ตอนที่ 2 ตัดขาด?

1918 Words
อาณาจักรรับเหมางานด้านโยธารายใหญ่ที่สุดในภาคอีสานตอนบนเนื้อที่มากกว่ายี่สิบไร่ ใครผ่านไปผ่านมาต่างก็รู้จักกันในนามอาณาจักรไทเทเวศของเสี่ยสิทธิ์ เฮียสิงห์ ด้านหน้าเป็นสำนักงานใหญ่ตึกสองชั้น มีออฟฟิศสำหรับติดต่อและประสานงาน ส่วนด้านข้างเป็นโกดังเก็บอุปกรณ์และเครื่องจักรต่างๆ ที่ใช้ในการทำงานรวมทั้งหอพักคนงาน ตรงเข้าไปเรื่อยๆ ด้านหลังสุดเป็นบ้านหลังใหญ่สไตล์ยุโรปรวมน่าจะมีประมาณสิบห้อง ทว่าต่อให้ใหญ่จนอยู่รวมกันทั้งตระกูลได้ แต่ก็มีเพียงสองคนแก่ที่อยู่กันตามลำพังและแม่บ้านไม่กี่คนเท่านั้น ที่เวียนเข้าออกกันเป็นประจำ ตระกูลกิจจาไทศิลป์ มีลูกชายเพียงคนเดียวคือ อทินหรือสิงห์ ผู้ที่หวังว่าจะได้ฝากผีฝากไข้ไว้ยามแก่เฒ่า แต่ทว่าไอ้ลูกบ้าเลือกที่จะหนีไปสร้างบ้านอยู่คนเดียวที่นอกเมือง นี่ยังคิดว่ามันมีพ่อกับแม่อยู่ไหม หรือว่าเกิดมาจากกอไผ่กันแน่ “พ่อเรียกผมมาทำไมแต่เช้า เดี๋ยวผมต้องรีบเข้าไปตรวจงานที่ไซต์” ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาหยุด ก่อนจะสาดคำพูดด้วยความรีบร้อน พลันสายตาของผู้เป็นพ่อที่เจ้าตัวเอ่ยถึงก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นี่กูเป็นพ่อมึงนะ ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอที่เรียกมึงมา” คำพูดแสลงหูของลูกชายทำเขาเอือมระอา อาการพูดจาหมาไม่แดกมันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนไหน ทั้งที่ตัวเขาเองไม่เคยสั่งสอนให้มันพูดแบบนี้... ทว่าคนตัวโตไม่ได้ตอบกลับอะไร ทั้งยืนค้ำหัว มือเท้าสะเอวมองหน้าเหมือนหาเรื่องไม่รู้จบ “ฉันคุยกับไอ้ชัยแล้วว่าจะให้หนูพราวมาช่วยงานแกที่บริษัท น้องมันจะได้เรียนรู้งานไปด้วย ระหว่างที่ไอ้ชัยมันกลับไปเคลียร์เรื่องที่กรุงเทพ” “พ่อว่าไงนะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม?” ชื่อนั้นที่ถูกพ่นออกมาจากปากของผู้เป็นพ่อทำเขาชะงัก คนตัวโตเบือนใบหน้าไปทางอื่น คล้ายกับเก็บซ่อนอารมณ์ในใจ ก่อนจะปะทุออกมาเป็นคำถามมากมายในหัว “ฉันไม่รู้ว่าพวกแกมีปัญหาอะไรกัน แต่ครั้งนี้น้องมันตกลงแล้วก็เอาเป็นว่าตามนี้” “เดี๋ยวก่อน!” เขาไม่พอใจเมื่ออยู่ดีๆ ต้องมารับหน้าที่เพิ่มเติมโดยที่คนตรงหน้าไม่ขอถามความเห็นสักคำ “เบาๆ มือด้วยแล้วกัน ถึงฉันจะยกบริษัทให้แกดูแลแต่ก็ไม่ใช่ว่าแกจะทำอะไรตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง คนนี้มันก็ลูกของเพื่อนฉัน ดังนั้นทำอะไรต้องปรึกษาด้วย” อภิสิทธิ์ไม่ได้สนใจท่าทางและสายตาดื้อรั้นของลูกชาย เขากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะบอกให้คนตัวดีนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม ทว่ามันก็ไม่ยอมท่าเดียว ไม่รู้จะมีปัญหาอะไรหนักหนา อีกอย่างมันเป็นประเด็นใหญ่หลวงอะไรที่ถึงขั้นต้องเครียดจนยกมือมากุมขมับ คิดแล้วก็ปวดหัว ไอ้ลูกคนนี้มันดีทุกอย่าง ยกเว้นปากและมิตรภาพกับคนอื่น เรื่องงานไว้ใจได้ แต่เรื่องเมตตาธรรมยังต้องบอกต้องสอนอีกเยอะ ใครทำงานไม่ดีก็ไม่ให้โอกาส สักแต่จะไล่ออกอย่างเดียว นี่ก็เปลี่ยนผู้ช่วยไปห้าคนได้แล้วมั้ง ต่างกันกับเขาที่ดูแลพนักงานทุกคนให้เหมือนกับคนในครอบครัว เพราะเชื่อว่าถ้าไม่มีพนักงานที่ดีและซื่อสัตย์ องค์กรก็เติบโตไม่ได้ เก่งไม่เก่งไม่เป็นไร มันฝึกฝนกันได้แต่ความดีต้องมาเป็นที่หนึ่ง “มัดมือชกกันชัดๆ” อทินทำหน้างอ อย่างแบบปฏิเสธไม่ได้ แม้อายุจะใกล้เข้าเลขสาม ทว่ายังทำตัวงอแงเหมือนเด็ก จนพ่อของเขาถึงขั้นส่ายหัวตาม “แกโทรบอกให้ไอ้เก่งตรวจงานแทนไปก่อน เดี๋ยวไอ้ชัยกับหนูพราวน่าจะมาถึงแล้ว” เบื่อจะต่อล้อต่อเถียงกับไอ้ลูกที่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เรื่องอื่นกูไม่เห็นต้องให้พูดซ้ำหลายรอบ ทำไมเรื่องนี้ต้องทำเหมือนเป็นภาระระดับประเทศ ถามหน่อยเถอะ! คนตัวโตได้แต่พยักหน้ารับด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะเดินออกไปทางหลังบ้าน ทั้งต่อสายคุยงานกับลูกน้องไปด้วย ทั้งสบถคำรำคาญในใจทิ้งเล่น เหี้ยไรของกูวะ! กลับมาที่ห้องโถงใหญ่ในสิบนาทีต่อมา... “หนูพราวเนี่ย โตแล้วสวยขึ้นเยอะกว่าเดิมเลยเนอะ ลุงยังจำได้สมัยมัดเปียสองข้างขี่รถมอไซต์ซ้อนท้ายกับสิงห์ไปโรงเรียน ไม่น่าเชื่อว่าจะผ่านไปเกือบสิบปีแล้ว ฮ่าๆ” คนรุ่นเก่าเล่าความหลัง อภิสิทธิ์มองใบหน้าหลานสาวคนสวยด้วยท่าทางของคนดีใจ ไม่เจอพราวนภานานนับหลายเดือน และเป็นครั้งแรกที่สาวเจ้าตามพ่ออย่างนนทชัยมาเยี่ยมเขาถึงที่บ้านในรอบสิบปี “ก็เหมือนเดิม” ก่อนหน้านั้นบทสนทนาราบรื่นไปด้วยดี แต่เสียงที่เปล่งออกมาเมื่อกี้นี้คือของร่างสูงที่กำลังสาวเท้าเข้ามาใกล้พวกเขา อทินได้เพียงแต่เอ่ยขัดจังหวะ พลันสายตาของตัวเองก็แอบเผลอไปสบตากับหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่กับพ่อของเธอพอดี..ไม่ได้ตั้งใจมอง แต่ก็มองรวมๆ เขาบอกกับตัวเองในใจ “ลุงชัย สวัสดีครับ” ชายหนุ่มหันหน้ามาทางนนทชัย “เออ ไหว้พระเถอะลูก.. ลุงฝากพราวด้วยนะสิงห์ เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กยังไงก็ดูแลน้องมันเหมือนเดิมนะ มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกัน” รับไหว้คนตรงหน้าพร้อมกับเอื้อมมือไปตบไหล่เป็นการทักทายด้วยความเอ็นดูไปสองที... ประโยคสุดท้ายคล้ายว่าเอ่ยขอ แต่ปนกับย้ำเตือนคนรุ่นลูกไปด้วย ทั้งนนทชัยและอภิสิทธิ์ไม่เคยได้รู้สาเหตุและที่มาของปัญหาที่มีต่อคนรุ่นลูกทั้งสอง ถ้าเป็นเมื่อก่อนสนิทกันยังกับอะไรดี แต่แล้ววันดีคืนดี สาวเจ้าไม่ยอมที่จะมาเจอหน้าอทินอีกต่อไป ทั้งที่เธอติดลูกชายของเขายิ่งกว่าอะไรดี คนเป็นพ่ออย่างนนทชัยได้แต่เปรยถาม แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบ หลายครั้งที่ชวนมาบ้านของอทินด้วยกัน แต่พราวนภาก็ปฏิเสธไม่อยากมาแบบดื้อๆ วัยเด็กเขาอาจจะเข้าใจ แต่ลามไปจนถึงวัยรุ่นก็ยังทำนิสัยแบบเดิม เลยได้แต่ปล่อยไปตามน้ำ ลูกสาวคนเดียวคงตามใจ หากเรื่องมันไม่ได้ใหญ่ก็ไม่รู้จะไปเซ้าซี้อะไรให้มากความ ก่อนเขาที่ไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางอะไรต่อ เพราะรับรู้ได้ถึงความคุกรุ่นของคนหนุ่มสาว...นนทชัยเลยเสตามองไปทางเพื่อนรัก พร้อมกับเอ่ยปากบอกลาขึ้นอย่างไม่มีเตรียมการก่อนหน้านั้น “ถ้างั้นสองคนก็คุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวป๊ากับลุงสิทธิ์ต้องออกไปข้างนอกแล้ว” พูดไม่พอ พร้อมกับยื่นกุญแจรถมาให้พราวนภาที่ยังทำหน้างง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขาในตอนนี้ “แล้วก็พราวนี่กุญแจรถ ขับกลับด้วยนะ” “อ..โอเคค่ะป๊า” สาวเจ้ารับมันมา พร้อมกับพยักหน้าเข้าใจด้วยความรู้สึกอึดอัด บทจะทิ้งกันก็มาทิ้งกลางทางแบบนี้แล้วเธอจะไปยังไงต่อ คิดว่าวันนี้คงเจอแค่อภิสิทธิ์ ไม่ได้วางแผนว่าจะเจอเขาตั้งแต่วันแรก ทำได้แค่มองนนทชัยและอภิสิทธิ์เดินออกไปพร้อมกันด้วยสายตาละห้อย คล้ายอยากเอ่ยพูดอะไรไล่หลังแต่ก็คงไม่ดีกว่า และทันทีที่หันกลับมา เธอก็สบตาเข้ากับเขาที่นั่งไขว่ห้างจ้องมองเธออยู่ มันนานแค่ไหนแล้วที่เราสองคนไม่ได้เจอกัน จนเกือบลืมไปว่าเราเคยสนิทกันมากแค่ไหน จนแทบจะลืมไปว่าคนตรงหน้าเป็นคนยังไง เขายังเหมือนเดิมหรือเปล่า.. พราวนภาเอาแต่ทบทวนใบหน้าหล่อของคนฝั่งตรงข้ามด้วยความเหม่อลอย ในใจกระวนกระวายคิดถึงเรื่องราวเยอะแยะเต็มหัวไปหมด พร้อมทั้งจินตนาการคำพูดว่าควรจะเริ่มต้นบทสนทนายังไงดี ทว่า...คนที่เปิดปากก่อนไม่ใช่เธอคนแรก “จะมองฉันอีกนานไหม?” คนตัวโตถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้ม “อ่อ ปะ..เปล่าค่ะ เฮียสิงห์สบายดีนะคะ?” “ก็..ตามที่เห็น” อทินทำหน้าตอบอย่างไม่แยแส “เฮียมีเรื่องเครียดเยอะเหรอคะ? ทำไมหน้าตาไม่ค่อยสดใสเลย มีอะไรคุยกับพราวได้นะคะ” เธอไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะเมื่อได้รับท่าทางและคำพูดของเขาที่แทบจะไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ความรู้สึกในใจมันแอบไขว่เขวไปบ้าง ทว่าจะให้ทำยังไงได้... ฮึบเข้าไว้ ใจแข็งเข้าไว้ สู้หน้าเขาให้ได้นะ แม้ความเป็นจริงเธอจะอยากวิ่งหนีออกไปเลยก็ตาม ตัวอทินเองก็ไม่ต่างกัน คำถามเกิดขึ้นในหัวร้อยแปดประโยค และคงเป็นประโยคเดียวที่ชัดเจนมาตลอดสิบกว่าปีว่าทำไมเธอถึงทำกันแบบนี้... “บล็อกฉันทำไม?” คนตัวโตพุ่งประเด็นอย่างไม่รีรอ ก็บอกแล้วว่าเขาคาใจมาตลอด และมันไม่มีอะไรต้องปิดบังเมื่อเธอมาอยู่ให้เขาถามถึงที่ “เอ่อ..ไม่รู้สิคะ แต่พราวปลดบล็อกไปนานแล้วนะคะ” คำตอบของเธอทำเขาไม่พอใจขึ้นมาแบบดื้อๆ เพราะไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดดี คิดอะไรออกเลยสวนกลับไปแบบนั้น แต่ว่าเขาจะรื้อฟื้นมาอีกทำไม เราต่างคนต่างโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว “พราวว่าเราไม่ต้องพูดถึงเรื่องเดิมกันอีกนะคะ เรามาคุยเรื่องงานที่บริษัทกันดีกว่าค่ะ” “อืม ก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่หรอก” เขาพยักหน้าก่อนจะหันสายตามองข้ามหัวเธอไป...ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามองอะไร แต่ก็ดีแล้ว ดีกว่าที่เราต้องมานั่งสบตากันเหมือนก่อนหน้านั้น... ความรู้สึกของเธอเหมือนจะมีอะไรติดค้างแต่ก็ไม่...ปล่อยวางทุกอย่างได้นานแล้ว และด่าตัวเองหลายรอบด้วยซ้ำว่าพฤติกรรมวัยเด็กที่ทำไปมันงี่เง่าสิ้นดี นอกจากสร้างความเป็นห่วงให้กับคนที่บ้านแล้ว ยังรำคาญใจตัวเองไม่น้อยเหมือนกัน ก่อนที่ความเงียบจะเข้าปกคลุมอีกครั้ง พร้อมด้วยคำพูดตัดจบบทสนทนาระหว่างเราในจังหวะถัดไป “พรุ่งนี้ ตีห้า ฉันจะไปรับที่บ้าน” “ค..คะ?” เธอไม่ทันได้พูดอะไรตอบ ก่อนเขาจะลุกพรวดพราดออกไปโดยไม่หันสายตามาสนใจกันสักนิด คนอย่างพราวนภาที่ก็แทบจะไม่ชอบรั้งอะไรใครอยู่แล้วก็เลยไม่เอ่ยอะไรอีก มองดูขายาวที่ก้าวฉับอย่างไม่แยแส กับร่างสูงที่ท่าทีน่าเกรงขาม ถ้าไม่เคยรู้จักกันเธอคงจะกลัวเขาไปมากกว่านี้อีก ทว่า...อืม ตีห้าเหรอ ตีห้าใช่ไหม? เขาจะไปบิณฑบาตหรือไงนะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD