ค่าตัดแว่นหมื่นสาม โซ่เลยต้องโทรไปขอเงินพ่อ ซึ่งพอน้าเกมรู้เรื่องก็ให้พาฉันไปกินข้าวเย็นที่บ้าน ถือว่าเป็นการเลี้ยงข้าวไถ่โทษที่โซ่ทำแว่นฉันพัง
แต่พอมาถึงบ้านโซ่ก็เจอแค่น้าวิแม่เลี้ยงของโซ่ และพี่วุฒิลูกติดของน้าวิ
“พ่อเธอโทรมาบอกน้าว่าให้ทำมื้อเย็นเลี้ยงหนูน้ำรินที่เธอไปทำแว่นเขาพัง เฮ้อ ต้องขอโทษแทนลูกเลี้ยงด้วยนะหนูน้ำริน ตั้งแต่มาอยู่ก็สร้างแต่เรื่อง”
ประโยคทักทายของน้าวิทำให้ฉันสะอึก มันเต็มไปด้วยความประชดประชันต่อโซ่ ซึ่งฉันก็ไม่เคยเห็นน้าวิในมุมนี้มาก่อนเลย
“นั่งเถอะจ้ะหนูน้ำริน กับข้าวเสร็จแล้ว เดี๋ยวน้าให้เขาตั้งโต๊ะก่อนเลย”
“เอ่อ ค่ะ” ฉันหันไปมองคนข้างๆ อย่างลุ้นว่าโซ่จะทิ้งฉันไว้คนเดียวไหม แต่ก็โล่งใจที่เขามานั่งเป็นเพื่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้จะทำตัวยังไง
ตอนนี้บนโต๊ะอาหารมีเราสี่คน ขณะที่แม่บ้านกำลังจัดโต๊ะ ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างมันอึดอัดไปหมด
“ต้องขอโทษแทนตาโซ่เขาอีกครั้งนะคะหนูน้ำริน ไปเล่นพิเรนทร์อิท่าไหนถึงทำแว่นคนอื่นพัง”
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นอุบัติเหตุ” ถึงความจริงฉันจะด่าเขาไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้อยากให้คนอื่นมาซ้ำเติมเขานี่นา
“แว่นมันก็อยู่กับเจ้าของดีๆ น้ายังนึกไม่ออกเลยว่าจะไปทำพังได้ยังไง เฮ้อ แต่เขาก็แปลกๆ แบบนี้แหละ อยู่ด้วยกันมาปีหนึ่งแล้วยังไม่เข้าใจเขาเลย แล้วก็แปลกแต่หาเรื่องให้คนอื่นเดือดร้อนด้วยนะ เฮ้อ ก็เข้าใจแล้วละว่าทำไมทางฝั่งโน้นถึงไม่เอา...อยู่โน่นก็มีปัญหากับสามีแม่ คงตั้งใจจะส่งมาดัดนิสัยที่นี่ แต่ดูแล้วก็ไม่น่าจะช่วยอะไรได้ พ่อเขาก็ตามใจเหลือเกิน น้าจะสอนนิดสอนหน่อยไม่ได้เลย”
ฉันฟังประโยคประชดประชั้นนั้นด้วยความอึดอัด หายใจไม่ทั่วท้อง เผลอเอามือไปแตะต้นขาคนที่นั่งข้างๆ กลัวว่าโซ่จะโมโหและลุกไปต่อยแม่เลี้ยงตัวเองเข้าจริงๆ
“นี่แหละอภิสิทธิ์ของการเป็นลูกแท้ๆ จะทำตัวยังไงพ่อเขาก็ให้ทุกอย่างอยู่ดี ใช่ไหมวุฒิ เราน่ะตั้งใจเรียนให้ตายก็ไม่สู้น้องเขาอยู่ดี แต่ก็เรียนไปเถอะ เป็นผลดีกับเราเอง”
นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน ฉันกำลังนั่งอยู่ในฉากหนึ่งของละครน้ำเน่าเรื่องไหนหรือเปล่า
“กินข้าวกันจ้ะ” ผู้หญิงที่พูดแดกดันคนอื่นแบบหน้ายิ้มๆ หันมาชวนฉันกินข้าวด้วยรอยยิ้มกว้างกว่า โคตรหลอนเลย ฉันนั่งตัวแข็งไม่รู้จะขยับตัวทำอะไร เป็นโซ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่ตักกับข้าวใส่จานให้ แถมยังแตะมือเบาๆ บนหลังมือฉันที่ยังวางบนต้นขาเขา กลายเป็นโซ่ที่มาปลอบให้ฉันใจเย็น
ฉันพยายามฝืนกินข้าวให้ได้สักครึ่งจาน นั่งคุยกับน้าวิต่ออีกหน่อยก็ขอตัวกลับ อ้างว่าการบ้านเยอะ
โซ่เรียกรถให้ และเขาก็นั่งมากับฉันด้วย คงรู้แหละว่าแม่ไม่เคยให้นั่งแท็กซี่คนเดียว
“ไง ตกใจใช่ไหมล่ะ” เขาชวนคุยหลังจากที่เรานั่งมาบนรถสักพัก
“แฟนแม่เธอพูดเก่งแบบเมียพ่อฉันไหม” ฉันเข้าใจทันทีว่าโซ่หมายถึงพูดเก่งแบบไหน
“ไม่รู้อะ ไม่ค่อยได้คุยกัน ถ้ามาเจอแบบน้าวิฉันจะอยู่ยังไงดีโซ่”
“ก็ไม่ยังไง ต่างคนต่างอยู่ ของฉันดีหน่อยที่พ่อไม่ได้บ้าจี้ตามแม่เลี้ยง เขาก็เลยหาเรื่องประชดฉันไปแบบนั้น”
“แล้วนายโอเค อยู่กับคนแบบนั้นทุกวัน” ฉันเป็นห่วงความรู้สึกของเขาจัง
“ก็ไม่มีอะไรที่ไม่โอเค นอกจากพูดเก่งแล้วเขาก็ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
โซ่ก็ดูนิ่ง ไม่ได้ตอบโต้หรือด่ากลับแม่เลี้ยงแรงๆ เขาอาจจะจัดการอารมณ์ตัวเองได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าข้างในลึกๆ โซ่ไหวแค่ไหน...ที่เขาทำตัวเกเรอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มันอาจจะเป็นการต่อต้านในรูปแบบหนึ่งก็ได้...ฉันต้องคอยอยู่ข้างๆ เขา แบบจริงจังแล้วสิ
ฉันทำตามที่ตั้งปณิธานไว้ตั้งแต่วันนั้น แต่มันทำให้เรายิ่งห่างไกลทางความรู้สึกออกไปเรื่อยๆ โซ่แสดงออกชัดเจนว่ารำคาญ...จนกลายเป็นความเย็นชา
แต่ฉันก็ดื้อที่จะอยู่ข้างๆ เขา เพราะเขาดื้อกว่าเดิมหลายเรื่อง นอกจากเรื่องเรียนแล้วยังเพิ่มเรื่องเหล้า บุหรี่ ไปจนถึงทะเลาะวิวาท
“โซ่ เลิกเรียนไปกินชาบูกันไหม” ฉันได้ยินเขาคุยกับเพื่อนๆ ว่าจะไปงานวัดที่ไหนสักแห่ง กลัวจะไปทำเรื่องไม่ดีอีก เลยหาเรื่องชวนเขาไปอย่างอื่น
“ฉันจะไปงานวัด”
“จริงเหรอ” ฉันแกล้งทำตาโต เหมือนดีใจนักหนาที่เขาบอกจะไปงานวัด
“ฉันไปด้วยสิ เกิดมายังไม่เคยไปงานวัดเลยนะ อยากไปนั่งชิงช้าสวรรค์ เล่นบิงโก ยิงปืน ป่าโป่ง กินสายไหม” ภาพงานวัดในหนังลอยเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ มันก็อยากไปสักครั้งเหมือนกัน
“ไม่ต้องไป ไม่ได้อยากให้ไปด้วย”