EP 03
ตกหลุมรัก…อีกครั้ง
08.45 P.M.
Vamp club
“ฉันถึงแล้วนะ”
[อืม ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็โทรมาแล้วกัน ไม่ต้องห่วงยองแอล่ะ]
“ขอบใจ” ยองวอนกดวางสายก่อนจะรีบเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าพลางมองสำรวจไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
ไม่แปลกหรอกที่เขาจะไม่เคยมาที่นี่ ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อด้วยซ้ำ เหตุผลก็เพราะว่าที่นี่เป็นคลับปิดที่เพิ่งจะเปิดให้บริการได้ยังไม่ถึงสองเดือน ต้อนรับเฉพาะลูกค้าที่เป็นนักธุรกิจหรือว่าพวกเซเลบริตี้ที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินเป็นปึกๆ แลกกับการได้เข้าไปด้านใน และที่สำคัญมันเป็นบาร์โฮสต์!
ว่าแล้วเชียวว่าทำไมบอนซองถึงได้มีท่าทีแปลกๆ ตอนที่เขาถามว่ารู้จัก Vamp club มั้ย
ยองวอนไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรอกที่บอนซองจะรู้จักที่นี่ เพราะคุณสมบัติของบอนซองเข้าข่ายลูกค้าของที่นี่ครบทุกประการ
“สวัสดีครับ Vamp club ยินดีต้อนรับ รบกวนขอดูบัตรด้วยครับ” พนักงานต้อนรับที่ยืนอยู่ด้านหน้าบอกด้วยรอยยิ้มที่ดูเต็มใจบริการ พนักงานพวกนี้จะได้เงินเดือนสักเท่าไหร่กันนะ ยองวอนแอบนึกสงสัย
ว่าแต่ขอดูบัตรงั้นเหรอ เขาจะไปเอาบัตรที่ไหนมาให้
ก่อนหน้านี้บอนซองบอกเอาไว้แล้วว่า ถ้าไม่มีบัตรผ่านประตูก็ไม่มีทางเข้าไปได้แน่ๆ และถึงแม้ว่าบอนซองจะรู้จักที่นี่ แต่เขาก็ไม่เคยมาด้วยตัวเองเลยสักครั้ง นั่นทำให้เขาไม่มีบัตรที่พอจะให้ยองวอนยืมมาใช้เป็นใบเบิกทางได้
รู้ทั้งรู้แต่ยองวอนเองก็อยากจะลองดูสักตั้ง จะเรียกว่าการมาในครั้งนี้เป็นการตั้งใจมาตายเอาดาบหน้าก็คงใช่
“เอ่อ คือ...”
“ถ้าไม่มีบัตรก็เข้าไม่ได้นะครับ ลูกค้าต้องเป็นสมาชิกของคลับก่อนเท่านั้นถึงจะใช้บริการได้ครับ”
“แล้วผมต้องทำยังไงถึงจะได้เป็นสมาชิกครับ” ยองวอนเอ่ยถามอย่างสุภาพพลางลอบถอนหายใจ เขารู้อยู่แล้วว่ายังไงซะก็จะต้องเป็นแบบนี้ ดังนั้นจึงเตรียมเงินมามากพอที่จะจ่ายค่าสมัครสมาชิกอะไรนั่นทั้งที่คิดว่าน่าจะมาที่นี่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวด้วยซ้ำ
“รบกวนลูกค้าติดต่อที่ห้องด้านข้างก่อนได้ครับ เดินตรงไปจะเจอห้องกระจกเล็กๆ อยู่ทางซ้ายมือ เคาะกระจกสามครั้งแล้วบอกว่าขอเปิดเมมเบอร์ จะมีพนักงานคอยรับเรื่อง ทางคลับจะสอบถามข้อมูลเบื้องต้นของลูกค้าเพื่อเก็บไว้ในระบบฐานข้อมูล หลังจากนั้นลูกค้าก็จ่ายเงินค่าสมัคร รอทางร้านตรวจสอบข้อมูลไม่เกินสองอาทิตย์ แล้วเราจะติดต่อกลับไปครับ”
โอ้โห นอกจากจะต้องเสียงเงินค่าสมัครก้อนโตแล้วต้องรอเช็กข้อมูลอีกสองอาทิตย์เลยเหรอเนี่ย จะดูเป็นความลับอะไรกันนักกันหนา
ยองวอนนึกหงุดหงิดในใจ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาเพราะเขาเตรียมมาแล้ว แต่เรื่องเวลาที่จะต้องรอตรวจสอบข้อมูลตั้งสองอาทิตย์นี่สิ ใครจะไปรอได้
“ลูกค้ามีอะไรสงสัยรึเปล่าครับ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนสอบถามผมได้เลยนะครับ” พนักงานยังคงอธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับได้รับการฝึกมาดี ท่าทางว่าจะได้รับเงินเดือนมากสินะถึงได้ดูกระตือรือร้นมากขนาดนี้ ก็อย่างว่านั่นแหละ จากราคาค่าสมัครสมาชิกคร่าวๆ ที่บอนซองบอก ยองวอนก็พอจะเดาได้ว่าลูกค้าของที่นี่คงมีแต่พวกเงินหนาทั้งนั้น คิดแล้วก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าเขาสามารถเข้าไปด้านในได้ จะได้รับบริการราวกับว่าตัวเองเป็นเทวดาเลยรึเปล่า ขนาดแค่ได้มายืนอยู่หน้าประตู พนักงานยังดูแลเอาใจใส่ดีขนาดนี้เลย
“ขอบคุณมากครับ แต่ผมขอคิดดูก่อน พอดีผมแค่แวะมาหาคนรู้จักน่ะครับ” ยองวอนยิ้มขื่น ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับออกมาอย่างสิ้นหวัง
เขาไม่ได้รู้สึกเสียดายเงิน เพราะตัดสินใจที่จะยอมจ่ายแล้วตั้งแต่แรก แต่ถ้าหากต้องเสียเวลารออีกตั้งสองอาทิตย์แล้วละก็ ทุกอย่างอาจสายเกินไป เขาเสี่ยงที่จะรอนานขนาดนั้นทั้งที่ไม่ได้มีความมั่นใจเลยสักนิดว่า กว่าจะได้กลับมาอีกครั้งจะยังมีโอกาสได้เจอกับคนที่กำลังตามหาหรือไม่ ที่สำคัญเลยก็คือเขาเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าคำพูดของผู้ชายแปลกหน้าที่เขาพบที่ห้องของชินซองเชื่อถือได้รึเปล่า
หรือบางทีเขาอาจจะกำลังโดนหลอก
ตุ้บ!
“ขอ...เอ่อ ขอโทษครับ”
“ยองวอนน้อย นายมาจริงๆ ด้วย”
ยองวอนนึกขัดใจกับสรรพนามที่ผู้ชายคนนั้นเอ่ยเรียกเขา แต่อีกใจก็รู้สึกโล่งอกที่ได้เจอกันอีกครั้ง เพราะมันทำให้ความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองกำลังโดนหลอกอยู่เมื่อครู่ค่อยๆ เลือนหายไป
“มองหาชินซองเหรอ หมอนั่นไม่มาหรอก”
“อ้าว” เสียงร้องด้วยความผิดหวังของยองวอนทำให้โทซองลอบมองเสี้ยวหน้าของเด็กผู้ชายตรงหน้าด้วยความเอ็นดูพลางกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะถือวิสาสะเอื้อมมือไปโอบไหล่เอาไว้อย่างสนิทสนม
“ป่ะ เข้าไปข้างในก่อนสิ นายเพิ่งมาถึง จะกลับแล้วเหรอ”
“มะ ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ต้องการมาพบพี่ชินซอง ถ้าคืนนี้เขาไม่มา เอาไว้ผมค่อยมาใหม่วันหลังดีกว่า อีกอย่างคือผมไม่มี...”
“ไม่เอาน่า ไหนๆ นายก็มาแล้ว ไปเถอะ ฉันเลี้ยงเอง” โทซองยืนกรานอย่างอารมณ์ดี แต่กลับรู้สึกได้ว่าคนในอ้อมแขนกำลังขืนตัวสุดกำลัง
“ขอโทษที่ผมต้องเสียมารยาทครับ แต่ผมต้องกลับแล้วจริงๆ”
“นายจะต้องกลับได้ยังไงในเมื่อนายเพิ่งมา อีกอย่างถ้าฉันไม่บอกว่าคืนนี้ชินซองจะไม่มาที่นี่ นายก็ยังไม่ได้จะรีบกลับสักหน่อยนี่”
“แต่...”
“เอาแบบนี้ดีมั้ย ถ้านายยอมเข้าไปกับฉัน ฉันจะโทรตามชินซองให้ จะพยายามสุดชีวิตเพื่อให้หมอนั่นโผล่หัวออกมา แม้จะเสี่ยงต่อการถูกเขาเขี่ยกระเด็นออกจากเพนต์เฮ้าส์มากแค่ไหนก็ตาม” โทซองยื่นข้อเสนอ ยองวอนยืนนิ่งอย่างครุ่นคิด ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วบอกปฏิเสธอีกครั้ง
“ไม่ดีกว่าครับ แต่ไม่ใช่เพราะผมรังเกียจพี่หรอกนะ เพียงแต่ผมไม่อยากเป็นต้นเหตุทำให้พี่ต้องเดือดร้อน ต้องถูกเขี่ยกระเด็นออกมาจากเพนต์เฮ้าส์ ผมรู้ดีครับว่าพี่ชินซองเขาเองก็ไม่ได้อยากจะเจอหน้าผมสักเท่าไหร่” ยองวอนบอกเสียงเศร้า แม้มุมปากจะพยายามยกยิ้มแต่โทซองรับรู้ดีว่าอีกฝ่ายน่าจะมีบาดแผลกับเรื่องราวในอดีตอยู่เหมือนกัน
“งั้นถ้าฉันขอเปลี่ยนคำพูดล่ะ” โทซองไม่ละความพยายามที่จะต่อรอง
“พี่หมายความว่ายังไงครับที่บอกว่าจะเปลี่ยนคำพูด”
“ฉันขอเปลี่ยนจากที่เคยพูดว่าชินซองจะไม่มาที่นี่เป็นเขาจะต้องมาที่นี่แน่นอน”
“เอ่อ คือ...”
มันเปลี่ยนกันได้ง่ายดายแบบนี้เลยเหรอ ยองวอนนึกสงสัยในใจ
“มาเถอะ ถ้าคืนนี้หมอนั่นไม่โผล่หัวมาจริงๆ ฉันจะรับผิดชอบเอง นายจะให้ฉันรับผิดชอบยังไงก็ว่ามาได้เลย จะเรียกเงินเรียกทองฉันจนหมดตัวฉันก็ไม่ว่า” โทซองท้าทาย ลึกๆ แล้วเขารู้ดีว่าชินซองจะต้องมาแน่ เพียงแต่จะมาแบบโผล่มาให้เห็นหรือว่ามาแบบไม่อยากจะให้ใครเห็นนั่นถือเป็นอีกเรื่อง
“ก็ได้ครับ แต่เหมือนจะยังติดปัญหาอยู่อีกเรื่อง ถ้าพี่ไม่รังเกียจ เอาไว้อีกสองอาทิตย์ผมจะกลับมาใหม่ก็แล้วกัน” ยองวอนตัดสินใจบอกออกไปตามตรง แต่โทซองที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับหัวเราะลั่น ก่อนจะต้องพยายามกลั้นขำเอาไว้เมื่อสังเกตเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของยองวอน
“โทษที ฉันแค่รู้สึกดีที่ได้เจอเด็กซื่อๆ แบบนายน่ะ แต่ถ้าหมายถึงเรื่องบัตรสมาชิกละก็ ไม่ต้องหรอก ตามมาสิ” โทซองพยายามกลั้นหัวเราะสุดกำลัง
คำว่าสองอาทิตย์ที่ยองวอนบอกทำให้โทซองรู้ได้ทันทีว่ายองวอนกำลังหนักใจเรื่องอะไร แต่ยังไม่ทันจะได้อธิบายให้ยองวอนเข้าใจ เขาก็กอดคอยองวอนแล้วพาเดินกลับไปที่ประตูทางเข้าอีกครั้ง
“สวัสดีครับคุณโทซอง”
คำทักทายพร้อมกับการทำความเคารพจากพนักงานทำให้ยองวอนเบิกตาโพลงในขณะที่โทซองระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกรอบ
“ฉันเป็นเจ้าของคลับนี้น่ะ อย่าไปบอกใครนะ” โทซองก้มลงไปกระซิบเบาๆ ข้างๆ หูยองวอน ก่อนจะพาเขาเดินเข้าไปด้านในโดยไม่ต้องเดินย้อนกลับไปเสียเวลาและเสียเงินสมัครเมมเบอร์อีกแล้ว
“สวัสดีครับคุณโทซอง”
“สวัสดีผู้จัดการ วันนี้ฉันจะขึ้นไปข้างบนเลย ถ้าเกิดว่าท่านประธานฮันโผล่หัวมา รบกวนผู้จัดการโทรขึ้นไปบอกฉันที”
“ได้ครับ ว่าแต่คุณโทซองจะรับอาหารหรือเครื่องดื่มมั้ยครับ ผมจะให้เด็กเอาขึ้นไปให้” ชายวัยกลางคนถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อม สายตาที่เขาลอบมองยองวอนทำให้ยองวอนรู้สึกเขินอายขึ้นมาจนต้องทำเป็นมองไปรอบๆ
ยองวอนพอจะเดาความหมายของสายตาคู่นั้นได้ดีว่าคนมองกำลังคิดอะไร เพราะจากท่าทีที่เขาถูกโทซองล็อกคอเอาไว้แน่นแบบนี้มันก็ชวนให้คิดไปได้แบบนั้นนั่นแหละ เพียงแต่การจะยกแขนของโทซองออกหรือว่าผละตัวออกไปในเวลานี้ ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ทางเลือกที่ควรทำสักเท่าไหร่ อีกอย่างยองวอนพอจะสัมผัสได้ว่าสายตาที่โทซองมองเขามันไม่ใช่สายตาที่เกิดจากอาการรักใคร่ชอบพอ แต่ดูเหมือนโทซองจะสนุกที่ได้เห็นว่าเขาดูเซ่อซ่าและทำอะไรโง่ๆ ต่างหาก
ปกติแล้วยองวอนก็ไม่ได้รู้สึกดีหรอกที่จะถูกใครมองว่าโง่ แต่ถ้าหากว่ามันจะทำให้เขาได้พบกับชินซองสักครั้ง มันก็ดีกว่าการกลับไปมือเปล่านี่นา
ตึกตักๆ
ก้อนเนื้อในอกของยองวอนเต้นแทบผิดจังหวะเมื่อได้กวาดสายตามองไปจนรอบ แสงไฟหลากสีสะท้อนวิบวับส่องไปมา สลับกับแสงสว่างที่สาดขึ้นไปบนเวทีที่เป็นทางเดินยาวทอดวนไปรอบร้าน เสียงเพลงที่จังหวะของเบสอัดแน่นๆ กระแทกตึบๆ เหมือนจะเป็นตัวกำหนดอัตราการเต้นของก้อนเนื้อในอกของยองวอนได้ในฉับพลัน และที่ทำให้เลือดในร่างกายของยองวอนสูบฉีดไปทั่วทั้งร่าง ความร้อนวิ่งขึ้นมารวมกันอยู่ที่ใบหน้าคงหนีไม่พ้นผู้ชายหน้าตาดี แถมยังมีรูปร่างสมส่วนและดูแข็งแรงแต่กลับอยู่ในสถาพเปลือยเปล่าล่อนจ้อนสองสามคนบนเวที
ทุกอย่างตรงนั้นดูน่าตื่นตาตื่นใจไปหมด
“ของขาดมานานเท่าไหร่แล้วล่ะนายถึงได้ดูหิวซะขนาดนั้น”
“เอ่อ คือ...” ยองวอนรีบหลุบสายตาลงต่ำ แม้จะไม่ได้นึกอย่างนั้นในทีแรก แต่ก็ยากจะปฏิเสธว่าหลังจากที่ถูกทุกอย่างในนี้ล่อลวงให้เริ่มลุ่มหลง มันก็มีแวบหนึ่งที่แอบคิด
“เอาเป็นว่าถ้านายอยากจะได้อะไรก็บอกแล้วกัน ฉันบอกแล้วไงว่าจะเลี้ยง”
“ผมต้องการพบพี่ชินซองครับ” ยองวอนยืนกรานเสียงแข็งทั้งที่ยังก้มหน้า
โทซองได้แต่ยิ้มมุมปากก่อนจะพยักพเยิดหน้าเพียงเบาๆ เพื่อไล่ผู้จัดการร้านออกไป เดิมทีเขาคิดจะถามยองวอนสักหน่อยว่าอยากจะกินหรือดื่มอะไรรึเปล่า แต่ท่าทางว่าคงจะไม่ได้คำตอบ เพราะอีกฝ่ายดูมุ่งมั่นกับการรอคอยเพื่อให้ได้พบชินซองเพียงคนเดียวเท่านั้นจริงๆ
“นี่ยองวอนน้อย ฉันจะไม่อ้อมค้อมละนะ ขอถามจริงๆ เลยว่านายมีเรื่องอะไรถึงได้ต้องการจะพบชินซองทั้งที่นายเองก็รู้ว่าเขาไม่อยากจะพบนาย” โทซองอดที่จะถามไม่ได้ เขากำลังพายองวอนขึ้นไปที่ห้องรับรองซึ่งอยู่ที่ชั้นสามของร้าน นั่นคือห้องทำงานของเขา
“ขออนุญาตไม่ตอบครับ”
อย่างน้อยก็มีคำว่าขออนุญาตที่ทำให้โทซองรู้ว่ายองวอนคงมีความจำเป็นจริงๆ และเรื่องนั้นคงจะเป็นความลับที่ต้องการจะพูดกับชินซองแค่สองคนเท่านั้น
“งั้นก็ตามใจ เอาเป็นว่าเรามารอลุ้นก็แล้วกันว่าเจ้านั่นจะโผล่หัวมารึเปล่า ระหว่างรอถ้านายอยากจะได้อะไรก็บอกได้เลย อาหาร เครื่องดื่ม หรือจะเป็นอะไรที่ทำให้นายรู้สึกว่าอยาก...ได้ ฉันจะจัดหามาให้” โทซองยังไม่วายจะทิ้งท้ายด้วยการสร้างความปั่นป่วนในอกให้กับยองวอน พูดจบเขาก็ผละตัวออกไปเพื่อปล่อยให้ยองวอนได้นั่งพักสบายๆ อยู่ที่โซฟา ส่วนตัวเขาก็เดินมานั่งลงที่เก้าอี้นวมตัวใหญ่ ยกขาขึ้นพาดยาวๆ ไปบนโต๊ะก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นแก้เซ็ง
“คุณ เอ่อ...”
“นายเรียกฉันว่าพี่โทซองก็ได้ ฉันอนุญาต” โทซองแนะนำตัวพร้อมกับยกมุมปากยิ้มก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะแล้วเดินมานั่งที่โซฟาใกล้ๆ กันกับที่ปล่อยให้ยองวอนนั่งเล่นคนเดียวมาสักพัก
“นายกับชินซองรู้จักกันได้ยังไง” โทซองเริ่มยิงคำถาม เขาแค่อยากจะชวนยองวอนคุยเพราะไม่อยากให้ยองวอนเอาแต่ใจจดใจจ่ออยู่กับการรอคอยเพียงอย่างเดียว เพราะการทำแบบนั้นมันจะทำให้เรารู้สึกว่าเวลาเดินช้ากว่าปกติ
“ผม...”
“โอเค ไม่ต้องตอบก็ได้ ดูเหมือนเรื่องระหว่างนายกับชินซองจะเป็นความลับซะเหลือเกิน” โทซองปิดคำถามของตัวเองด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“จริงๆ มันก็ไม่ใช่ความลับหรอกครับ เพียงแต่ผมไม่รู้จะเริ่มยังไง เรื่องมัน...นานมาแล้ว” ยองวอนรีบอธิบายเพราะจับความขุ่นมัวในน้ำเสียงของโทซองได้ดี เขารู้สึกได้ว่าโทซองพยายามจะหยิบยื่นสัมพันธไมตรีที่ดีมาให้ เพียงแต่ยองวอนแค่ไม่รู้ว่าสมควรที่จะรับมันเอาไว้ดีรึเปล่า ยิ่งเป็นการคุยกันเรื่องของเขากับชินซองด้วยแล้ว เขายิ่งไม่แน่ใจว่าควรพูด
“งั้นเอาเป็นฉันให้นายถามฉันก็แล้วกัน นายอยากรู้อะไรเกี่ยวกับชินซองมั้ยล่ะ ฉันจะเล่าให้ฟัง” โทซองเปิดโอกาส
แม้จะคิดว่ายองวอนอาจจะไม่กล้าถามออกมาตรงๆ แต่อย่างน้อยการได้พูดอะไรออกมาบ้างก็อาจทำให้ยองวอนรู้สึกดีขึ้นก็ได้ นับตั้งแต่เจอกันเมื่อช่วงเช้าจนกระทั่งตอนนี้ โทซองยังมองเห็นแต่ความกังวลในสายตาของยองวอนตลอดเวลา ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ เอาแต่จะรอพูดกับชินซองเพียงคนเดียว
“พี่โทซองรู้จักกับพี่ชินซองมานานรึยังครับ” ยองวอนเริ่มถาม น้ำเสียงดูสบายๆ ขึ้นจากเดิม ทำให้โทซองเริ่มสบายใจขึ้นมาได้บ้างนิดหน่อย
“เกือบๆ เก้าปี ฉันเจอชินซองครั้งแรกที่โซลตอนเรียนหลักสูตรผู้บริหาร ช่วงนั้นน่าจะเป็นช่วงที่นายเพิ่งจะทิ้งเขาไปใหม่ๆ น่ะ” โทซองตอบอย่างตรงไปตรงมา คำตอบของโทซองเปรียบเสมือนมีดที่ปักทะลุลงกลางอกของยองวอนอีกครั้ง เขาได้แต่นั่งก้มหน้าและไม่มีคำอธิบายใดๆ จะแก้ตัว
ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง เก้าปีก่อนยองวอนเลือกจะเป็นฝ่ายเดินออกมาจากชีวิตของชินซอง มันเป็นการจากลาที่เจ็บปวด และไม่มีแม้แต่คำร่ำลา ไม่มีคำพูดสุดท้ายก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างหายออกไปจากชีวิตกันและกัน
“แล้วพี่รู้เรื่องที่พี่ชินซองเขา...”
“เขาอะไร” โทซองแสร้งถามอย่างไม่รู้ ทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอก
“ไม่มีอะไรครับ”
“ความลับนายนี่มันเยอะจริงๆ นะยองวอน คุยกับนายแล้วฉันอึดอัดเป็นบ้า รู้สึกเหมือนตอนอยู่กับชินซองไม่มีผิด” โทซองอดไม่ได้ที่จะบ่นอย่างหัวเสีย ท่าทีของเขายิ่งทำให้ยองวอนก้มหน้าต่ำราวกับอยากจะมุดลงไปซ่อนตัวที่พรมด้านล่าง
“เฮ้อ จะบอกให้ก็ได้ว่าฉันรู้ทุกเรื่องของชินซองนั่นแหละ แม้กระทั่งเรื่องที่หมอนั่นเป็นแวมไพร์ฉันก็รู้ และเพราะรู้ ฉันถึงได้เลือกจะเปิดบาร์โฮสต์นี่ยังไงล่ะ”
คำบอกเล่าจากโทซองทำให้ยองวอนเบิกตาโพลงขึ้นมาในฉับพลัน
“นายไม่มีทางรู้หรอกว่ารอบกายของนายมีแวมไพร์อยู่มากเท่าไหร่ยองวอน”
“แปลว่าพี่ก็...”
“เปล่า ฉันไม่ได้เป็นแวมไพร์ และขอยืนยันตรงนี้เลยว่าฉันเป็นมนุษย์เหมือนกับนายนั่นแหละ เพียงแต่ฉันอาจจะพิเศษกว่านายก็ตรงที่ฉันคลุกคลีอยู่กับแวมไพร์มามากกว่านาย ก็เลยพอจะแยกแยะได้บ้างว่ารอบกายฉัน คนไหนเป็นมนุษย์ หรือคนไหนเป็นแวมไพร์” โทซองอธิบาย
“พี่จะบอกว่าแวมไพร์หาได้ทั่วไปงั้นเหรอครับ” ยองวอนถามอย่างนึกสงสัย สีหน้าและท่าทีดูกระตือรือร้นเพราะความใคร่รู้ สำหรับยองวอนแล้ว มีเพียงชินซองเท่านั้นที่เป็นแวมไพร์ที่เขารู้จัก
“ไม่ทั่วไปหรอก แต่ก็ไม่ได้หายากหรือเฉียดใกล้คำว่าสูญพันธุ์แบบที่หลายคนเข้าใจ แวมไพร์ก็มีระบบสืบพันธุ์เหมือนมนุษย์นี่ ยกเว้นบนโลกจะเหลือแวมไพร์ที่ชื่อชินซองเพียงตัวเดียวแบบที่นายเข้าใจ เพราะหมอนั่นมันไม่คิดจะสืบพันธุ์กับผู้หญิงคนไหน เรื่องสูญพันธุ์ถึงจะมีความเป็นไปได้น่ะนะ” โทซองพูดติดตลก แต่สำหรับยองวอน มันคือตลกร้ายดีๆ นี่เอง
“ฉันว่าเราเปลี่ยนเรื่องกันดีกว่า ท่าทางนายจะไม่ชอบให้ฉันพูดถึงเรื่องนั้นเท่าไหร่ แม้จะพอดูออกว่านั่นอาจเป็นเหตุผลให้นายบากหน้ากลับมาหาชินซองก็ตามที” โทซองตั้งใจเปลี่ยนประเด็นอย่างรวดเร็ว แม้จะทิ้งท้ายด้วยการโยนหินถามทางซึ่งก็เหมือนจะเดาถูกตั้งแต่แรก
“นายชอบเที่ยวกลางคืนรึเปล่า”
“ไม่ครับ ผมไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ดื่มเหล้า แล้วก็ไม่สูบบุหรี่”
“โอ้โห ตรงกันข้ามกับชินซองทุกอย่างเลยแฮะ”
นี่คงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ยองวอนเองก็เพิ่งจะทราบ ก่อนหน้านี้เขารู้ว่าชินซองดื่มบ้าง แต่เรื่องบุหรี่ไม่ทราบมาก่อนจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ เก้าปีแล้วนี่นา ก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากตอนที่เขาเคยรู้จัก
“พี่ชินซองเขามาที่นี่บ่อยรึเปล่าครับ”
เป็นคำถามที่ทำให้โทซองยิ้มมุมปาก
“อาทิตย์ละสองถึงสามครั้งน่ะ มีโฮสต์ประจำอยู่สองสามคน นายสนใจอยากเจอมั้ยล่ะ”
“ไม่ครับ ผม...แค่ถามเฉยๆ” ยองวอนตอบตะกุกตะกัก ก้อนเนื้อในอกบีบรัดตัวแน่น และคลายออกได้ช้ากว่าปกติทำให้ยองวอนรู้สึกเหมือนจะหายใจติดขัดไปชั่วขณะ
“เอ่อ ผมขอถามอีกนิดครับ” ยองวอนลอบกลืนน้ำลาย อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าลำคอแห้งผากขึ้นมากะทันหัน
“ว่ามาสิ”
“โฮสต์ของพี่ชินซองเขารู้เรื่องที่พี่ชินซองเป็นแวมไพร์มั้ยครับ” ยองวอนรวบรวมความกล้าแล้วถามออกไป โทซองช้อนตามองแล้วนิ่งไปสักพัก ก่อนจะตอบตรงๆ อย่างไม่คิดจะปิดบัง
“รู้”
หัวใจของยองวอนบีบตัวแน่นขึ้นอีกรอบ เส้นเลือดที่บริเวณขมับเต้นตุบๆ จนเขาต้องนิ่วหน้า
“แต่ไม่ใครกล้าปากสว่างหรอก ชินซองยอมจ่ายเงินก้อนโตให้คนพวกนั้น ซึ่งสำหรับฉันแล้วฉันว่าบางทีเรื่องเงินอาจไม่ดึงดูดใจเท่าเสน่ห์ของชินซองด้วยซ้ำ นายว่ามั้ยล่ะยองวอน” โทซองทิ้งท้ายด้วยคำถามปลายเปิดที่ทำให้ยองวอนต้องก้มหน้าแล้วยิ้มขื่นกับตัวเองอีกครั้ง
“เรื่องนั้นผมไม่ทราบหรอกครับ”
“อีกไม่นานนายก็ทราบ” โทซองยังไม่วายจะเย้าแหย่ พูดจบก็ลุกขึ้นเดินย้อนกลับมาที่โต๊ะทำงานเพราะโทรศัพท์มือถือที่เขาวางทิ้งไว้เมื่อครู่ดังขึ้นพอดี
Rrrr~
“ว่าไงผู้จัดการ” โทซองกรอกเสียงไปตามสายหลังจากที่กดรับ และคำตอบจากปลายสายก็ทำให้เขากระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะจ้องมองกลับไปที่ยองวอนอย่างเปิดเผย
“ขอบคุณมาก”
บทสนทนาสั้นๆ ระหว่างโทซองกับผู้จัดการร้านทำให้ก้อนเนื้อในอกของยองวอนเต้นถี่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่าทางที่โทซองเดินย้อนกลับมาทางเขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินเลยไปแหวกม่านบังแสงออกเป็นช่องว่างเล็กๆ แล้วมองออกไปด้านนอกทำให้ยองวอนรู้สึกว่ามีเม็ดเหงื่อผุดซึมขึ้นมาตามโคนผมเต็มไปหมด
“ฉันบอกแล้วว่าหมอนั่นจะมา” โทซองบอกยิ้มๆ ก่อนจะหลบฉากให้ยองวอนมองออกไปด้านนอกเหมือนกับที่เขาเองก็เพิ่งจะมองออกไปเมื่อครู่
สายตาของยองวอนสงบนิ่งไปในทันทีที่ได้เห็นชินซองอีกครั้ง ร่างสูงของท่านประธานฮันชินซองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวสูงด้านหน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งถึงแม้ภาพที่ได้เห็นจะเป็นเพียงแค่แผ่นหลังกว้างของอีกฝ่าย แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ยองวอนรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว
โทซองจ้องมองท่าทีของยองวอนที่ยังคงเอาแต่จ้องมองชินซองอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน สายตาของยองวอนในตอนนี้เหมือนกันกับสายตาของชินซองที่แอบมองยองวอนผ่านภาพจากกล้องวงจรปิดเมื่อเช้านี้ไม่มีผิด
มันเหมือนสายตาของคนที่กำลังตกหลุมรักกัน...อีกครั้ง
พึ่บ!
ปลายนิ้วเรียวยาวของโทซองปล่อยออกจากม่านกั้นแสงจนมันปิดเข้าหากันอีกครั้ง เสียงของมันทำให้ยองวอนสะดุ้งเบาๆ ก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาหลบสายตาของโทซองในทันที
“ฉันว่าเขารอนายอยู่นะ” โทซองทำเหมือนไม่เห็นทั้งที่รู้สึกเอ็นดูยองวอนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ยังคงสามารถยืนหนึ่งอยู่ในหัวใจของฮันชินซองมาตลอด แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่กลับไม่เคยเลือนหายไปจากความรู้สึก บางทีการกลับมาพบกันอีกครั้งของทั้งคู่ อาจเป็นสิ่งที่เราเรียกกันว่าพรหมลิขิต
“คือผม...”
“ไปเถอะ ชินซองไม่ใช่คนใจร้ายหรอก แต่มันอาจมีเงื่อนไขนิดหน่อยตรงที่ก่อนหน้านี้นายเองดันไปใจร้ายกับเขาก่อน”
“ผมทราบครับ”
คำเตือนจากโทซองทำให้ยองวอนยิ้มขื่น ก่อนหน้านี้เขาเองก็เตรียมใจยอมรับเรื่องทั้งหมดเอาไว้แล้วว่าถ้าหากชินซองจะโกรธและไม่ยอมช่วยเหลือเขา เขาก็พร้อมจะยอมรับมันและไม่คิดจะโกรธหรือโทษว่าเป็นความใจดำของชินซองเลย จริงอย่างที่โทซองบอกนั่นแหละ ก่อนหน้านี้เป็นเขาเองที่ทำแบบนั้นกับชินซองก่อน
“ผมขอบคุณมากนะครับพี่โทซอง ไม่แน่ใจว่าผมจะได้มีโอกาสกลับมาที่นี่อีกรึเปล่า ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ยองวอนลุกขึ้นยืนพลางก้มหัวให้โทซองที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างนอบน้อม ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับออกไปทั้งที่หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
“เดี๋ยวยองวอน”
“ครับพี่”
“ฉันเอาใจช่วยนายอยู่นะ” โทซองบอกยิ้มๆ
ยองวอนยิ้มตอบกลายๆ ก่อนจะกลับหลังหันแล้วเดินจากไปเงียบๆ น่าแปลกที่ยองวอนตั้งใจมาเพื่อพบกับชินซองตั้งแต่แรก แต่บทจะได้พบกันจริงๆ ความรู้สึกขี้ขลาดกลับพุ่งชนยองวอนเข้าอย่างจัง
ยองวอนเดินลงบันไดมาเรื่อยๆ ระหว่างทางก็แอบลอบมองไปที่ชินซองที่ยังคงนั่งอยู่ที่ด้านหน้าเคาน์เตอร์บาร์อยู่เป็นระยะๆ ปีศาจร้ายในใจของยองวอนนึกอยากจะให้อีกฝ่ายหายตัวไปก่อนสักครู่หนึ่ง เผื่อจะช่วยต่อระยะเวลาให้เขาได้ทำใจเพิ่มอีกสักนิด ก่อนได้พูดคุยกันอย่างจริงจัง แต่เทวดาในความคิดกลับแย้งเสียงดังว่าไม่มีเวลาให้ทำใจอีกแล้ว
ฟู่~
แล้วยองวอนก็พาตัวเองเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ตัวสูงได้สำเร็จ เขานั่งอยู่ข้างชินซองแล้ว และก็รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายรู้ตัวแล้วว่าเขามา
“สวัสดีครับพี่ชินซอง”
คำทักทายง่ายๆ เพียงไม่กี่คำถูกเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก ยองวอนรู้สึกเหมือนลำคอของเขาแห้งผากขึ้นมากะทันหัน ชั่วโมงนี้เพียงแค่การเปล่งเสียงออกไปกลับทำได้ยากเหลือเกิน
บรรยากาศรอบกายยังคงครึกครื้น แต่ทว่ายองวอนกลับสัมผัสได้แต่ความเย็นราวกับว่ามันแผ่ซ่านออกมาจากร่างของชินซองที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ ไม่แม้แต่จะทักทายเขากลับมาด้วยซ้ำ ไม่สิ เขาไม่หันมามองเลยต่างหาก
“คือว่าผม...”
“ต้องการอะไร”
คำถามที่ถูกถามกลับมาสั้นๆ บาดลึกลงในหัวใจของยองวอนจนเขารู้สึกเจ็บปวด แต่นั่นคงไม่เท่ากับความรู้สึกของคนที่เป็นคนเอ่ยถามมันออกมา
การกลับมาของยองวอน ไม่ต่างจากการเหยียบซ้ำที่รอยแผลเดิมที่เคยทำให้ชินซองเจ็บปวดเจียนตายมาแล้วเมื่อเก้าปีก่อน
“คือผม...”
“พูดมาตรงๆ ถ้าให้ได้ฉันจะให้ ได้แล้วจะได้รีบไสหัวออกไปจากชีวิตของฉันซะ”
ไร้เยื่อใย…
ยองวอนเม้มริมฝีปากแน่น แม้ใจหนึ่งจะคิดว่านี่คือคำตอบที่เขาต้องการ เพราะความหมายของชินซองก็คือยินดีจะช่วย แต่อีกใจหนึ่งยองวอนกลับรู้สึกปวดแปลบในอกที่ได้รู้ว่าความช่วยเหลือของชินซอง คือการทำเพื่อตัดปัญหา และปัญหาก็คือการกลับมาของเขาที่คงจะทำให้ชินซองหงุดหงิดรำคาญใจมากทีเดียว
“พี่ก็ยังตรงไปตรงมาเหมือนเดิมเลยนะ”
“ไม่มีอะไรเหมือนเดิมหรอก” ชินซองบอกเสียงเรียบก่อนจะหันกลับมามองยองวอนเป็นครั้งแรก นัยน์ตาสีเข้มมีประกายแดงนิดๆ ทำให้ยองวอนสั่นสะท้านไปทั้งตัวทั้งที่ชินซองยังไม่ได้ขยับเข้าใกล้เขาเลยสักนิด
“จะพูดได้รึยังว่าต้องการอะไร เงินเหรอ เท่าไหร่ล่ะ”
การพูดแล้วจ้องตากันแบบนี้ยิ่งทำให้ยองวอนสั่นไปหมด
ชินซองรับรู้ถึงความประหม่าและตื่นกลัวของยองวอนได้ดี เขาได้ยินแม้กระทั่งเสียงของเลือดที่ไหลวนอยู่ในร่างกายของยองวอนด้วยซ้ำ และเสียงของมันก็กำลังทำให้ลำคอของเขาแห้งผากจนต้องฝืนกลืนน้ำลาย
“ผมไม่ได้ต้องการเงินครับ”
“แล้วอยากได้อะไร” ชินซองถามย้ำอีกครั้ง
ยองวอนพยายามปรับลมหายใจของตัวเองหลายครั้ง แต่ว่ามันก็ยังทำได้ยากเหลือเกิน สิ่งเดียวที่จะทำให้เขาสามารถรวบรวมสมาธิไม่ให้หวั่นไหวจนเกินไปได้ในเวลานี้ก็คือ...ใบหน้าของยองแอ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอที่เขาหวังว่าจะได้มีโอกาสเห็นมันอีกครั้ง
“ผมต้องการเป็นของพี่...อย่างลึกซึ้ง”