ใสใจ

1164 Words
3 ปีก่อน แม่พาฉันไปเล่นบ้านน้าแซม เพื่อนสนิทแม่และหุ้นส่วนธุรกิจ ซึ่งนอกจากจะเจอน้าแซมกับน้าวิภรรยาของเขาแล้ว ยังเจอเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่รู้สึกคุ้นหน้าเหลือเกิน “สองคนจำกันได้ไหม น้าไม่ได้พาน้ำรินไปเที่ยวภูเก็ตมาสามปีแล้วมั้ง” พอแม่พูดมาถึงตรงนั้นฉันกับเขาก็หันมายิ้มให้กัน เหมือนเพิ่งจะนึกได้หรือมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร “โซ่เขาจะมาเรียนมอสี่ที่กรุงเทพฯ น่ะน้ำริน จะได้เตรียมพร้อมในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ยังไงก็ฝากเราดูแลด้วยนะ” “โซ่เรียนโรงเรียนเดียวกันกับน้ำรินเหรอคะน้าแซม” “ก็ว่าจะอย่างนั้น ก็ช่วยกันติวข้อสอบแล้วกันนะ จะได้เข้าโรงเรียนเดียวกันได้” “ดีเลย น้ำรินจะได้มีเพื่อน” ฉันก็จะย้ายโรงเรียนตอนมอสี่เหมือนกัน “แต่สัปดาห์หน้าก็ต้องไปสอบแล้ว” ฉันบ่นด้วยความตื่นเต้นนิดหน่อยเรื่องการสอบ “น้ำรินเรียนเก่ง ตั้งใจเรียน ไม่น่ากังวลหรอก นี่สายตาสั้นเท่าไหร่แล้ว คงอ่านแต่หนังสือ” น้าแซมชมกึ่งแซว คงเห็นว่าฉันเป็นเด็กแว่น บุคลิกคงแก่เรียนมาตั้งแต่เด็กๆ “โอย อ่านแต่นิยายกับการ์ตูนสิแซม เล่นแต่เกมด้วย” แม่ก็รีบขัดเพื่อนทันที แต่ก็เป็นความจริงทั้งหมดนั่นแหละ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ได้ตั้งใจเรียนหรอกนะ เรียนเต็มที่ หนังสือเรียนก็อ่าน แต่เวลาว่างที่มีก็ทุ่มไปกับการอ่านนิยาย การ์ตูนและเล่นเกม “เหลือเวลาหนึ่งสัปดาห์ก็ช่วยติวให้โซ่เขาหน่อยก็แล้วกัน” “ได้เลยค่ะ” ฉันตอบรับด้วยความเต็มใจไปอย่างนั้น แต่ก็ไม่คิดหรอกว่าน้าแซมจะให้โซ่มาอ่านหนังสือด้วยจริงๆ ซึ่งก็ติวไม่ยากเพราะโซ่เขาหัวดี แต่อาจจะเรียนๆ เล่นๆ ไม่ได้จริงจัง แต่สุดท้ายเราสองคนก็สอบได้โรงเรียนเดียวกัน ห้องเดียวกันด้วย โซ่เลยหมือนเป็นเพื่อนสนิทคนแรกของฉัน เรานั่งเรียนใกล้ๆ กัน แบบที่โซ่ก็มีกลุ่มเพื่อนชายของเขาสี่ห้าคน ส่วนฉันยังไม่มีกลุ่มเพื่อนที่ไปด้วยกันประจำ ไปกับใครก็ได้ ไปกับกลุ่มโซ่ก็ได้...หรือไปคนเดียวก็ได้ “ทำไมได้มานั่งคนเดียว” วินเดินเข้ามาถามฉัน แล้วทั้งกลุ่มก็นั่งที่โต๊ะด้วย โดยมีโซ่นั่งตรงข้าม “ไม่มีใครมากินข้าวโรงอาหารน่ะ ไปร้านเฟรชกันหมด” ที่โรงเรียนมีโรงอาหาร แต่ก็มีร้านอาหารหรือคาเฟ่มาเปิดในโรงเรียนด้วยเหมือนกัน วันนี้พวกฉันมีคาบว่างตอนบ่ายก็เลยนั่งเล่นรอคนว่างๆ ก่อน ค่อยมากินข้าวทีหลัง แต่เพื่อนๆ อยากไปนั่งแอร์เย็นๆ ในคาเฟ่ ส่วนฉันอยากมากินก๋วยเตี๋ยว ก็เลยแยกกัน “แกก็มากินคนเดียวเนี่ยนะ” วินยังสงสัยในตัวฉัน “อืม ทำไมเหรอ” “ก็ไม่ทำไม” เขาไหวไหล่ แล้วทั้งหมดก็ลุกไปซื้อข้าว เหลือแค่โซ่ที่นั่งเป็นเพื่อน “ไม่ไปซื้อข้าวเหรอ” ฉันถาม เขาส่ายหน้า “ไม่หิว จริงๆ มากินก่อนพวกนั้นแล้วรอบนึงตอนเที่ยง” ฉันยิ้มให้คำตอบนั้น โซ่ก็น่าจะเป็นคนหนึ่งที่แอบมากินข้าวคนเดียวได้ “ช่วงนี้เป็นอะไร ดูไม่จอย” คำถามนั้นทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความแปลกใจ โซ่จะสังเกตได้ขนาดนั้นเลยเหรอว่ามีอะไรผิดปกติ “ไม่มีอะไรนี่ โซ่ เย็นนี้ไปกินชาบูก่อนกลับบ้านไหม” ฉันเงยหน้ามองเขา คิ้วเข้มขมวดนิดๆ พอให้รู้ว่าเขามีความรู้สึกนึกคิดบางอย่าง เพราะดวงตาเหยี่ยวของเขามันนิ่ง ลึก แบบที่เดาความผิดปกติยาก “ค่อยว่ากัน” เขาตอบแบบนั้น แต่พอเลิกเรียนโซ่ก็ยอมไปกินชาบูเป็นเพื่อน แน่นอนว่าไปกันสองคน “โทรบอกน้าฝนหรือยัง” เขาถามตอนที่เรามาถึงร้านชาบูในห้างแล้ว “เดี๋ยวโทรตอนนี้แหละ” ฉันเลยโทรบอกแม่ระหว่างรอพนักงานจัดโต๊ะ ฉันมาโรงเรียนหรือไปไหนมาไหนแบบที่บ้านคอยไปรับไปส่ง ซึ่งบางวันก็ไปส่งโซ่ด้วย เพราะหมู่บ้านโซ่ก็ไม่ได้ไกลจากบ้านฉันเลย เป็นโครงการที่สร้างบนที่ดินมรดกแม่เลยละ ซึ่งก็เป็นโครงการของบริษัทของแม่กับน้าแซมที่ทำด้วยกันมาเกือบสิบปีแล้ว “แม่ วันนี้กลับบ้านดึกนะ มากินชาบูกับโซ่ น่าจะสักทุ่มสองทุ่ม” “เหรอ โทรบอกลุงศรด้วยนะ แล้วก็ไปส่งโซ่ที่บ้านเลย ไม่ต้องให้นั่งรถกลับเอง” “โอเค...โซ่แม่บอกว่าให้ลุงศรไปส่งที่บ้านเลยนะ” วางสายจากแม่ก็บอกข้อความนั้นกับเขาทันที ซึ่งโซ่ก็ไม่ได้ว่าอะไร “น่าจะเดือดแล้ว เอาผักลงดีกว่า” ฉันเปิดฝาหม้อชาบู หยิบผักลง แล้วก็ตามด้วยอาหารที่สั่งมา พอควันในหม้อลอยฟุ้งก็ต้องถอดแว่นไว้ เพราะควันเกาะ พยายามเพ่งเอาว่าอะไรเป็นอะไร “น้ำริน เวลาไม่ใส่แว่นเห็นชัดไหม” จู่ๆ เขาก็ชวนคุย ฉันเงยหน้ามองอีกฝ่าย ที่หน้าเขามัวๆ เบลอๆ “มันก็มัวๆ เบลอๆ แต่ยังพอเห็นว่าอะไรเป็นอะไร เนี่ย นายนั่งอยู่ตรงข้ามก็มัวแล้ว แต่ก็พอเห็นว่าเป็นหน้านาย แต่ถ้านายไปนั่งอยู่โต๊ะสองโต๊ะถัดไปน่าจะเดาไม่ออกแล้ว “แบบนี้ก็ต้องใส่แว่นตลอดเวลาใช่ไหม” “อืม แต่ถ้าอยู่ห้อง อยู่บ้านก็อาจถอดได้บ้าง มันพอคลำๆ เดาๆ ได้อะ แต่ก็เตะนู่นเตะนี่ประจำ ใส่ไว้ปลอดภัยกว่า” แล้วก็เกิดความเงียบชั่วขณะ เหมือนโซ่ก็ไม่รู้จะถามอะไรฉันแล้วเหมือนกัน ก็เลยชวนเขาคุยแทน “โซ่ ขอปรึกษาอะไรหน่อยได้ไหม” “หืม” เขาเงยหน้าขึ้นมามอง พยักหน้าแล้วก็คีบชาบูเข้าปากเรื่อยๆ “ที่นายถามเมื่อตอนเที่ยงว่าทำไมไม่จอย เฮ้อ ฉันก็ไม่อยากทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาแค่แม่จะแต่งงานใหม่หรอกนะโซ่ แต่มันใจสั่นๆ ยังไงไม่รู้ ฉันรู้สึกไม่อยากสนิทกับแฟนแม่ด้วย” “ไม่อยากสนิทก็ไม่จำเป็นต้องไปสนิท เรื่องของพ่อแม่ก็ให้เป็นเรื่องของเขาไปน้ำริน เราก็ยอมรับชีวิตส่วนตัวของเขาตรงนั้น แต่เราไม่จำเป็นต้องไปสนิทกับแฟนใหม่พ่อแม่ถ้าไม่สบายใจจริงๆ ไม่ได้ผิดหรือจะเป็นเด็กมีปัญหาอะไร ฉันว่าน้าฝนเข้าใจ” คำพูดยืดยาวของคนพูดน้อยค่อยๆ ทำให้ฉันโล่งทีละนิด จนเขาพูดจบก็เรียกว่าโล่งอกเลยละ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD