แต่ก็ไม่ปล่อยมือฉันเลย

903 Words
“โซ่อย่าบอกนะว่านายเหยียบแว่นฉัน” “เอ่อ อืม แตกเลย” ฉันอยากร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนี้เลย “เออ เดี๋ยวพาไปตัดใหม่” เขาดันไหล่ฉันให้นั่งลงที่ม้าหินอ่อนตามเดิม ขณะที่ฉันได้แต่ข่มความโมโหไม่อยากพูดอะไรกับเขา จนอีกฝ่ายเก็บของบนโต๊ะเสร็จก็ชวนฉันกลับ “ไป กลับ” “กลับยังไง มันมองไม่เห็นเนี่ย” “เดี๋ยวพากลับน่า ไม่พาไปทิ้งหรอก” โซ่ดึงฉันลุกจากม้านั่ง ซึ่งแม้ฉันจะโมโหเขาแค่ไหนก็ต้องยอมให้เขาจูงมือเดินออกจากตรงนั้น เพราะระยะเกินเมตรสองเมตรมันเบลอไปหมด “เฮ้ย ทำไมจูงมือกันกลับแบบนั้นวะ” ได้ยินเสียงเพื่อนผู้ชายในห้องแซว พยายามเพ่งมองแล้วก็ไม่รู้ว่าใคร “ทำแว่นมันแตกน่ะ” โซ่ตอบเพื่อน “โอ๊ย ไอ้โซ่มึง เออๆ จูงกันดีๆ แล้วน้ำรินมีแว่นอีกอันไหมเนี่ย” “อืม เพิ่งตัดแว่นใหม่ อันเดิมอยู่บ้านน่าจะพอแก้ขัดได้” “กูกลับก่อนนะ” โซ่บอกเพื่อน แล้วก็จูงมือฉันต่อ มันอุ่นๆ แล้วก็ใจสั่นๆ อยากให้เขากุมมือแบบนี้ไปตลอด...พอคิดแบบนั้นก็ตกใจตัวเอง “โซ่ เดี๋ยว ปล่อยมือก่อน” “อะไรอีก ปล่อยแล้วเดินเองได้เหรอ” “แบบนี้ฉันไปถนัด ไม่มั่นใจ” นอกจากเรื่องกลัวใจตัวเองมันก็เป็นเหตุผลจริงๆ ได้ยินโซ่ถอนหายใจแล้วก็ยอมปล่อยมือฉัน ฉันจึงมาจับเสื้อเขาไว้แทน เดินตามหลังเขานิดหน่อย “แบบนี้กว่าเหรอ” “ฮื่อ” แบบนี้ก็ยังรู้สึกดีไม่แพ้เดินจูงมือกันเลย มันอุ่นใจ ปลอดภัยว่าตัวเองจะไม่สะดุดอะไรถ้าเดินตามหลัง โดยมีคนตัวสูงบังไว้แบบนี้ จับเสื้อเขาไว้ แอบมองแผ่นหลัง มองต้นคอ มองเสี้ยวใบหน้า แบบที่โซ่คงไม่สงสัย...อยากให้ระยะทางมันทอดยาวออกไปอีกไกลๆ เลย “ไปตัดแว่นก่อนไหม” เขาถามหลังจากที่เราเดินมาถึงประตูโรงเรียน “ตัดเลยก็ดี พรุ่งนี้ค่อยมาเอา” “มันไม่ได้เลยเหรอ” “ก็แล้วแต่อะ แล้วแต่ว่าร้านมีเลนส์ไหม ถ้ามีก็รอประมาณสองชั่วโมง หรือจะเปลี่ยนใจกลับก่อน” “ไปตัดไว้เลยนั่นแหละ เดี๋ยวเธอไปฟ้องพ่อว่าฉันไม่มีความรับผิดชอบ” ฉันเบ้ปากใส่คนหาเรื่อง โซ่หันกลับมามองพอดี ช่างเขาเถอะ ฉันไม่เห็นชัดขนาดนั้นหรอกว่าเขามีสีหน้าแววตายังไง “เดี๋ยวฉันเรียกรถ” “ไม่เดินไปเหรอ” ห้างสรรพสินค้าไม่ไกลจากโรงเรียนมาก ปกติเราชอบเดินไปมากกว่าจะเรียกรถ ความวัยรุ่นก็งี้แหละ เดินไปมันทันใจกว่า “ไม่อะ มีตัวภาระ เดี๋ยวสะดุดโน่นสะดุดนี่” นั่นปากเหรอ ฉันได้แต่หงุดหงิดในใจ แต่ไม่อยากเถียงกลับ ขอคิดว่ามันคือการแสดงความห่วงใยในแบบของโซ่ก็แล้วกัน เราใช้เวลาในการนั่งรถมาห้างราวๆ สิบนาที ช้ากว่าเดินมาอีก ซึ่งพอลงจากรถฉันก็ดึงเสื้อเขาไว้เหมือนเดิม แต่พอเดินเข้ามาในห้าง ที่ผู้คนพลุกพล่านในเวลานี้ โซ่ก็ดึงฉันขึ้นมาข้างๆ กัน แล้วก็โอบไหล่ฉันชิดตัวเลย “มีอะไรเหรอ” เพราะใจมันสั่นกับสัมผัสนี้ก็เลยต้องถามแก้เขิน “คนเยอะ” โซ่อธิบายแค่นั้น ก็เข้าใจว่าเขาคงกลัวทำฉันหายมั้ง ช่างเขาเถอะ จะโอบไหล่โอบอะไรก็โอบไป ส่วนฉันก็ยังดึงเสื้อเขาไว้เพื่อความอุ่นใจ “ตัดแว่นร้านนี้ไหม” “ร้านนี้แหละ” “อ่านชื่อร้านออกเหรอ” “ไม่ออก แต่จำสีร้านได้” จะมาพิสูจน์ว่าฉันสายตาสั้นจริงปลอมหรือไง โซ่ปล่อยมือจากไหล่ฉัน แต่ก็จูงมือเข้าไปในร้าน แล้วก็ถามพนักงานให้เลย “พี่ครับ ผมทำแว่นเธอแตก ช่วยดูให้หน่อย” “ออ ค่ะ เชิญค่ะ สั่นเท่าไหร่คะเนี่ย” “หกร้อยค่ะ” “โอ ถึงว่าได้จูงกันมา มาค่ะ มาวัดสายตาก่อน เดี๋ยวน้องผู้ชายช่วยกรอกข้อมูลให้พี่ก่อนนะคะ” “บัตรประชาชนอยู่ในกระเป๋าตังค์นะ” ฉันส่งกระเป๋านักเรียนให้โซ่ เผื่อเขาต้องใช้ในการกรอกข้อมูลให้ร้าน พี่พนักงานจูงฉันเข้าไปในห้องสำหรับวัดสายตา ซึ่งก็ใช้เวลาราวๆ ยี่สิบนาที “จะได้วันนี้เลยไหมคะ” “ได้ค่ะ เดี๋ยวเราเลือกกรอบไว้เลย ไม่เกินชั่วโมงน่าจะเสร็จ” ตอนนี้ฉันใส่เลนส์ที่ร้านให้ลองใส่ดูก็เลยพอมองเห็น และเลือกกรอบได้ “พี่คะ ขอยืมใส่ออกไปนอกร้านได้ไหม” เฟรมวัดสายตามันอาจจะดูตลกแต่ก็ดีกว่ามองไม่เห็น “กล้าใส่ออกไปเหรอ” แต่ดูเหมือนโซ่จะไม่เห็นด้วย “ก็ดีกว่ามองไม่เห็นไหมอะ” “ถอดเลย ฉันไม่กล้าเดินด้วย” แล้วเขาก็มาดึงเฟรมวัดสายตาออกไปคืนพี่พนักงาน โลกที่สดใสของฉันก็มืดมัวลงในพริบตา แต่ใจฉันสว่างไสวยิ่งกว่า เมื่อเขากุมมือฉันไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะพาเดินไปไหน จับมือบ้าง โอบไหล่บ้าง โอบเอวบ้างแล้วแต่สถานการณ์ แต่ไม่ปล่อยให้ฉันเคว้งเลยสักครั้ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD