EP 02
การกลับมา
S.H.I.N. Town
“ฉัน เอ่อ ผมมาหา...พี่ชินซองน่ะครับ”
การอ่อนน้อมเป็นตัวเลือกที่ดีในการเริ่มบทสนทนากับคนแปลกหน้า ยองวอนเตือนตัวเองแบบนั้นแล้วพยายามยิ้มเป็นมิตร
“เขาไม่อยู่หรอก เพิ่งออกไปเมื่อชั่วโมงก่อนน่ะ”
บางทียองวอนน่าจะรู้ว่าการพบตัวผู้บริหารระดับสูงอย่างนั้นไม่น่าจะใช่เรื่องที่ใครก็ทำกันได้ง่ายๆ
“นายไม่ได้นัดเขาไว้งั้นเหรอ ก่อนออกไปเขาไม่เห็นบอกอะไรไว้” ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านในยังคงเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ ยองวอนได้แต่จ้องมองใบหน้าของชายคนนั้นด้วยความลังเล เขาไม่ได้อยากจะบอก แต่อีกใจก็ไม่อยากจะกลับไปมือเปล่า เรื่องที่เขาแบกมาด้วยมันหนักหนาสาหัสและไม่มีเวลาให้อ้อมค้อมมากนัก
“ผมไม่ได้นัดครับ พอดีเป็นเรื่องด่วนมากจริงๆ”
“นายชื่ออะไรล่ะ ฉันจะโทรบอกเขาให้ ไม่สิ นั่นนายถือนามบัตรเขาอยู่ ทำไมนายไม่ลองโทรหาเขาดูล่ะ”
คำถามนั้นแสดงออกถึงความมีน้ำใจ หรือไม่ก็คงกำลังต้อนให้เขาจนมุม ยองวอนแยกแยะไม่ออก
“คุณพอจะบอกผมได้มั้ยครับว่าผมจะตามหาพี่ชินซองได้ที่ไหน” ยองวอนตั้งใจจะไม่ตอบเพื่อยุติคำถามที่กำลังทำให้เขารู้สึกอึดอัด ลำพังแค่มาแล้วไม่เจอก็ทำให้เขาผิดหวังเหมือนจะล้มทั้งยืนแล้ว การต้องมายืนตอบคำถามคนแปลกหน้าที่เขารู้สึกไม่ชอบใจด้วยยิ่งทำให้เขาหายใจได้ลำบาก
“ก็พอจะรู้ แต่ฉันบอกนายสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หรอกนะ เอาแบบนี้มั้ยล่ะ ถ้านายไม่อยากโทรหาเขาก็เข้ามารอข้างในก่อน ท่าทางนายจะมีเรื่องร้อนใจน่าดู แล้วเดี๋ยวฉันจะโทรหาเขาให้เอง จะถามให้ว่าเขาจะกลับมาหรือให้นายไปรอพบเขาที่ไหน”
ตัวเลือกที่ได้รับก็ถือว่าไม่เลว แต่ยองวอนกลับไม่กล้าคาดหวังว่าอีกฝ่ายเต็มใจอยากจะพบเขา หรือซ้ำร้ายการบอกล่วงหน้าแบบนั้นอาจจะทำให้อีกฝ่ายหาทางหลบหน้าเขาก็เป็นไปได้
“งั้นไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ” ยองวอนยิ้มขื่น กว่าจะทำใจให้กล้ามาที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พอมาแล้วสิ่งที่ได้กลับไปคือความผิดหวัง มันก็ทำให้เขานึกสมเพชตัวเองอยู่ลึกๆ
“เดี๋ยวสิ” เสียงเรียกจากใครคนนั้นทำให้ยองวอนชะงักฝีเท้าพลางกลับหลังหันไปมอง
“นายยังไม่ได้บอกฉันเลยนะว่านายชื่ออะไร”
นั่นคือสิ่งที่ยองวอนตั้งใจจะไม่ตอบตั้งแต่แรกแล้วยังไงล่ะ
“ชื่อของผมมันไม่สำคัญหรอกครับ ยินดีที่ได้พบนะครับ ผมขอตัวก่อน”
“หยิ่งชะมัด ฉันว่านายคงไม่ได้มีเรื่องด่วนแบบที่พูดหรอก ไม่งั้นนายคงไม่ยอมกลับไปง่ายๆ แบบนั้น” น้ำเสียงเย้ยๆ ที่ได้ยินทำให้สองขาของยองวอนสั่นไปหมด “เอาแบบนี้มั้ยล่ะ ถ้านายยอมบอกชื่อฉัน ฉันจะยอมบอกว่านายจะไปหาชินซองได้ที่ไหน แต่นายต้องรับปากนะว่าห้ามบอกคนอื่น ฉันกำลังทำอะไรโดยพลการอยู่”
แหงสิ เมื่อครู่นี้ยังพูดเองอยู่เลยว่าบอกสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แต่อยู่ๆ ก็ดันจะยอมบอกซะเฉยๆ
“คุณอยากรู้ชื่อผมไปทำไม”
“ฉันก็แค่อยากรู้ไม่ได้รึไงล่ะ แต่ถ้านายไม่บอกก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ อ้อ อีกอย่างที่ฉันอยากจะเตือนนะ การที่นายขึ้นมาที่นี่ทั้งที่ไม่ได้รับอนุญาตน่ะ มันผิดกฎหมาย ฉันสามารถแจ้งตำรวจจับนายได้นะรู้ตัวรึเปล่า”
ใจหายวาบ แต่ก็ใช่ว่ายองวอนจะไม่รู้เรื่องนั้นเสียเมื่อไหร่ เขาเพียงแต่ไม่คาดคิดว่าจะเจอคนอื่นที่นี่ก็เท่านั้นเอง สิ่งที่ยองวอนเตรียมตัวรับมือมาก็คือความกดดันเวลาเจอเจ้าของที่นี่ต่างหาก ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีเรื่องการถูกจับอยู่ในหัวเลยสักนิดเดียว
“ผมชื่อยองวอน คิมยองวอน” ยองวอนตัดสินใจแนะนำตัว บางทีก็คงจริงอย่างที่ผู้ชายคนนั้นพูด เขามีเรื่องด่วนที่ต้องการความช่วยเหลือ จะมามัวเย่อหยิ่งไม่ได้อีกแล้ว
พูดจบยองวอนก็มองหน้าผู้ชายคนนั้นอีกครั้งด้วยความหวัง ชายคนนั้นยิ้มมุมปาก สายตาดูเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจ
“Vamp club”
“ว่าไงนะครับ”
“คืนนี้ชินซองจะอยู่ที่นั่น เขาน่าจะไปถึงตอนสามทุ่มน่ะ”
รายละเอียดที่ได้ยินทำให้ความหวังที่เกือบดับมอดลงไปของยองวอนโชยแสงขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอบคุณครับ...คุณ...”
“ชื่อของฉันมันไม่สำคัญหรอก ยินดีที่ได้พบนะครับคุณคิมยองวอน ขอตัวก่อน”
แกร๊ก!
บานประตูแห่งความหวังของยองวอนถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว แต่อย่างน้อยมันก็ยังไม่ได้ถูกปิดตายซะทีเดียว เอาเป็นว่าคืนนี้สามทุ่มเขาจะต้องไปดักรอชินซองที่ Vamp club ให้ได้ แม้ตอนนี้จะยังไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนก็ตาม
“สนุกพอรึยัง”
ฮันชินซองเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดันพลางมองคู่สนทนาด้วยสายตาเย็นชาทันทีที่บานประตูห้องของเขาถูกปิดลง
‘ฮันชินซอง’ หรือเขาคือ ประธานกรรมการบริหาร ของ S.H.I.N. construction Co.,Ltd. นั่งไขว่ห้างเอนหลังพิงเก้าอี้นวมในท่าทีสบายๆ อยู่ที่ด้านหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ สายตาคมปลาบจับจ้องไปที่ร่างสูงของ ‘ลีโทซอง’ เพื่อนสนิทจอมวุ่นวายที่มาขอพักอาศัยด้วยชั่วคราว ซึ่งเขาไม่ได้อยากจะอนุญาตหรอก เพียงแต่ไล่เท่าไหร่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมไปเท่านั้นเอง
“อะไรกัน ฉันรู้สึกเหมือนเพิ่งจะได้เริ่มเกมเองนะ” โทซองว่าพลางยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินฮัมเพลงไปทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟา
“ทำไมเมื่อกี้นายไม่เดินออกไปเปิดประตู ท่าทางเด็กนั่นจะมีเรื่องอยากคุยกับนายจริงๆ นะ สีหน้าไม่ดีเท่าไหร่ ดูผิดหวังเชียวตอนที่ฉันบอกว่านายไม่อยู่น่ะ”
“แล้วฉันใช้ให้นายเดินไปเปิดรึไง ที่ถามนี่เพราะนายกำลังรู้สึกผิดเพราะความแส่ของตัวเองใช่มั้ยโทซอง”
“ก็คงงั้น” โทซองยอมรับอย่างไม่แคร์ เหตุผลที่เขาตัดสินใจลุกไปเปิดประตูแทนเจ้าของห้องก็เพราะเขาคิดว่าเขาจำหน้ายองวอนได้น่ะสิ
ก่อนหน้านี้ทั้งชินซองและโทซองต่างก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนมีคนมา โทซองที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่จึงถือวิสาสะเลื่อนเปลี่ยนช่องเพื่อเปิดดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่บริเวณหน้าประตูห้อง นั่นทำให้เขาเห็นว่ามีเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่ที่หน้าประตู
โทซองรู้สึกว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มคุ้นตา และทบทวนดูไม่นานเขาก็มั่นใจว่าเป็นคนคนเดียวกันกับที่อยู่ในภาพถ่ายที่เขาเคยเห็นว่ามันอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของชินซอง มิหนำซ้ำตอนที่เขานึกออกและลอบมองไปที่ชินซอง เขาก็พบว่าสายตาของชินซองเองก็มองเด็กหนุ่มนั่นอย่างไม่วางตาด้วยเหมือนกัน โทซองพอจะดูออกว่าการมาของเด็กคนนั้นทำให้เพื่อนของเขาตกอยู่ในภวังค์อยู่นานมากทีเดียว
“นายจะไปเมื่อไหร่”
“โอ้โห แค่ฉันถือวิสาสะมีน้ำใจเดินไปเปิดประตูให้ยองวอนน้อย นายถึงกับต้องรีบไล่ฉันกลับเชียวเหรอท่านประธาน”
“อย่ามาไร้สาระ อีกอย่างใครใช้ให้นายโกหก คืนนี้ฉันไม่ได้จะไปที่คลับ”
“นายไปแน่ ฉันรู้”
“ไม่” น้ำเสียงหนักแน่นของชินซองทำให้โทซองยิ้มกว้าง และค่อนข้างมั่นใจว่าต่อให้อีกฝ่ายจะตะโกนใส่หน้าเขาเสียงดังกว่านี้ มันก็เป็นคำพูดที่โกหก
“โอเค ไม่ก็ไม่ งั้นฉันจะไปดักรอยองวอนน้อยเองก็แล้วกัน ฉันอยากจะรู้ว่าเรื่องด่วนที่ยองวอนน้อยพูดถึงมันเรื่องอะไรน่ะ”
“แล้วมันใช่เรื่องของนายรึไง”
“ผมก็เพิ่งจะบอกท่านประธานไปเมื่อครู่นี้ไงครับว่าผมกำลังรู้สึกผิดเพราะความแส่ของตัวเอง เพราะงั้นถ้าผมจะแส่เพิ่มอีกหน่อยเพราะไม่อยากรู้สึกผิดอยู่แบบนี้ก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาอะไร เผื่อรู้แล้วจะช่วยอะไรได้น่า อีกอย่างก็คงไม่เกี่ยวกับท่านประธานหรอกมั้ง...ครับ” โทซองยียวนก่อนจะทำทีเป็นกดรีโมตเลื่อนไปที่ช่องรับสัญญาณจากกล้องวงจรปิดของตัวตึก
ยองวอนเดินออกไปถึงหน้าตึกแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคนด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก
พึ่บ!
แล้วภาพหน้าจอก็ดับลงเมื่อเจ้าของห้องถึงขั้นลุกขึ้นมาดึงปลั๊กออก ก่อนจะเหวี่ยงมันลงที่พื้นแล้วเดินกลับไปนั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิม สีหน้าไม่ยินดียินร้ายอะไรและไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
“อะไรวะ แค่นี้นายก็อารมณ์เสียแล้วเหรอ ทำไมเกมง่ายจังวุ้ย”
“ถ้านายยังไม่เลิกวุ่นวาย ฉันจะให้คนมาเก็บข้าวของนายแล้วโยนออกไปซะให้มันพ้นๆ” น้ำเสียงหงุดหงิดของชินซองทำให้โทซองหัวเราะเสียงดังพลางโน้มตัวลงไปนอนตัวงอเอามือกุมท้อง
“ขำบ้าอะไรของนายโทซอง”
“ก็มันขำ ตั้งแต่ที่ฉันรู้จักนายมา ฉันยังไม่เคยเห็นนายหัวร้อนหรือเสียอาการง่ายแบบนี้มาก่อนเลยนะชินซอง เด็กนั่นมีอิทธิพลกับนายมากขนาดนี้เลยงั้นเหรอ ฉันว่าฉันชักจะอยากรู้จักยองวอนน้อยมากขึ้นซะแล้วสิ”
มีอิทธิพลงั้นเหรอ ก็คงใช่นั่นแหละ เพียงแต่มันขึ้นอยู่กับว่ามีอิทธิพลเชิงบวกหรือเชิงลบเท่านั้นเอง
ก๊อกๆ
โทซองเดินมาจวนจะถึงตัว เขาเคาะนิ้วลงบนโต๊ะดึงสติของชินซองที่นั่งเหม่ออยู่สองสามครั้งก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะทำงานของชินซองออกแล้วนั่งลง สายตามองไปยังผู้ชายที่ปกติจะมาดขรึมตลอดเวลา ซึ่งถึงตอนนี้ท่าทางของเขาจะยังคงนิ่งอยู่ แต่สายตากลับไม่นิ่งเหมือนสายน้ำดังเดิม มันดูวูบไหวผิดปกติ
“นี่ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ถามจริงว่านายไม่อยากรู้เหรอว่ายองวอนน้อยมาหานายทำไม”
คำถามจากโทซองเรียกสายตาค้อนขวับจากชินซองได้ในทันที แต่คนอย่างโทซองไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอยู่แล้ว สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงความคิดที่แสนจะอ่านยากของคนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ตรงหน้านี่ต่างหาก
“ฉันมีเรื่องอื่นให้ต้องสนใจเยอะแยะโทซอง”
“ไม่เอาน่า ฉันดูออกว่านายเองก็อยากจะเจอเด็กนั่น”
“มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องอยากเจอคนที่ตายไปจากชีวิตของฉันแล้วโทซอง ถ้านายคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุก ก็ขอให้นายรู้เอาไว้ว่าฉันไม่สนุกด้วย ลุกออกไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน” น้ำเสียงเข้มๆ ของชินซองทำให้โทซองได้แต่เบ้ปากก่อนจะยอมจำนนลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยดี ขืนเซ้าซี้มากกว่านี้เขาต้องถูกไล่ตะเพิดออกไปจากที่นี่แน่ๆ นั่นอาจทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก
ใครจะอยากกลับไปอยู่บ้านให้แม่จับแต่งงานกับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้กันล่ะ!
“เฮ้อ งั้นก็ตามใจ ฉันไปอาบน้ำดีกว่า ว่าแต่เมื่อกี้นี้นายจำได้มั้ยว่าฉันบอกยองวอนน้อยว่ากี่โมง สองทุ่ม สองทุ่มครึ่ง หรือว่าสามทุ่ม นี่ฉันถามเฉยๆ นะ ไม่ได้ย้ำอะไรเลย”
“ฉันจะโทรบอกคุณนายลีว่านายอยู่ที่นี่ ให้ส่งคนมารับกลับไปสักที”
“โอเค ฉันยอม อย่าโทรนะท่านประธาน ผมขอร้อง”
ต้องให้ขู่ทุกทีสิน่า!
“ฮัลโหลผู้จัดการ คืนนี้ผมจะเข้าไปที่คลับประมาณสองทุ่มครึ่ง พอดีผมนัดคนรู้จักเอาไว้ตอนสามทุ่มน่ะ สามทุ่มนะ อย่าลืม”
“โทซอง!”
“อะไร ฉันแค่คุยโทรศัพท์”
ปัง!
เสียงประตูห้องถูกกระชากปิดลงในฉับพลันก่อนที่ที่ทับกระดาษที่ทำจากหินอ่อนทั้งแท่งจะลอยละลิ่วไปกระแทกจนเกิดเสียงดัง บานประตูเป็นรอยบุบเล็กน้อย แต่นั่นเทียบไม่ได้กับบาดแผลที่อยู่ลึกลงไปในหัวใจของชินซอง และคงไม่มีอะไรเทียบได้เลย
หายหัวไปเก้าปี แล้ววันดีคืนดีก็เดินกลับมา ง่ายไปหน่อยมั้ยคิมยองวอน...
ความคิดของชินซองสับสน คำถามแรกและคำถามเดียวที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวของเขาทั้งที่เขาพยายามจะไล่มันออกไปก็คือเหตุผลการกลับมาของยองวอน
เก้าปีแล้วที่ยองวอนหายหัวออกไปจากชีวิตของเขา จากไปโดยไม่มีแม้แต่คำร่ำลา ทิ้งเขาไว้กับคำถามที่ค้างคาใจมาโดยตลอด ชินซองเคยพยายามค้นหาคำตอบนั้น แต่สุดท้ายแล้วก็เลือกที่จะยอมแพ้ เขาใช้เวลาอยู่นานมากกว่าจะสามารถพาตัวเองเดินหน้าต่อไปได้ แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกกระชากกลับไปจมอยู่กับความรู้สึกเดียวกับที่เคยรู้สึกเมื่อเก้าปีที่แล้วอีกครั้ง
ได้เห็นหน้าเพียงแค่เสี้ยววินาที เสมือนเก้าปีที่ผ่านมาไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย...
“เอ่อ จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากจะรบกวนเวลาคิดถึงยองวอนน้อยของนายสักเท่าไหร่หรอกนะ แต่ฉันมีเรื่องสงสัยอีกเรื่องน่ะ ถ้าฉันไม่ได้ถาม ฉันต้องอาบน้ำแล้วถูสบู่ไม่สะอาดแน่ๆ” โทซองโผล่หน้าออกมาจากประตูห้องนอนส่งเสียงถาม ชินซองสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอย่างพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกก่อนจะช้อนตามองไปที่อีกฝ่ายอย่างนึกหงุดหงิดใจ
“โอ๊ะโอ ไม่ปฏิเสธด้วยแฮะ ท่านประธานของเรากำลังคิดถึงยองวอนน้อยจริงๆ”
“ฉันกำลังคิดว่าจะโทรหาคุณนายลีน่ะ”
“นายเลิกเอาเรื่องนั้นมาขู่เถอะน่า พอๆ เข้าเรื่อง ฉันอยากจะถามนายว่าถ้าสมมติว่ายองวอนน้อยกลับมาหานายเพราะอยากจะขอเริ่มต้นใหม่กับนาย นายจะทำยังไง”
“เพ้อเจ้อ”
“ก็คิดเผื่อไว้มันก็ดีไม่ใช่เหรอ เพราะถ้าไม่ใช่เรื่องนั้น ฉันก็คิดเรื่องอื่นไม่ออกแล้วนี่นา ท่าทางยองวอนน้อยเหมือนจะกำลังเดือดร้อน แต่ฉันคิดไม่ตกว่าต้องเดือดร้อนขนาดไหนถึงได้กล้าบากหน้ากลับมาหานายทั้งที่เมื่อเก้าปีก่อนเด็กนั่นเป็นคนทิ้งนายเอาไว้เหมือนหมา”
คำตอกย้ำของโทซองทำให้ชินซองกัดฟันกรอด แต่ก็ยังเลือกจะเงียบเอาไว้ เถียงกับโทซองไม่มีประโยชน์หรอก ยิ่งพูดก็มีแต่จะยิ่งทำให้เรื่องบานปลายเปล่าๆ
“หรือบางทียองวอนอาจจะเดือดร้อนเรื่องเงินก็ได้นะ นายว่ามั้ยชินซอง”
“หน้าตาฉันเหมือนพนักงานสินเชื่อรึไงล่ะ”
“ก็แหม ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย อย่าแกล้งโง่สิ ฉันหมายถึงเด็กนั่นอาจจะมาขอหยิบยืมเงินจากนายต่างหาก”
หยิบยืมเงินเหรอ ไม่มีทางหรอก ชินซองรู้ดีว่าคนอย่างยองวอนน่ะรักศักดิ์ศรียิ่งกว่าชีวิตของตัวเองเสียอีก
“เอ๊ะ หรือจะมาขอสมัครงาน ไหนขอฉันดูหน้าท่านประธานของชินกรุ๊ปหน่อยสิว่าพอจะลดตำแหน่งไปเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลได้รึเปล่า”
“ฉันว่านายเลิกเพ้อเจ้อแล้วไปอาบน้ำได้แล้วโทซอง ก่อนที่ฉันจะเรียกคนมาจับนายโยนออกไป”
“ฉันคิดออกแล้ว หรือว่ายองวอนน้อยกำลังต้องการปลดปล่อย ต้องใช่แน่ เก้าปีแล้วนี่นา ตอนนี้ยองวอนน้อยคงจะโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว และคงจะผ่านโลกมาเยอะจนได้เรียนรู้แล้วว่าบนโลกนี้ไม่มีใครเร้าใจได้เท่ากับท่านประธานฮันชินซองแห่งชินกรุ๊ป ดีเลย นี่เป็นโอกาสเหมาะที่นายจะได้เอา...คืน”
“สวัสดีครับคุณนายลี ผมชินซองเองนะครับ ขอโทษครับที่ผมโทรมารบกวน พอดีผมมีเรื่องจะ...”
ติ๊ด!
โทซองกระวีกระวาดออกไปแย่งโทรศัพท์มือถือมาจากชินซองด้วยความรวดเร็ว และเมื่อก้มหน้ามองไปที่หน้าจอก็พบว่าชินซองติดต่อหาแม่ของเขาจริงๆ ไม่ได้แค่ขู่
“นายอย่าทำตัวร้ายกาจเป็นเด็กขี้ฟ้องไปหน่อยเลย”
“ฉันจะร้ายกว่านี้ถ้านายยังไม่เลิกพล่ามหรือไม่เลิกทำตัววุ่นวาย”
“โอเค ฉันจะไม่วุ่นวายก็ได้ แต่นายห้ามโทรอีก แล้วก็ลบเบอร์แม่ของฉันออกจากโทรศัพท์ของนายด้วย ไม่งั้นฉันจะไปลากคอยองวอนน้อยมากดให้จมเตียงไปซะให้มันรู้แล้วรู้รอด”
คำขู่ของโทซองทำให้ชินซองกำหมัดแน่น ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อโทซองคืนโทรศัพท์มือถือมาให้ด้วยการวางกระแทกมันลงบนโต๊ะทำงานของเขาแรงๆ
ปั้ก!
“อย่าโทรนะ ไม่งั้นฉันจะปล้ำยองวอนน้อยของนายจริงๆ!”