โซ่งีบไปแค่ยี่สิบนาทีเขาก็ลุกได้ ก่อนที่จะถึงบ้านฉันแค่ห้านาที
“เอายังไง จะกลับเลยหรือจะเข้าบ้านก่อน”
“น้าฝนกลับบ้านแล้วเหรอ”
“เห็นว่าจะกลับห้าทุ่ม” ตอนนี้ก็ประมาณสามทุ่มครึ่ง
“เข้าบ้านเธอก่อนก็ได้ เผื่อได้ไปโรงพยาบาล” ซึ่งคำตอบนั้นก็ทำให้ฉันเข้าใจว่าโซ่น่าจะไม่ไหวจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ออกปากว่าจะไปโรงพยาบาลเอง
“รบกวนเข้าไปส่งข้างในบ้านด้วยนะคะ พอดีเพื่อนหนูไม่สบาย” คือจากประตูรั้วจนถึงตัวบ้านก็พอสมควร เลยไม่อยากให้เขาเดินไกล ซึ่งคนขับรถก็ใจดีขับเข้าไปส่ง ฉันเลยให้ทิปเพิ่มจากค่าโดยสารอีกสองร้อย
เราสองคนเดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน เห็นว่าน้าเกมนั่งที่ห้องโถงใหญ่ ทั้งๆ ที่ปกติไม่ค่อยมีใครมานั่งตรงนี้หรอก ชั้นล่างเรามีห้องนั่งเล่น ห้องรับแขกถึงสามห้องด้วยกัน ห้องโถงตรงนี้ถ้าไม่ได้รับแขกเยอะๆ หรือจัดงานเลี้ยงก็ไม่ค่อยได้ใช้
“กลับมาแล้วเหรอ” เขาทักทายพวกเรา โซ่ยกมือไหว้อีกฝ่าย
“สวัสดีครับน้าเกม”
“อืม วันนี้มาดึกนะ” เขามองที่โซ่ เหมือนจะถามกลายๆ ว่าทำไมโซ่เข้าบ้านฉันในเวลานี้ ปกติถ้าแค่มาส่งก็จะส่งแค่หน้าบ้าน ไม่ได้เข้ามา
“โซ่เขาไม่สบายน่ะค่ะ หนูเลยชวนมาเล่นที่บ้านก่อน”
“ออ คุณพ่อไปงานกับคุณฝนสินะ” แม่ฉันกับพ่อเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน ทำธุรกิจด้วยกัน
“ครับ”
“อืม ตามสบายเถอะ”
เราสองคนเลยขอตัวเข้าห้องนั่งเล่นห้องเล็กหลังบ้าน ฉันเปิดไฟ เปิดทีวี ส่วนโซ่ก็ยึดโซฟาตัวยาวนอนเหมือนเดิม
“ยังไม่ได้กินยาใช่ไหม” ฉันถามในสิ่งที่คิดว่ารู้คำตอบอยู่แล้ว ซึ่งก็ยืนยันความถูกต้องโดยการไม่ตอบของโซ่นั่นแหละ เลยโทรหาป้าแม่บ้าน
“ป้านีคะ น้ำรินเพิ่งมาถึงบ้าน รบกวนป้านีทำข้าวต้มร้อนๆ สักสองถ้วยได้ไหมคะ เผื่อโซ่ด้วย เขาเป็นไข้ด้วยค่ะ รบกวนขอยาลดไข้ด้วยนะคะ”
ปลายสายตกปากรับคำฉันก็วางสาย หันมามองคนที่นอนบนโซฟาแบบเอาขายาวๆ พาดเลยขอบไปอีกทาง เห็นว่าโซ่มองฉันด้วยสายตานิ่งๆ แต่แฝงความหน่าย ถ้าด่าฉันได้ก็คงบอกว่ายุ่งไม่เข้าเรื่องอะไรประมาณนั้น
ซึ่งฉันก็ไม่สนใจเขา นั่งเล่นมือถือของตัวเอง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงป้านีก็ถือถาดข้าวต้มร้อนๆ เข้ามาในห้อง
“เสร็จแล้วเหรอคะ” พอฉันเอ่ยถามป้านีโซ่ก็รีบลุกจากโซฟา โคลงศีรษะขอโทษป้านีที่ตัวเองอาจจะดูไม่สุภาพเท่าไหร่ นอนขาชี้ให้เขายกอาหารมาเสิร์ฟ
“เป็นไข้เหรอคะ” แต่ป้านีก็ถามไถ่ด้วยรอยยิ้มใจดี ไม่ได้ถือสาอะไร
“ครับ ขอบคุณนะครับ”
“ป้ามีแค่พารานะคะ ไม่รู้ว่ามีอาการอย่างอื่นไหม ไอ หรือเจ็บคอหรือเปล่า”
“ไม่ไอครับ แต่เจ็บคอ”
“อืม ป้าก็ไม่กล้าเอาให้กิน กินข้าวต้มแล้วกินพาราไปก่อนแล้วกันนะคะ ถ้าไม่ดีขึ้นก็ไปหาหมอหรือไปร้านยา”
“เนี่ยถ้าไม่ดีขึ้นจะได้รบกวนลุงศรพาไปหาหมอนะคะ ไม่รู้แม่จะกลับตอนไหน”
“ได้ค่ะหนูน้ำริน เดี๋ยวป้าบอกลุงไว้”
“ขอบคุณนะคะป้านี ข้าวต้มหอมมาก” ฉันขอบคุณเธออีกครั้งก่อนที่เจ้าตัวจะออกจากห้อง แล้วก็คนข้าวต้มในถ้วยตัวเอง ได้กลิ่นหอมฉุยก็รู้สึกหิวขึ้นมาจริงๆ
ฉันตักข้าวต้มคำแรกเข้าปาก แต่โซ่ยังไม่กิน ก็เลยต้องขอยุ่งสักหน่อย
“กินสิ ป้านีอุตส่าห์ทำให้”
อ้างเหตุผลแบบนั้นแหละโซ่ถึงยอมกิน ฉันกินข้าวต้มเกือบหมดถ้วย แต่โซ่กินไปแค่ครึ่งเดียวเอง เขาคงจะป่วยจนกินอะไรไม่อร่อย ก็เลยไม่เซ้าซี้ให้เขากินเพิ่ม
“กินยาด้วย” แต่จู้จี้เรื่องยาแทน อีกฝ่ายส่ายหน้า หยิบยาที่ป้านีนำมาให้เข้าปากแล้วดื่มน้ำตาม จากนั้นก็ทิ้งตัวนอนตามเดิม โซ่ดูไม่เอาอะไรจริงๆ นอกจากนอน
เราก็อยู่ด้วยกันแบบนี้จนแม่ฉันกลับบ้าน แม่เดินเข้ามาหาฉันกับโซ่ในห้อง
“ได้ยินว่าโซ่เป็นไข้เหรอน้ำริน” มาถึงก็ถามเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นก่อนเลย ซึ่งคนถูกถามถึงก็รีบลุกขึ้นนั่ง ยกมือไหว้แม่ฉัน
“สวัสดีครับน้าฝน”
“เป็นไงล่ะลูก ไปหาหมอไหม เดี๋ยวน้าโทรบอกพ่อเรา”
“ไม่ต้องครับ กินข้าวกินยาดีขึ้นแล้ว กำลังจะกลับคอนโด”
“แล้วขับรถไหวเหรอ”
“เรานั่งแท็กซี่มาค่ะแม่” ฉันตอบคำถามนั้นแทนโซ่
“ออ งั้นเดี๋ยวน้าให้ลุงศรไปส่ง แต่ว่าตอนนี้ก็ดึกแล้ว โซ่นอนที่บ้านน้าดีกว่าไหม พรุ่งนี้ค่อยกลับคอนโด” ข้อเสนอของแม่ทำให้ฉันเพิ่งนึกได้ว่าทำไมตัวเองคิดไม่ถึงนะ เรื่องชวนโซ่นอนบ้าน
“ผมกลับคอนโดดีกว่าครับ พรุ่งนี้มีเรียนเก้าโมงเช้า กลัวรบกวนลุงศรแต่เช้า”
“โอ๊ย ลุงเขาตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้าจ้ะ ไม่รบกวนหรอก โซ่นอนนี่แหละ น้าก็เป็นห่วง กลับคอนโดก็อยู่คนเดียว ถ้ากลับบ้านก็ว่าไปอย่าง” ซึ่งโซ่น่าจะไม่อยากกลับบ้าน เขาไม่ลงรอยกับแม่เลี้ยงยิ่งกว่าฉันกับน้าเกมอีกมั้ง เป็นสายปะทะกันตรงๆ ด้วย
“ถ้างั้นรบกวนน้าฝนคืนหนึ่งก็ได้ครับ” คำตอบของโซ่ทำให้ฉันยิ้มกว้าง หันไปยกนิ้วโป้งให้แม่ที่ส่ายหน้าระอากับความออกนอกหน้าของฉัน แม้จะไม่เคยพูดกันตรงๆ แม่ต้องรู้อยู่แล้วแหละว่าฉันรู้สึกพิเศษกับเขา
“เดี๋ยวไปดูห้องข้างบนว่านอนได้ไหม แต่เขาก็ทำความสะอาดประจำนั่นแหละ”
“จริงๆ ผมนอนห้องนี้ก็ได้นะครับ”
“ไม่สบาย ไปนอนเตียงดีๆ เถอะลูก ปะ ขึ้นบ้านกันเถอะ”
แม่ชวนเราทั้งคู่ขึ้นชั้นสองของบ้าน ที่ปกติชั้นนี้จะมีห้องนอนไว้รับรองแขก ส่วนห้องนอนแม่กับฉันอยู่ชั้นสาม แต่ฉันขอแม่มานอนห้องชั้นสองได้สองปีแล้ว ก็ตั้งแต่ที่แม่แต่งงานกับน้าเกมนั่นแหละ
“โซ่นอนห้องนี้แล้วกัน ตรงข้ามห้องน้ำรินเขานั่นแหละ ไม่สบายกลางดึกก็เรียกเขาเลยนะ ถ้าเขาตื่น” แม่แซวฉันยิ้มๆ ก่อนจะเปิดประตูแล้วพาโซ่เขาไปในห้อง เปิดไฟเพื่อดูความเรียบร้อย
“น่าจะนอนได้ ป้านีทำความสะอาดประจำ”
“ได้ครับ ขอบคุณครับน้าฝน”
“จ้ะ ดึกแล้วพักผ่อนเถอะ” รีบตัดบทแล้วพาฉันออกจากห้องนอนโซ่ ซึ่งมันก็ควรแก่เวลาแล้วนั่นแหละ
“แม่น้ำรินเข้าห้องก่อนนะ”
“อืม ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว ดึกแล้วแม่ก็จะขึ้นห้องนอนเลยเหมือนกัน”
ฉันเปิดประตูเข้าห้องตัวเอง รีบเดินไปที่เตียงแล้วกระโดดขึ้นไปนอนคว่ำยิ้มกับหมอนเหมือนคนบ้า ณ วินาทีนี้มันรู้สึกดีจัง มันรู้สึกว่าเขาเป็นห่วง ยอมนั่งรถมาส่ง ยอมเข้ามาอยู่เป็นเพื่อน
ทำให้คิดเข้าข้างตัวเองต่อได้ว่าในท่าทีที่เหมือนจะไม่สนใจแถมยังอยากไล่ให้ไปไกลๆ ด้วยซ้ำนั้น โซ่ก็ยังมีความใจดีกับฉันอยู่ลึกๆ เหมือนตอนมอสี่ที่เราได้เป็นเพื่อนกันแบบจริงจัง
เหมือนตอนปอสองที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งเคยให้แหวนจองฉันเป็นเจ้าสาว...ถึงปัจจุบันเขาจะไม่จดจำอะไรเหล่านั้นเลยก็ตาม
ตั้งใจอยู่เป็นเพื่อนเขาก็บอกมาเถอะ เ ป็ น ห่ ว ง สะกดเป็นมั้ย
เออ ถึงว่าทำไมน้ำรินปักใจกับโซ่ขนาดนี้ ไปจองเขาเป็นเจ้าสาวแต่เด็กนี่เนอะ