บทเรียนที่ 4 พี่เลี้ยงเด็ก (1)

2933 Words
พาวิน “แม่งเอ้ยยยยย” ชิบหาย! มาเรียนแต่ดันลืมเอาสมุดจดเพิ่มเติมมาด้วยเนี่ยนะ ไอ้วินเอ้ย แกนี่มันเทพเจ้านักลืมของชัดๆ พอผมมาที่มหาลัยกำลังจะหยิบสมุดจดรายละเอียดขึ้นมาอ่านทบทวนก่อนเข้าคาบเรียนวิชาต่อไปในช่วงบ่ายนั้น ก็ดั้นนน ทะลึ่งลืมหยิบของสำคัญมาด้วยซะงั้น เอาไงดีวะเนี่ยจะให้เชนมาหรอ? ฝันไปเถอะ เจ้าบ้านั่นไม่รู้จักที่นี่ด้วยซ้ำ แถมมานี่ต้องสร้างเรื่องแหงๆ “อะไรของมึงเนี่ยไอ้วิน ทำหน้าเคร่งยังกับโดนหมากัดตูดมางั้นแหละ” “เออดิ!” “ห้ะ? มึงโดนหมากัดตูดมาจริงดิ?” “ไม่ใช่โว่ย กูลืมเอาสมุดจดมา ในนั้นเนื้อหาเน้นๆ ทั้งนั้นเลยนะน่ะ ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี!!!” ผมพูดด้วยน้ำเสียงลนลาน เกาหัวแล้วก็ขยี้ผมไปมาอย่างรุนแรงด้วยความเครียด เครียดดิ เครียดสุดๆ จะเป็นบ้าอยู่แล้ว ถึงมันจะแค่สมุดจดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นต้องทำขึ้นมาก็ได้ แต่ถ้าลืมเอามาด้วยมันจะทำให้ผมใช้ความคิดในการจดจำวิชาที่เรียนหนักขึ้นเป็นสองเท่า เคยมีครั้งหนึ่งที่ผมลืมเอามาด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผมจะเดินท่องจำสิ่งที่อาจารย์สอนตลอดเวลา กินข้าวก็จะบ่นเป็นคำพูดแบบที่ได้ยินจากในคาบสอน เข้าห้องน้ำ หรือเรียนวิชาอื่นผมก็จะยิ่งท่องหนักกว่าเดิมจนกว่าจะถึงเวลากลับบ้านเพื่อไปปลดปล่อยเนื้อหาลงในสมุดจดนั่น และตอนนี้ มันกำลังจะเกิดขึ้นซ้ำสองในรอบสองปี ถึงจะเอาสมุดเล่มอื่นมาจดใหม่ก็ได้แต่.. พอทำแบบนั้นแล้วเนื้อหามันแยกจากกัน ถ้าเล่มไหนหายผมจะยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่น่ะสิ “ให้เชนเอามาให้สิ” “ตลกน่ะ เจ้านั่นไม่รู้ว่าฉันเรียนที่นี่ด้วยซ้ำ” “ก็ไม่แน่หรอก~” “แต่ว่านะ ตอนนี้ฉันกำลังเครียดเรื่องงานของมหาลัยมากกว่า หัวสมองไม่แล่นไอเดียมาสักอย่าง” ผมพูดพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่สบอารมณ์มากนัก “อย่าว่าแต่มึงเลย ปลายน้ำมันก็คิดไม่ออก ไม่เห็นหรอวันนี้มันไม่มานั่งกับพวกเราเลยน่ะ” “ปลายน้ำมันก็คงต้องการสมาธิอยากอยู่คนเดียวบ้าง ไม่งั้นมึงก็กวนมันตายห่าเลยสิ” “อะไร? กูกวนมันหรอนิ้?” “เออ แต่วันนี้กูตายแน่เลยว่ะ สมุดจดกูน่ะ ฮรื้อออ~~~” ผมใช้กำปั้นทุบโต๊ะรัวๆ เพราะหลังจากหมดคาบพักเบรกกลางวันอีกสองชั่วโมงสุดท้ายต้องเรียนวิชาเพิ่มเติมที่ลืมเอาสมุดจดมาด้วย ไอ้บ้าเอ้ยย อยากวาปกลับบ้านชะมัด ผมทำได้แค่คิดว่าจะใช้วิธีไหนให้เอาตัวรอดผ่านวันนี้ไปได้ แต่แบบว่า เออ มีแค่วิธีเดียวคงต้องนั่งฟังที่อาจารย์สอนแล้วท่องงึมงำๆ แบบตอนนั้นล่ะนะ ผมคิดพลางจ้องไปยังนาฬิกาข้อมือ มันกำลังบอกผมว่าใกล้ถึงเวลาตายแล้วนะจ๊ะ เตรียมตัวแล้วใช่ไหมจ๊ะ นั่นดิ เตรียมตัวตายแล้วใช่ไหมฉันนะ ผมยกมือถือแก้วกินน้ำอีกครั้งเพื่อเตรียมใจถึงเวลาที่กำลังมาถึงอย่างปลงๆ “คุณพาวินครับ ผมเอาสมุดจดมาให้” “อ่ะ อื้มขอ.. พรวด!!!!!” น้ำพุ่งกระจายออกจากปากอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่มันจะยิ่งแย่ไปกว่านั้นเพราะน้ำดันพุ่งกระเด็นใส่หน้าเชนเข้าเต็มๆ “แอ๊กๆ ด..เดี๋ยวนะ ม..มาได้ไงเนี่ย?” เขามองผมด้วยใบหน้านิ่งเฉยเช่นเคยพร้อมกับยื่นสมุดมาให้ “ผมจำลักษณะชุดที่คุณใส่แล้ววิเคราะห์ออกมาว่าคุณเรียนที่นี่” ” แต่..แล้วรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ตรงนี้?” “ผมสอบถามคนที่นี่ครับ” เอาจริงดิ เขาเอาสมุดจดมาให้ แถมไล่ถามหาผมทีละคนทีละคนจนมาเจอผมเนี่ยนะ สุดๆ ไปเลย “เอ่อ.. ประทานโทษนะครับมึง ก่อนจะคุยกัน ช่วยหาผ้าเช็ด กระดาษเช็ดตูดหรืออะไรก็ได้ เช็ดหน้าเชนมันหน่อยดีไหมวะ?” ลำธารเข้ามาตัดบทสนทนาพลางหันหน้ามองรอบๆ เพื่อมองหากระดาษทิชชูหรือผ้าเช็ดหน้ามาซับหน้าให้เชนที่ตอนนี้เปียกโชกไปด้วยน้ำที่ผมสำลักบ้วนใส่หน้า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทำหน้านิ่งไม่คิดที่จะจัดการกับมัน “เออ.. อ่ะนี่” ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ยังไม่ได้ใช้ของตัวเองขึ้นมาแล้วยื่นให้เชน แต่เขากลับมองมันด้วยสีหน้างงงวยไม่เข้าใจ เออ ลืมไป มันไม่ค่อยรู้เรื่องนี่หว่า “อ่า.. หันหน้ามานี่มา” ผมจับคางของเขาเอาไว้แล้วดึงใบหน้าเปียกโชกไปด้วยน้ำเข้ามาใกล้ ไล่เช็ดหน้าให้ตามส่วนที่เปียก โห้..หน้าเนียนกริบโคตรน่าอิจฉาเลยว่ะ เป็นหุ่นยนต์นี่มันดีแบบนี้นี่เอง ไม่ต้องออกกำลังกายก็หุ่นเซี๊ยแน่นเปรี๊ย! หน้าตาดี ฉลาด ถึงจะโง่ในเรื่องที่ไม่สมควรจะโง่ก็เถอะ “อ่ะ อึ้ก! อ...เอาไปเช็ดเอง” ผมรีบผละตัวอย่างรวดเร็วหลังจากพึ่งสังเกตได้ว่านี่มันโรงอาหารไม่ใช่ที่บ้าน เอามือที่กำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น ยัดลงไปบนมืออีกฝ่ายด้วยท่าทางลนๆ “....คุณพาวิน?” “อ..อะไรเล่า ฉันจะไปเรียนแล้ว นายก็รีบกลับบ้านไปซะ กวาดบ้านถูบ้านให้ด้วย!” ผมรีบลุกจากโต๊ะไม้ยกหนังสือที่นั่งอ่านระหว่างรอใส่กระเป๋าสะพายข้างแล้วรีบเดินหนีออกมาโดยไม่สนใจลำธารที่มันนั่งด้วย โอ๊ย ฉัน.. ว่าแต่..ทำไมต้องมากระโตกกระตากด้วย ก็แค่เช็ดหน้าให้... “นี่ๆ ๆ!!! พาวินนนนน” กลุ่มเพื่อนผู้หญิงในสายเดียวกันวิ่งตรงเข้ามาหาผมด้วยแววตาเป็นประกาย จับมือผมไว้แล้วกำไว้แน่น เขย่ารัวๆ ยังกับเห็นมือผมเป็นกระบอกเซียมซีทำนายดวง “อ..อะไร อะไรของพวกเธอเนี่ย?” “ผ..ผู้ชาย..ผู้ชายคนนั้นใคร! เพื่อนหรอ เพื่อนใช่ไหม?” อะไรกัน ยัยพวกนี้นี่ “ใช่แล้วจะทำไม?” “จริง! แล้วๆ ๆ เขา มีแฟนยัง บ้านอยู่ไหน เรียนมหาลัยไหนอ่ะ! รู้จักกันได้ไง? เขาชอบกินอะไร สเปคสาวที่ชอบล่ะ?” โอ๊ย กูปวดหัวโว๊ย!!! “จะไปรู้เลอะ! ไปถามเองดิ ทำไมต้องมาถามฉันด้วย ฉันไม่ใช่มันนะ อยากรู้ก็ไปถามเอง ฉันไม่ใช่แม่มัน! ไม่รู้ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น บ๊ายบาย” “อ่ะไรอ่ะ! ขี้ตู่ชะมัดเลย หวงหรือไง!” “อะไร ใครหวง อยากรู้ก็ไปถามเองเด้! พวกเธอนี่มัน..” ผมรีบผละตัวเดินหนีออกมาจากกลุ่มผู้หญิงพวกนั้นด้วยท่าทางหงุดหงิดกว่าเดิม ไม่ชอบเลยเว้ย เวลาไปอยู่กลางวงสนทนาแบบนั้นแล้วปวดหัวยิ่งกว่าเรียนซะอีก พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจเลยสักนิด ก็แค่เห็นใครหล่อนิดหล่อหน่อยก็ชอบไปหมด ไอ้บ้านั่นมันดียังไงหล่ออย่างเดียวพูดฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ทำตัวเหมือนเด็กเตรียมอนุบาลไปได้ สู้ฉันก็ไม่ได้สักนิดออกจะเรียนคะแนนดีตลอด รูปหล่อกว่าด้วยซ้ำ หมอนั่นมันน่าสนใจตรงไหนกันน่ะ! ล...แล้ว...ทำไมฉันต้องมาหงุดหงิดอะไรกับเจ้านั่นด้วยวะเนี่ย! ... “กลับมาแล้ว หื้ม? เชน?” พอกลับมาที่บ้าน แต่หมอนั่นกลับเงียบกริบทั้งที่ทุกทีมักจะมายืนทำหน้าเหมือนลูกหมารอเจ้าของกลับบ้านที่หน้าประตูแท้ๆ ไปไหนของเขาวะน่ะ ผมเดินตรงมายังห้องนั่งเล่นแล้ววางกระเป๋าทิ้งไว้ เดินตรงไปยังห้องครัวกวาดตามองไปรอบๆ ก็ไม่เจอเจ้าตัวอยู่ดี แต่บนโต๊ะกลับมีอาหารทำขึ้นมาเตรียมรอไว้แล้ว “...ยังอุ่นๆ นี่ พึ่งทำเสร็จใหม่ๆ เลยไม่ใช่หรือไง” อาหารที่ทำขึ้นมามันยังร้อนอยู่เลย แสดงว่าต้องอยู่ในบ้าน แต่ไปหลบมุมไหนของเขานะ ผมเดินตรงไปเรื่อยๆ เปิดประตูเข้าไปตามห้องต่างๆ แต่ก็ไม่เจอจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนตัวเอง “เอาจริงดิ ไม่มั้ง..” “แก๊กๆ ..” ผมเปิดประตูแง้มห้องตัวเองออกนิดหน่อยแล้วส่องมองลอดผ่านช่องเล็กน้อยเพื่อมองไปยังด้านใน และแน่นอนว่าเขาอยู่ในห้องผมจริงๆ เมื่อผมแน่ใจว่าเขาอยู่ในห้องนั้นผมจึงค่อยๆ เปิดประตูออกแล้วเดินไปหาเจ้าตัว “นี่ ทำไมมาอยู่ในห้อง..อ.. อ่าว” ร่างนั่งพับลงบนเตียงหลับตาพลิ้มเหมือนกำลังหลับ นี่น่ะหรอโหมดชาร์จแบตที่ว่า ถึงจะลองเอามือโบกไปมาแต่เขาก็ยังนั่งนิ่งไม่ขยับตัวเลยสักนิด “...อืม...” ผมก้มหน้ามองอีกฝ่ายที่กำลังหลับตาแล้วจ้องมองหน้านั้นนิ่งๆ “..เออ.. มันก็หล่อนั่นแหละ... เหว่อ!” แต่แล้วตัวผมก็สะดุ้งเฮือกรีบลุกตัวหนีทันทีเมื่ออีกฝ่ายลืมตามองแบบกะทันหัน ตกใจหมดไอ้บ้าเอ้ย “กลับมาแล้วหรอครับ ขออภัยด้วยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับ เนื่องจากพลังงานของผมไม่ได้ถูกเติมเต็มเลยมาพักระบบสักครู่ครับ” เชนตอบผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ก็ดูเหมือนคนหมดแรงจริงๆ นั่นแหละ ให้นอนพักต่อไปดีกว่า “ผมจะไปอุ่นอาหารที่จัดเตรียมไว้ให้” “ไม่เป็นไร นายนอนต่อไปเถอะ อีกอย่างกับข้าวนายพึ่งทำ ไม่ต้องอุ่นก็ได้มันยังอุ่นอยู่ ฉันกินได้” “แต่..” “ถ้านายเป็นลมล้มตึ่งกลางคันขึ้นมาจะทำไงเล่า ฉันไม่ใช่ปีศาจใช้แรงงานมนุษย์นะ ถึงนายจะเป็นหุ่นยนต์ก็เถอะ มันก็ไม่ต่างกันหรอกถ้าคนเราอยากได้รางวัลเป็นการพักผ่อนบ้างน่ะเพราะงั้น.. เอ่อ..นอนไปเถอะ” ผมค่อยๆ ตบลงบนไหล่เชนเบาๆ แล้วรีบผละตัวเดินออกมา หวังว่าจะฟังที่พูดล่ะนะ.. [ความรู้เพิ่มขึ้น 35% การพักผ่อนเป็นรางวัลที่ดี] ... “อ้า คิดไม่ออกเลย แถมนายแบบก็ยังหาไม่ได้อีกกกก” ผมนั่งฟุบตัวคอตกอยู่บนโต๊ะร่างภาพออกแบบชุด สีหน้าซีดเซียวเหมือนคนหมดแรงบันดาลใจ นี่ก็ใกล้วันงานเข้าไปทุกที แต่กลับไม่มีอะไรคืบหน้าเลย ไปขอร้องคนอื่นให้มาเป็นนายแบบนางแบบให้ แต่กลับโดนปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยเพราะมีคนจองตัวกันไปหมด อ้า.. เอาไงดีวะ หรือว่าจะออกแบบใส่เองแม่งไปเลย? ไอ้บ้าเอ้ย ทำแบบนั้นได้ทำไปนานแล้วน่ะสิ เขาให้จับคู่สองคน... “เฮ้อ...” “ดูคุณกังวลนะครับ” “อืม..” ผมเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงหมดแรงอย่างคนสิ้นหวัง สงสัยงานนี้คงขอผ่านละมั้งฉันว่า... “มีอะไรทำให้กังวลหรอครับ ถ้าผมพอจะหาทางช่วยได้ ผมยินดีช่วยนะครับ” “ฮ่า ฮ่า..ขอบ..ใจ..” จะว่าไป เหลือเชนเป็นทางเลือกสุดท้ายนี่..แต่.. จะไหวจริงหรอวะเนี่ย.. “นี่” ผมขวักมือเรียกเชนเบาๆ ขณะเดียวกัน เขาเดินมาหาด้วยท่าทางเชื่องๆ “ครับ?” ผมชี้ไปนอกหน้าต่างพร้อมกับเชนที่หันมองไปทางหน้าต่างตามทิศทางที่ผมชี้ด้วยท่าทางฉงน “ทำหน้าเหม่อๆ มองไปนอกหน้าต่างให้ดูหน่อย” “เหม่อ.... คืออะไรครับ” “อ้า.. แกนี่มัน.. เป็นหุ่นยนต์ภาษาอะไรเนี่ย? ก็แบบ มองอะไรเรื่อยเปื่อยแล้วก็นึกภาพหรือนึกอะไรสักอย่างในหัว” เอ่อ..จะว่าไปฉันก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันนั่นล่ะ “นึกอะไรสักอย่าง... งั้นผมขอนึกถึงคุณได้ไหมครับ?” “อ่ะ... เอ่อ..” เขาพูดแบบนั้นแล้วจ้องมองมาทางผมด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ไอ้บ้าเอ้ย เอาอีกแล้ว พูดอะไรแบบนี้อีกแล้ว รู้ไหมว่าฉันต้องรู้สึกยังไงกับเวลาแต่ละครั้งที่นายพูดเนี่ย?! แต่ไอ้สายตาอ้อนหน่อยๆ ถึงมันจะแปลกๆ เพราะเขาทำไม่ค่อยเป็น แต่มันก็ทำให้ผมตวาดไม่ได้จริงๆ “...เอ่อ.. ถ้ามันทำให้นายเหม่อได้ก็ลองทำไปสิ” ผมเบนหน้าหนีด้วยความอาย รู้สึกแปลกๆ อีกครั้งกับในอกที่มันดูจุกแปลกๆ ขึ้นมา อ้า.. ดาเมจเขามันแรงเกินกว่าที่ฉันจะรับไหวจริงๆ แล้วก็ต้องมารู้สึกแปลกๆ เวลาเขาทำแบบนี้ใส่ด้วย ป่วยป่าววะเนี่ย ในตอนนั้นเองหลังจากที่ผมตอบรับคำตอบที่ไม่คิดว่าเขาจะพูดมันออกมา เชนค่อยๆ หลับตาลงเหมือนกำลังนึกอะไรสักอย่าง ใบหน้าเรียวได้รูปจ้องมองผ่านออกไปนอกหน้าต่าง เปลือกตาลืมขึ้นอย่างช้าๆ สีหน้าเศร้าสร้อยขึ้นมาบนหน้าของเขา แต่มันให้บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยความเยือกเย็นและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน เขาบอกว่ากำลังนึกถึงผม แต่ทำสีหน้าเศร้าแบบนั้น เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ถึงอย่างนั้น ภาพของเขาในตอนนี้มันกลับทำให้ผมลืมไม่ลงเลย “อ่ะ..อืม..อะ.. โอเค พอแล้วล่ะ” ภาพตรงหน้าหายไปอย่างรวดเร็ว เชนหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าตั้งคำถามอีกครั้ง “แล้วให้ผมทำทำไมครับ?” “เอ่อ..จริงก็ไม่คิดหรอกนะเรื่องนาย แต่.. นายช่วยเป็นนายแบบให้ได้ไหม?” “นายแบบ? ถ้าหากผมเป็นให้แล้ว คุณจะรู้สึกดีใช่ไหมครับ?” “เออ ช่วยได้มากเลย เหวอ! นี่! ” “ครับ!” แววตาเป็นประกายพุ่งตรงดิ่งเข้ามาพร้อมกับร่างหนาๆ ของเขาที่ขยับเข้ามาใกล้อย่างไม่ทันตั้งตัว “ผมจะ.. ทำให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้คุณพาวินต้องเป็นห่วง” “อ่ะ..อืม.. ก็ดีแล้ว ฉันจะได้เริ่มงานออกแบบร่างชุดคร่าวๆ โชคดีนะ ที่วัดขนาดตัวนายจากรอบนั้นไว้ ยังพอจำรายละเอียดได้อยู่ แต่… ช่วยถอยไปหน่อยได้ไหม มันใกล้เกินไปแล้ว...” “โอ๊ะ.. ขอโทษครับ” เชนผละตัวห่างออกจากผมด้วยท่าทางระมัดระวังแล้วก้มโค้งขอโทษให้อย่างสุภาพ “อะ..อาจจะวัดใหม่อีกรอบ ถ้าแบบที่วาดมันแตกแยกไปเป็นพุ่มดอกไม้ทางอื่นจนไม่ยึดตามไซส์ตัวนาย... แล้วปัญหาต่อไปมันก็คือ ฉันตีโจทย์หัวข้อไม่แตกเท่าไหร่ แสงสว่าง.. อืม.. ตอนแรกก็คิดว่าแสงสว่างฉันต้องตั้งตรีมเป็นพระอาทิตย์ให้ชุดมันดูร้อนแรงให้แสงสว่างแต่.. คนน่าจะคิดแบบนั้นกันหมด” “มันก็ไม่เห็นจะแปลกนี่ครับ?” “ไม่อ่ะ ฉันไม่ชอบให้ความคิดฉันเหมือนๆ กับของคนอื่น มันจะทำให้บรรยากาศคนที่มาดูรู้สึกเบื่อไปตามๆ กันเพราะชุดมีแต่แนวโทนเดียวกันซ้ำไปหมดนอกจาก...” ผมยกมือขึ้นมาเกาหน้าตัวเองแล้วลองสเก็ตช์ภาพออกแบบมาหลายๆ แบบที่พอจะนึกออก แต่ทุกอย่างมันก็วนกลับมาที่อะไรเดิมๆ จนเวลาผ่านไปมืดค่ำ “โว้ยย คิดไม่ออก!!” สุดท้ายก็มานั่งตายบนโต๊ะเหมือนเดิม โจทย์มันก็ดูง่ายๆ พื้นฐานๆ แต่ฉันกลับคิดถึงมันมากเกินไปเพื่อไม่ให้ซ้ำกับคนอื่น กลายเป็นว่าโจทย์มันยากมากเกินที่จะรับไหว “ได้เวลาทานข้าวเย็นแล้วนะครับ” “อ่ะ วางไว้ก่อน ฉันยังไม่ว่างกินตอนนี้” “แต่ถ้ากินอาหารไม่ตรงเวลา คุณจะปวดท้องเป็นโรคกระเพาะอาหารได้นะครับ และถ้าหากเป็นโรคกระเพาะคุณต้องกินยาตลอดมันหายยากมากนะครับ อีกอย่างมัน” “เออ เออ เออ รู้แล้วๆ กินก็ได้ พอใจยัง เลิกบ่นได้แล้วเป็นแม่หรือไง?” ขณะกำลังระดมสมองออกแบบร่างภาพต่อไปเรื่อยๆ เหล่าบรรดาอาหารที่กลิ่นหอมโชยก็เดินทางเข้ามายังห้องทำงานของผม อ้า~ กลิ่นหอมสุดๆ เลยไม่ใช่หรือไง ผมจ้องมองเหล่าอาหารของค่ำคืนนี้ด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาวหลังจากหมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงานมาทั้งวันแทบจะมองไม่เห็นเดือนเห็นตะวันด้วยซ้ำ กินฉันสิ กินเลยมนุษย์ พอมองเหล่าอาหารพวกนี้ก็เหมือนได้ยินเสียงของพวกมันที่กำลังบอกให้ผมเติมเต็มความอิ่มลงไปในกระเพาะเต็มที “อ้า จะกินแล้วน้า~” “ทานเยอะๆ เท่าที่ต้องการเลยครับ แล้วก็อย่าทำงานจนหักโหมมากเกินไปนะครับ ใกล้หน้าหนาวแล้ว อากาศตอนกลางคืนค่อนข้างหนาว” “รู้แล้วๆ รู้.. อ่ะ..” หื้ม เหมือนจะ..คิดอะไรออก.. แปบๆ นี่ก็ใกล้จะสิ้นปี ใกล้หน้าหนาวแล้วด้วย.. ผมคิดอะไรเพลินๆ ในตอนนั้นเองภาพของเชนที่เห็นในตอนกลางวันกับเรื่องหน้าหนาวที่พูดก็เริ่มจุดประกายความคิดขึ้นมา “อ้ะ! คิดออกแล้ว!” ใช่แล้ว หน้าหนาว แสงสว่างไม่จำเป็นต้องเจิดจ้าตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องเป็นดวงอาทิตย์ที่ให้แสงสว่าง แต่เป็นดวงดาวที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ก็ส่องสว่างได้เหมือนกัน ค่อนข้างจะคิดได้แล้วล่ะว่าจะออกแบบยังไงดี “ขอบใจนะเชน!” “ (. .) ? ครับ?” “ฮิฮิ” ผมยิ้มร่าเริงพลางรีบตักข้าวกับอาหารใส่ปากอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะทำงานสเก็ตช์ภาพต่อ เอาล่ะ แค่นี้ก็ได้แล้ววว!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD