด เย็นซื้อกับข้าวเข้ามาด้วยแล้วกัน)
แม่ฉันก็ทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศเหมือนกันนี่แหละ มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์พักผ่อนอยู่บ้าน และเป็นประจำเช่นเดิมทุกวันอาทิตย์คือวันของเราสองแม่ลูก
“ได้ค่ะ แล้วตอนนี้กินข้าวหรือยัง”
(กินแล้ว กำลังจะเข้านอน อย่าดื่มเยอะจนขาดสติล่ะ)
“ลูกแม่คอแข็งจะตาย หายห่วง”
(ที่ห่วง ห่วงคนอื่นไม่ใช่เธอ)
“แม่อ่า... นี่ลูกแม่นะ”
(ฮ่า ๆ นอนละนะ ไม่โทรไปก็ไม่โทรมาหรอก)
“ตัดพ้อเหรอเรา ไลน์บอกแล้วไม่อ่านเอง ช่วยไม่ได้นะคะ แล้วล็อกบ้านปิดประตูเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
(เรียบร้อยแล้วค้า)
“แม่นอนเถอะ พรุ่งนี้ตื่นสาย ๆ เลยนะ”
ฉันกับแม่เราอยู่กันแบบเพื่อน เพราะแม่ฉันเลี้ยงฉันมาแบบนี้ และท่านก็ยังสาวยังสวยในวัยสี่สิบกลาง ๆ
(ดูแลตัวเองดี ๆ ด้วย)
“จ้า”
คุยกับแม่เสร็จก็ก้มหน้ากดวางสาย
“เชี้ยละ พี่กาย! เอาไงวะ...”
แต่พอเงยหน้าขึ้น สายตาทอดมองไปด้านหน้าเท่านั้นแหละ...
หุ่นบึก ๆ ของอิพี่กายก็เข้ามาในสายตาพอดีเป๊ะ ๆ นางกำลังเดินมาทางนี้ แต่โชคดีนะที่นางยังมองไม่เห็นเรา เพราะตรงนี้มันเป็นลานจอดรถที่ไฟไม่สว่างมากเท่าไหร่
เอาไงดีวะนังชีต้า คิดสิ คิด…
ตอนนี้ฉันได้แต่หันซ้ายหันขวา หาที่หลบและหาหนทางรอด
รู้สึกตัวเองล่กไปหมด นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นอะไรกันนะเนี่ย ฉันยังทำตัวเป็นโจรวิ่งหนีตำรวจ ใจเต้นแรงตุบ ๆ อย่างกับคนทำผิดฆ่าคนตายมายังไงยังงั้น
และตอนนี้ฉันก็มาหลบอยู่ที่รถคันสุดท้ายของแถว อิพี่กายก็เดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ นางจะเดินวนรอบลานจอดรถเหรอวะเนี่ย?
หรือนางจะเดินสำรวจลานจอดรถ? ถ้าหลุดโซนนี้ไปโซนอื่น เขาก็จะเห็นเรา เพราะโซนอื่นไฟมันสว่างมาก
จะมาวิ่งหนีตำรวจแบบหนังอินเดียไม่ได้นะโว้ย... เอาไงดีวะ
ติ๊ด ติ๊ด
เยส! และแล้วสวรรค์ก็เข้าข้างนังชีต้า เมื่อรถที่ฉันพิงแอบอยู่ จู่ ๆ เจ้าของรถก็กดรีโมตปลดล็อกรถมาจากทางไหนก็ไม่ทราบ
ปัง! จะทางไหนก็ช่าง ไม่สนแล้ว!
คนอย่างฉันเหรอจะรอขอเจ้าของรถเพื่อขึ้นรถในยามหน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้
ไม่พูดพร่ำทำเพลง นังชีต้าตีนไวมือไวก็ขึ้นรถไปเลยสิคะ
“ออกรถเลยค่ะ”
และยังมีหน้าออกคำสั่ง ทั้ง ๆ ที่ยังไม่หันไปมองเจ้าของรถด้วยซ้ำ เพราะตาฉันมัวแต่มองอิพี่กาย
และแล้วรถก็ถอยออกจากซอง และเคลื่อนออกจากลานจอดรถ โดยที่ฉันเอนเบาะนอนหลบสายตาอิพี่กาย ขอติดรถไปจากตรงนี้ก่อน ค่อยขอลงหน้าผับ
“หนีแฟนมาเที่ยว”
ในขณะที่รถกำลังต่อแถวแลกบัตรออกลานจอดรถ คนขับ หรืออีกสถานะคือเจ้าของรถ ก็เอ่ยถามออกมาเรียบ ๆ
ฉันตงิดใจสงสัยอยู่นิดหน่อย ว่าทำไมเขาพูดเหมือนรู้ว่าฉันหนีอะไร ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิรุธให้น่าสงสัยเลย เปล่าเลยสักนิด...
“ไม่ใช่แฟน คนคุย เรียกงั้นก็ได้มั้ง”
ฉันไม่ได้สับสนในสถานะกับอิพี่กายหรอกนะ แต่จะบอกไปตรง ๆ ก็กลัวจะดูไม่งาม ว่าแค่หวังหลอกฟันเขาน่ะนะ
“ลงตรงไหน”
เมื่อรถแล่นออกจากผับสู่ถนนใหญ่แล้ว ฉันก็ปรับเบาะให้ตรงตามปกติ
และหันไปมองหน้าผู้ชายเสียงหล่อด้านข้าง ที่ช่วยชีวิตนังชีต้าไว้ เผื่อนังชีต้าคนนี้จะได้ตอบแทนพระคุณ...
และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
คุณพระ! เขาหล่อมาก หล่อแบบ... อยากจะรูดซิป ถกกางเกงนางลง และ...ให้บนรถในขณะที่เขาขับอยู่จังเลยอะแม่...
“ไล่ลงเลยเหรอ คนหล่อใจร้ายจัง กระเป๋าตังค์ก็ไม่มี เงินก็ไม่ได้พกติดตัวมาสักบาท”
แต่มีโทรศัพท์โทรเรียกเพื่อนได้
แต่ไม่ค่ะ... เพราะคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ฉันในตอนนี้ คือคนที่ส่งสายตาไปมากับฉันในผับ เมื่อตอนย้ายโต๊ะไงเล่า!
ในผับว่าหล่อแล้ว มาเจอใกล้ ๆ ใจเต้นแรงบอกไม่ถูกเลยอะ แรงแบบชนิดที่ว่าแผ่นดินไหวรุนแรง สึนามิจะเกิด ภูเขาไฟจะระเบิด
และใครจะอยากปล่อยให้หลุดมือไป ฉันเลยต้องงัดมารยาหญิงมาใช้แบบเร่งด่วน
“บอกที่อยู่คุณมา ผมจะไปส่ง”
“ไม่ได้ ๆ วันนี้ฉันไม่กลับบ้าน”
อะไรกัน เขาจำฉันไม่ได้เหรอ หรือเขายังไม่รู้ว่าเป็นฉัน นี่ฉันเอง คนที่นายสบตาหวานส่งให้ไง!
“แล้วจะให้ไปส่งที่ไหน”
เอะอะไล่อย่างเดียวเลย อย่าบอกนะว่าเป็นพ่อพระ... ฉันไม่เชื่อหรอก ทรงแบดบอยแถมหล่อซะขนาดนี้
“ห้องนายล่ะ ว่างไหม?”