“แค่นี้นะน้ำริน”
“โอเคค่ะแม่”
วางสายจากแม่เสร็จก็ตัดสินใจไปปลุกโซ่ แค่สะกิดแขนแล้วก็สั่งลาแค่นั้นแหละ
“โซ่ ข้าวกับยาอยู่บนโต๊ะนะ นอนตื่นแล้วก็กินข้าวกินยาก่อน ฉันกลับก่อนล่ะ”
“อืม” เขาพลิกตัวหนีอย่างรำคาญ ฉันถอนหายใจด้วยใจหวิวๆ ที่เขาไม่คิดจะเป็นห่วงกันสักนิด เดินออกมาจากเตียงเขาด้วยความเหม่อลอย แล้วต้องสะดุ้งเมื่อถูกคว้าแขนก่อนที่จะถึงประตู
“ว้าย” ฉันหันกลับไปมอง โซ่เองก็ยืนมองฉันด้วยสีหน้ายู่ยี่ของคนเพิ่งตื่น ผมเขาก็ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง...แต่ยังดูหล่อระเบิดเลย
“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ” เขาถามด้วยสีหน้าที่ยังดูมึนๆ อยู่ ส่วนฉันก็ยืนงงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“เอ่อ บอกว่าข้าวกับยาลดไข้อยู่บนโต๊ะ กินด้วย”
“แล้วอะไรอีก” คำถามนั้นยิ่งทำให้งงกว่าเดิม
“ไม่มีอะไรแล้วนะ บอกแค่นั้น” พอฉันตอบไปแบบนั้นโซ่ก็ชักสีหน้าหงุดหงิดเหมือนฉันทำอะไรผิดเสียอย่างนั้น
“จะกลับยังไง ลุงศรมารับเหรอ เดี๋ยวลงไปรอเป็นเพื่อน” ซึ่งพอเขาเฉลยแบบนั้นก็ทำให้อาการงงๆ ถูกแทนที่ด้วยความสว่างวาบในอก ฉันว่าฉันต้องยิ้มจนออกนอกหน้าแน่ๆ
“เป็นห่วงเหรอ” พอรู้ตัวก็แกล้งทำเป็นกวนเขา
“ถ้าเธอไปฟ้องพ่อฉันก็ถูกบ่นอีก” เขาอ้างเหตุผลเดิมๆ ที่ฉันก็ชอบฟ้องพ่อเขาจริงๆ นั่นแหละเวลาโซ่ทำตัวเหลวไหล
“ไม่ฟ้องหรอกน่า ฉันโตแล้ว นายไปนอนต่อเถอะ หรือไหนๆ ก็ตื่นแล้วก็ไปกินข้าวกินยา”
“อย่าหาเรื่องน่าน้ำริน รอแป๊บหนึ่ง ใส่เสื้อก่อน” เขาดึงแขนฉันปลิวกลับเข้าไปในห้องด้วย ดึงให้ฉันนั่งรอบนโซฟาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ฉันรีบอธิบายกับเขา
“ลุงศรไม่ได้มารับ ฉันว่าจะนั่งแท็กซี่กลับ งั้นรบกวนเรียกรถให้หน่อยแล้วกัน” พอฉันบอกแบบนั้นอีกฝ่ายที่กำลังสวมกางเกงก็หันมามอง แล้วก็ทั้งเดินทั้งสวมจนมาหยุดตรงหน้า มารูดซิปติดกระดุมกางเกงต่อหน้าต่อตาเลย
“สมองกลับหรือไง เคยนั่งรถคนเดียวเหรอ” คิ้วเขาขมวดเหมือนเป็นเรื่องน่าประหลาดใจนักหนา ฉันหน้างอใส่โซ่ที่เขามาด่าว่าสมองกลับ
“ไม่เคย แล้วจะทำไม แค่นั่งแท็กซี่กลับ” พอฉันเถียงโซ่ก็ถอนหายใจยืดยาว เหมือนเหนื่อยใจนักหนา
“บอกทางกลับบ้านถูกเหรอ” พอเขาย้อนมาแบบนั้นฉันก็เถียงไม่ออกเหมือนกัน
“หน้าโง่ๆ แบบนี้ถ้าถูกเขาหลอกไปโยนลงคลองฉันไม่ถูกพ่อด่าตายเหรอน้ำริน”
ฉันอึ้ง...ไม่เคยถูกเขาด่าแรงขนาดนี้ ทั้งสมองกลับ ทั้งโง่...มันแรงจนเจ็บใจได้เลยละ
“ทำไมต้องด่าขนาดนั้นอะ” ฉันถามเขาเสียงสั่น แบบที่ก็ไม่ค่อยจะได้น้อยใจเขาจนอยากร้องไห้แบบนี้มาก่อนเหมือนกัน ยังจะมาถอนหายใจเหมือนรำคาญฉันอีก ทั้งๆ ที่ฉันยังมาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”
“พูดมากน่า ไปกลับ จะไปส่ง” เขาดึงแขนฉันให้ลุกจากโซฟา คำว่าจะไปส่งทำให้ฉันฉุกคิดว่าเขาอาจจะเป็นห่วงหรือเปล่า แต่ก็ยังเจ็บที่ถูกด่าอยู่ดี
“ไม่ต้อง” ฉันสะบัดแขนออกจากมือเขา
“จะกลับเอง นายนอนเถอะ ฉันไม่กล้าใช้คนป่วยไปส่งหรอก”
“ไม่ได้เป็นไรแล้ว”
“ไม่เป็นยังไง ตัวร้อนเป็นไฟขนาดนั้น กว่าฉันจะเช็ดตัวจนเย็นลงได้ขนาดนี้” ยื่นมือไปแตะหน้าผากเขาอีกที
“เนี่ยตัวยังอุ่นๆ อยู่เลย ถ้านายไม่ไหวแล้วขับรถพาฉันไม่ถึงบ้านทำไง” ถึงจะน้อยใจเขา แต่ลึกๆ มันก็เป็นห่วงเขาจริงๆ ไม่อยากให้เขาต้องขับรถไปส่ง ยิ่งตอนกลับที่ต้องขับมาคนเดียว
“โอเค เรียกรถก็เรียกรถ” โซ่หยิบมือถือขึ้นมากดยุกยิก ฉันพยักหน้าเข้าใจแล้วก็หมุนตัวจะออกจากห้อง คราวนี้โซ่ปล่อยให้ฉันออกมานอกห้องได้ แต่เดินไม่กี่ก้าวก็เห็นว่าโซ่ตามออกมา
“นายจะไปไหนเหรอ”
เขาไม่ตอบ จนเราลงลิฟต์มาด้วยกัน ก็เลยคิดไปเองว่าเขาคงมาส่งขึ้นรถ เพราะเป็นคนเรียกให้ ซึ่งก็เป็นแบบนั้น พอรถมาจอดเขาก็เป็นคนเปิดประตูให้ แค่นี้มันก็ทำให้ฉันยิ้ม
“ขอบใจ” ยิ้มและโบกมือลาเขา
“ขยับเข้าไปอีก” แต่เขาก็ทำให้ฉันแปลกใจอีกรอบ พอเจ้าตัวก้าวเข้ามาในรถก็เลยต้องขยับตามอัตโนมัติ จนอีกฝ่ายเข้ามานั่งเบียดกันในรถก็ยังไม่หายงง
“ออกรถเลยครับ”
นั่นแหละฉันถึงเข้าใจว่าเขาต้องการไปส่ง...มันทำให้ใจฉันอุ่นจนนั่งเงียบมาพักใหญ่ๆ ไม่กล้าแม้จะกวนโมโหเขา จนอีกฝ่ายเอนตัวล้มนอนบนตักนั่นแหละ
“โซ่” ฉันแตะแก้มเขาเบาๆ เขาลืมตาขึ้นมามองกัน
“มึนหัว ขอนอนแป๊บหนึ่ง”
ฉันเลยแตะหน้าผาก แตะลำคอเขาเพื่อเช็กอุณหภูมิ มันอุ่นๆ เท่าตอนออกจากห้อง ไม่ได้ร้อนจี๋เหมือนตอนแรก แต่เห็นอาการเขาแล้วก็คิดกังวลว่าเขาอาจจะป่วยหนัก แค่ตัวไม่ร้อน
“โซ่ ไปหาหมอเถอะ”
“ถึงบ้านเธอก่อนค่อยว่ากัน” แล้วเขาก็หลับตาใส่เลย ฉันเอาแต่มองเขาด้วยความกังวล จนชินกับความกังวลนั้นแล้วความขัดเขินถึงค่อยๆ ซึมเข้ามาในใจ...เขาไม่เคยนอนตักฉันแบบนี้หรือเปล่า แม้จะเพราะเขาป่วยก็เถอะ
เริ่มสงสัยแล้วนะว่าโซ่ป่วยจริงหรือสำออย ถถถ
ทุกคนคะ จริงๆ ตั้งใจจะอัปนิยายทุกวัน แต่เมื่อคืนพ่อไรต์แอดมิทกะทันหัน บางวันอาจจะช้าหรือหายบ้างเด้อ