ตอนที่ 4: จ้าวราตรี ปะทะ เหยื่อในเงา

1786 Words
สุนัขทั้งสองยังคงเห่าใส่ภริตาอย่างไม่ลดละ ฟันคมขาววาวภายใต้แสงไฟฉาย น้ำลายยืดเล็กน้อยบ่งบอกถึงความดุดัน ภริตาพยายามยันตัวเองเพื่อถอยร่นไปข้างหลังอย่างทุลักทุเล ความหวาดกลัวแล่นริ้วไปทั่วร่างจนขาของเธอสั่นเทา เธอตัดสินใจลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว หันหลังกลับเพื่อหวังจะวิ่งหนีให้พ้นจากสถานการณ์ตรงหน้า แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะก้าวพ้นไปได้ ร่างบางของภริตาก็ชนเข้ากับแผงอกกว้างและแข็งแกร่งราวกับกำแพงหิน ความรู้สึกแน่นหนักและมั่นคงจากการปะทะ ทำให้ร่างของเธอหยุดชะงักแทบจะทันที ชายในชุดสูทสีดำที่เธอชนเข้า ไม่รู้สึกสั่นสะเทือนแม้แต่น้อย ราวกับร่างของเธอเป็นเพียงขนนกที่ปลิวมาปะทะ ภริตาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ในอก แสงไฟฉายหลายดวงสาดส่องมาจากด้านหลัง ทำให้ใบหน้าของผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอชัดเจนขึ้น ใบหน้าที่เธอเห็นนั้น หล่อเหลาคมคาย จมูกโด่งเป็นสันรับกับคิ้วเข้มที่พาดเฉียง ดวงตาคมกริบคู่ดำสนิทจ้องมองลงมายังเธออย่างไม่กะพริบ แววตาคู่นั้นเย็นเยียบแต่ก็แฝงไว้ด้วยความดุดันและอำนาจที่น่าเกรงขาม ริมฝีปากหยักได้รูปเหยียดตรงไร้รอยยิ้ม มันคือใบหน้าของอานนท์ ราชันย์แห่งรัตติกาล ที่เธอพยายามหลีกหนีมาตลอด ความหวาดกลัวถาโถมเข้าสู่จิตใจของภริตาราวกับคลื่นยักษ์ ร่างกายที่อ่อนล้าจากการหลบหนีอย่างทุลักทุเลมาหลายวัน ราวกับถูกตัดกำลังลงในทันที ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนยืนไม่อยู่ สติสัมปชัญญะค่อยๆ เลือนรางลง พร้อมกับร่างที่ค่อยๆ ทรุดฮวบลงสู่พื้นดินเย็นเยียบ อานนท์ก้มลงมองร่างที่ทรุดกองอยู่แทบเท้าเขาอย่างเฉยเมย แสงไฟฉายสาดส่องกระทบใบหน้าซีดเซียวและเรือนร่างที่เปียกปอนไปด้วยสายฝน ดวงตาคมกริบคู่ดำสนิทของเขาจ้องมองอย่างพิจารณา แต่ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีความสงสาร ไม่มีความเห็นใจ มีเพียงความเย็นชาและความว่างเปล่า ราวกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงวัตถุไร้ค่าชิ้นหนึ่ง แสงแดดยามเช้าอ่อนๆ สาดส่องลอดผ่านผ้าม่านสีขาวบางเบาที่หน้าต่างห้อง ปลุกภริตาให้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เธอนอนอยู่บนเตียงนุ่มสีขาวสะอาด สัมผัสของผ้าปูที่นอนเนื้อละเอียดทำให้รู้สึกแปลกประหลาด สายตาของเธอกวาดไปรอบห้องอย่างไม่คุ้นเคย ทุกสิ่งทุกอย่างดูใหม่และหรูหรา แตกต่างจากซากตึกเก่าที่เธอเพิ่งหลับใหลไปอย่างสิ้นเชิง เธอค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง ก้มมองดูเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ เป็นชุดนอนผ้าฝ้ายแขนยาวสีขาวเนื้อนุ่มสบายตัว มันไม่ใช่เสื้อผ้าเปียกชื้นและสกปรกที่เธอสวมใส่เมื่อคืน ภริตารู้สึกสับสนและหวาดระแวง เธออยู่ที่ไหน? ใครพาเธอมาที่นี่? ด้วยความกระวนกระวาย ภริตาลุกขึ้นจากเตียง เดินไปยังประตูห้อง มือเรียวเอื้อมไปจับลูกบิดประตูสีทอง ขยับหมุนเบาๆ แต่ประตูก็ยังคงแน่นสนิท เธอออกแรงเขย่าลูกบิดและผลักประตูด้วยแรงทั้งหมดที่เธอมี แต่ประตูไม้เนื้อดีนั้นก็ไม่ขยับเขยื้อนเปิดออกตามที่เธอต้องการ มันถูกล็อคจากด้านนอก ภริตาหันหลังกลับมาสำรวจภายในห้องนอนอย่างละเอียดอีกครั้ง แสงแดดยามเช้าส่องสว่างทำให้เห็นรายละเอียดต่างๆ ชัดเจนขึ้น ผนังสีเทาอ่อนประดับด้วยภาพวาดนามธรรมสีสันนุ่มนวล โคมไฟตั้งโต๊ะดีไซน์เก๋วางอยู่ข้างเตียง บนโต๊ะข้างเตียงมีแจกันดอกไม้สดสีขาวส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นไม้สีเข้มขัดเงาวาว มีโต๊ะเครื่องแป้งขนาดใหญ่พร้อมกระจกเงาบานโต ตู้เสื้อผ้าบิวท์อินดูเรียบสนิท และโซฟาเดี่ยวสีเทาเข้มวางอยู่ริมหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวบางพลิ้วไหวเล็กน้อยตามสายลมที่พัดเบาๆ จากภายนอก แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบพื้นไม้ปาร์เก้เป็นประกาย ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ดูดีและมีราคา แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นชาและแปลกแยกสำหรับภริตา มันเหมือนกรงทองที่สวยงาม แต่เธอก็ยังคงเป็นนักโทษอยู่ดี ความหวาดกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจอีกครั้ง เธอถูกพามาที่นี่ทำไม? และใครเป็นคนกักขังเธอไว้? แสงแดดยามเช้าที่ส่องเข้ามา กลับไม่ได้ให้ความอบอุ่นใจ แต่กลับยิ่งขับเน้นความโดดเดี่ยวและไม่มั่นคงของเธอให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ภริตาก็เริ่มมองหาโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของเธออย่างกระวนกระวาย เธอเดินวนเวียนไปทั่วห้อง สายตากวาดมองไปตามโต๊ะข้างเตียง บนโซฟา หรือแม้แต่ใต้หมอน แต่ก็ไม่พบร่องรอยของโทรศัพท์เครื่องนั้น ความร้อนรนเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ เธอต้องการติดต่อใครสักคน ต้องการความช่วยเหลือ ในระหว่างที่ภริตากำลังว้าวุ่นกับการตามหาโทรศัพท์ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกช้าๆ พร้อมกับการปรากฏตัวของร่างสูงสง่าของใครบางคน ภริตารีบหันขวับไปมอง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว พับแขนขึ้นไปถึงช่วงศอก ปกเสื้อถูกปลดกระดุมเม็ดบน เผยให้เห็นลำคอแข็งแรงและผิวเนื้อขาวเนียน กางเกงสแล็คสีดำสนิททำให้รูปร่างสูงโปร่งของเขาดูโดดเด่นยิ่งขึ้น เขาปิดประตูลงเบาๆ และกดล็อคมันทันที เสียงล็อคประตูดัง "คลิก" เบาๆ แต่กลับก้องกังวานในความเงียบ ทำให้ความหวาดกลัวในใจของภริตาทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง เธอจ้องมองชายหนุ่มด้วยความหวาดระแวง ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากเธอ อานนท์เดินอย่างสบายๆ ไปนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะไม้สีเข้มริมผนังห้อง แสงแดดยามเช้าส่องกระทบใบหน้าหล่อเหลาของเขาเล็กน้อย เขาหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่า หน้าจอแตกเป็นลายงา ขึ้นมาถือไว้ในมือ ก่อนจะชูมันขึ้นให้ภริตาเห็น "กำลังตามหานี่อยู่ใช่ไหม" เสียงทุ้มนุ่มของเขาเอ่ยถาม ดวงตาคมกริบจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าซีดเซียวของหญิงสาว ภริตาจ้องมองโทรศัพท์เครื่องคุ้นตาที่อยู่ในมือของอานนท์ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความดีใจระคนตกใจ เธอรีบก้าวเท้าเข้าไป หวังจะคว้ามันกลับคืนมาในทันที แต่ยังไม่ทันที่มือเรียวจะสัมผัสโทรศัพท์ อานนท์ก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ร่างสูงใหญ่ของเขาทิ้งเงาทาบทับร่างเล็กของ ภริตา มือข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์ยกขึ้นอย่างรวดเร็ว โอบรอบลำคอบอบบางของเธอไว้แน่นหนา ป้องกันไม่ให้เธอเข้าใกล้ "อื้อ!" ภริตาร้องประท้วงใบหน้าแดงก่ำด้วยความตกใจและอึดอัด เธอพยายามใช้มือเรียวเล็กและบอบบางทั้งสองข้างแกะมือที่แข็งแกร่งราวกับคีมเหล็กของอานนท์ออก แต่ก็ไม่เป็นผล แรงบีบรัดที่ลำคอยิ่งแน่นขึ้นจนเธอเริ่มหายใจลำบาก อานนท์มองการกระทำที่ดูไร้ทางสู้ของเธอด้วยรอยยิ้มหยันที่มุมปาก ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับกำลังสนุกที่ได้เห็นเหยื่อดิ้นรนอยู่ในเงื้อมมือของเขา ภริตาทั้งจิกทั้งข่วน พยายามแกะมือที่บีบรัดลำคอเธออย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่เป็นผล แรงของอานนท์นั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่เธอจะต้านทานได้ เขาออกแรงผลักร่างบางของเธอจนเสียหลัก ล้มไปกองกับพื้นห้องอย่างหมดสภาพ อานนท์มองตามร่างที่นอนระเนระนาดอยู่กับพื้นด้วยสายตาที่แข็งกระด้าง ไร้ซึ่งความเห็นใจหรือความปรานีใดๆ อานนท์เลื่อนดูโทรศัพท์เครื่องเก่าในมืออย่างไม่ใส่ใจนัก มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรที่จะปลดล็อคโทรศัพท์เครื่องนี้ ด้วยความสามารถของลูกน้องฝีมือดีของเขาที่จะยกเลิกรหัสปลดล็อคหน้าจอ อานนท์เลื่อนไปยังรายชื่อที่ภริตาโทรออกล่าสุด ก่อนจะกดโทรออกไป ในระหว่างที่รอสาย ภริตาพยายามพยุงร่างที่อ่อนแรงของเธอลุกขึ้นอีกครั้ง หวังจะเข้าไปยื้อแย่งโทรศัพท์จากเขา แต่ก็ไร้ผลเช่นเดิม ร่างกายของเธอยังคงสั่นเทาและอ่อนล้าเกินกว่าจะต่อต้านแรงของเขาได้ ไม่นานนัก ปลายสายก็กดรับโทรศัพท์ "ฮัลโหล…" เป็นเสียงทุ้มต่ำของผู้ชาย อานนท์ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะกดเปิดลำโพงโทรศัพท์ "ฮัลโหล..." เสียงทุ้มต่ำของชายปลายสายดังลอดออกมา ภริตาดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความหวาดหวั่น เธอจำเสียงนั้นได้ดี มันเป็นเสียงของพ่อบุญธรรมของเธอนั่นเอง แต่เธอกลับเลือกที่จะเงียบ ไม่กล้าแม้แต่จะปริปากเอ่ยเสียงใดๆ ออกไป เพราะกลัวผู้ไม่ประสงค์ดีเหล่านี้จะตามหาและจับพ่อของเธอ "ฮัลโหล...ภีม พ่อขอโทษนะลูก พ่อไม่มีปัญญาใช้หนี้ให้กับพวกมันจริงๆ พ่อขอเวลาไปหาเงิน แล้วถ้าพ่อมีเงินเมื่อไหร่พ่อจะกลับไปเผชิญหน้ากับพวกมัน อดทนไว้นะลูก อย่าให้พวกมันเจอตัว รักษาตัวเองให้ดีๆ..." เสียงปลายสายเอ่ยออกมาด้วยความร้อนรนและสำนึกผิด โดยไม่รู้เลยว่าลูกสาวบุญธรรมที่เขากำลังพูดถึง ได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าหนี้รายใหญ่ที่เขาหลบหนีหัวซุกหัวซุนไปแล้ว ภริตายืนตัวสั่น ดวงตากลมโตเบิกกว้าง น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงของพ่อบุญธรรมตอกย้ำความสิ้นหวังในใจของเธอ เธอถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ถูกทิ้งให้อยู่ในอันตรายเพียงลำพัง เมื่ออานนท์เห็นว่าภริตาไม่ยอมพูดอะไร เขาก็เอ่ยขึ้นเองด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น "ลูกสาวแกอยู่กับฉัน ถ้าอยากได้คืน ก็เอาเงินสิบล้านมาใช้หนี้ฉันซะ" ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับตกใจและอึ้งไปกับคำพูดที่ได้ยิน จากนั้นก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ก่อนที่สายจะถูกตัดไป อานนท์ลดโทรศัพท์ลง มองหน้าภริตาที่กำลังสะอื้นไห้อย่างน่าเวทนา แต่ในดวงตาคมกริบของเขากลับไร้ซึ่งความเห็นใจ "ได้ยินหมดแล้วใช่ไหม" เขาเอ่ยเสียงเย็นเยียบ "พ่อเธอมันทิ้งเธอไปแล้ว...ทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้เธอชดใช้"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD