แฟน ปาก หมา :: EPISODE III Look What You Made Me Do

2870 Words
        "เอาไงเนี่ยหมอ จะไปไม่ไป" ขวัญทำหน้าเซ็งๆใส่ผมที่กำลังลังเลระหว่างขับรถไปห้างกับขับกลับบ้าน ผมยังไม่ได้ตัดสินใจอ่ะว่าจะไปกินไก่ดีมั้ย คนข้างๆเลยทำหน้าบึ้งตึงใส่ผมอยู่นี่ไง         99% คือผมอยากกลับบ้านไปนอนพักมาก เมื่อคืนผมไม่ได้นอน ถ้าไปกินไก่ตอนนี้...คงไม่ไหวว่ะ         แล้วดูขวัญดิ แม่งมองเหมือนบังคับให้ไปอ่ะ         "ไม่ไป" ผมส่ายหัวแล้วบิดกุญแจสตาร์ทรถ         ผมไม่ใช่คนขับขับรถหรูๆแอร์เย็นๆนะ ทำความเข้าใจกันใหม่ ผมขับมอร์ไซด์คันใหญ่ๆ ใส่เสื้อหนังกับหมวกกันน็อคอ่ะ มันเป็นสไตล์ ยูโน้ว?         "โห้วววววว" จากตอนแรกที่ทำหน้าเซ็งๆตอนนี้ขวัญแม่งคอตกเลยอ่ะ ไม่เอามือเกาะเอวผมด้วย "หมอแม่ง..."         "เข้าใจหน่อยดิ ทำงานทั้งคืนนะเว้ย" ผมหันไปบอกก่อนจะยื่นหมวกกันน็อคอีกอันให้ขวัญใส่ เธอรับไปแต่ก็ไม่ยอมใส่ ผมเลยออกรถไม่ได้         "เออ เข้าใจ แต่มันเซ็ง! เซ็งอ่ะเซ็ง" ขวัญพ่นลมหายใจออกมาแต่ก็ยอมใส่หมวกกันน็อคด้วยสีหน้าบูดๆ         งอนอีกละ ปากแม่งบอกว่าเข้าใจแต่มางอนใส่นี่หมายควายว่าไงวะ         ผมไม่ได้สนใจอาการคนด้านหลังแล้วออกรถทันที จนคนด้านหลังต้องเอามือมาเกาะเอวผมไว้กันตก ผมเห็นใบหน้าเล็กๆนั่นเบ้ปากมาตลอดทางจนถึงบ้านก็ยังไม่เลิก         "งั้นพรุ่งนี้ไปส่งหน่อยดิ" ขวัญเริ่มหาเรื่องอื่นมาทดแทนการที่ผมไม่พาไปกินไก่ เธอโดดลงจากรถแล้วถอดหมวกกันน็อคยื่นให้ผม         "ขวัญเห็นถาว่างขนาดนั้น?" ผมย้อน         "พรุ่งนี้เช้าหมอว่าง อย่ามา" คนมีตารางเวรชี้หน้าผมอย่างรู้ทัน         แม่ง...เถียงอะไรไม่ได้เลย         "ไม่มีขาหรอ ไปเองไม่เป็น?" ผมว่าอย่างกระเง้ากระงอด         "ดูพูด เดี๋ยวตบปากแตก" ขวัญยกมือขึ้นจะตบแต่ก็ลดมือลงแล้วทำท่าหมั่นไส้ใส่ผมแทน "ขวัญไปทำงานวันแรกอ่ะ ไปส่งหน่อย ไปเหอะ"         "ขี้เกียจอ่ะ เนี่ย...ถ้าขวัญไปเองก็ถือเป็นการลดน้ำหนักไปด้วยไง จะได้ผอมๆ" ผมลงจากรถแล้วส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ เอาหมวกกันน็อคไปเก็บที่ตู้เก็บของหน้าบ้าน         "หมอนี่ยังไงวะ อันนั้นก็ไม่เอา อันนี้ก็ไม่เอา"  ขวัญมองหน้าผมด้วยสีหน้างอนๆ หน้าเชิด 45 องศา สายตากดลงเล็กน้อย ท่าทางแบบนั้นอ่ะ ผมรู้เลยว่ามันจะต้องมีคำพูดอันหดหู่หลุดตามออกมาแน่         "นี่ไม่แคร์กันแล้วใช่ป่ะ เดี๋ยวนี้ชวนไปไหนก็ไม่ไป ชวนทำอะไรก็ไม่ทำ"         นั่นไง กูพูดผิดที่ไหนอ่ะ         "..." ผมไม่ได้ตอบอะไรไป อาการแบบนี้ผมแม่งรับมือมาเป็นร้อยครั้ง ยิ่งพูดทุกอย่างแม่งยิ่งแย่ เอาจริงๆปล่อยให้หายเองเป็นอันดีสุด         "ไม่ตอบนี่คือไรอ่ะ" ไม่ตอบกูก็ผิดอีก พูดก็ผิดไม่พูดก็ผิด ฉิบหายเอ้ยยย         "ก็ไม่อยากเถียงไง" ผมว่าแล้วไขกุญแจเดินเข้าบ้าน คนตัวเล็กก็เดินไล่ตามมานั่งที่โซฟาด้วย         ไม่เลิกไม่ลาใช่มั้ยเนี่ย ห้ะ?         "จะบอกว่าขวัญงี่เง่าหรอ เห้ย นี่แค่ขอให้ไปส่งแค่นี้เองนะ" เอ้า...มโนไปนู่น         "ถาพูดยังว่าขวัญงี่เง่า ยังไม่ได้พูดเลย คิดไปเองว่ะ มโนไม่เข้าท่า" ผมส่ายหัวเบาๆกับท่าทีอีกคน         ตอนแรกผมกับขวัญแยกกันอยู่น่ะ แต่หลังจากจบมหาลัยแล้วแม่ผมเลยให้มาอยู่บ้านท่านที่ซื้อไว้ให้ผมแทน ก็นะ ผมกับขวัญก็ถึงช่วงอายุที่พ่อแม่ควรตัดหางปล่อยวัดได้แล้วอ่ะ แต่พอยิ่งมาอยู่ด้วยกัน แม่งยิ่งหนักกว่าเดิม เรื่องทะเลาะกันนี่ไม่ต้องพูดถึง บางทีทำประชดใส่กันจนผมก็ทนไม่ไหวต้องเป็นคนยอมเอง นี่อยู่ด้วยกันไม่ถึงปีเองนะ...         ไม่อยากจะคิดว่าถ้าอยู่ไปเป็นสิบปีจะเป็นยังไง กูล่ะท้อ         "พูดดีๆหน่อยดิวะไอ้หมอ ปากแบบนี้ไงถึงไม่มีใครอยากคบด้วยอ่ะ" ไม่พูดเปล่า ขวัญแม่งเอาหมอนอิงมาโยนใส่ผมอย่างแรง เธอเป็นเริ่มก่อนนะเว้ย ผมยังไม่ได้รุนแรงเลย         นี่เริ่มหงุดหงิดแล้วนะ เหนื่อยก็เหนื่อย กลับมายังต้องเจออะไรแบบนี้อีก ฉิบหาย         "คนอยากคบด้วยตั้งเยอะแยะ ใครกันแน่วะที่ไม่มีคนอยากคบด้วย อิช้างน้ำ!" ผมปาหมอนใส่เธอกลับบ้าง จนคนตัวเล็กที่ยืนอยู่เซไปเลย         ปามาปากลับ คนอย่างไอ้คาถาไม่เคยโกง!         "ไอ้เหี้ยหมอ!!" ขวัญกัดปากมองผมตาโต         "อะไรอิปอป!" ผมตวัดสายตามองเธออย่างหงุดหงิด         "ปลอบขวัญเว้ย!"         "ปอปปปปปปปปปปปปปป"         ขวัญแม่งเหมือนเดือดขั้นสุดแล้วตอนที่ผมลากเสียงกวนตีนเธอแบบนั้น จะว่าผมเป็นพ่อบ้านใจกล้าก็ได้อ่ะ กลัวมงกลัวเมียอะไรไม่มีหรอก คบแรกๆก็เกรงใจแหละ หลังๆมาเริ่มไม่มีละไอ้ความเกรงใจ อยู่ในจุดที่ตบกันได้คือตบอ่ะ         "เออ! ได้!! ไม่ไปส่งก็ไม่ไป งั้นก็เลิกแม่งไปเลย" ขวัญทำท่าเหมือนโบกมือไล่ผมด้วยอารมณ์เดือด         ทำไมผู้หญิงเวลาทะเลาะกันทีไรต้องอ้างเรื่องเลิกตลอดเลยวะ คิดว่าผมไม่กล้าเลิกรึไง         คิดว่าตัวเองเซ็งอยู่คนเดียวหรอวะ นี่ก็เบื่อแล้วเหมือนกัน         "เออ! อยากเลิกก็เลิกไปเลยอิอ้วน!!"         ขวัญเหมือนจะชะงักไปซักแปปนึงแต่ก็ยังคงเชิดหน้าขึ้นเหมือนเดิม กัดริมฝีปากตัวเองจนห่อเลือดมองผมที่นั่งตรงโซฟาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรกับคำว่าเลิกนั้น เพราะผมรู้ไงว่าคำว่าเลิกของเธอแม่งไม่ต่างอะไรจากมุขที่เล่นกันในคาเฟ่         "ด๊ายยยยย!!"         ผมเห็นขวัญพูดแค่นั้นแล้วก็เดินปึงปังขึ้นไปบนบ้าน ผมรู้ตัวว่าคืนนี้แม่งคงไม่ได้นอนในห้องแน่ ยังโชคดีที่ทะเลาะกันบ่อยจนผมไปขนของตัวเองส่วนหนึ่งไปไว้ในห้องรับแขกที่อยู่ชั้นล่าง ช่างแม่งเหอะ ไม่นานเดี๋ยวก็หาย         ผมคิดแบบนั้นแหละ เพราะทุกครั้งที่งอนเรื่องไม่เป็นเรื่องมันก็จะเป็นแบบนั้น แต่ครั้งนี้มันแตกต่างว่ะ         แตกต่างตรงไหนอ่ะหรอ...         ตรงที่ผมตื่นมาตอนสายๆด้วยความที่หิวนอนขั้นสุด ตื่นมาด้วยความมึนๆ ในบ้านไม่มีใครแล้ว ขวัญคงออกไปตั้งแต่เช้า ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำชั้นบนเพื่อเอาแปลงสีฟันตัวเองและมีดโกนหนวดตัวเองออกมาไว้ห้องน้ำด้านล่าง         และตอนที่ผมบีบครีมโกนหนวดลงหน้าอย่างปกติ แม่งครีมโกนหนวดผมคือเหี้ยอะไรไม่รู้แม่งแสบหน้าสัสๆ         ล้างหน้าออกมาพบว่ามันไม่ได้เป็นที่ครีมโกนหนวด มันเป็นที่มีดโกนหนวดที่ผมใช้เหมือนมันมีผงอะไรติดอยู่ซึ่งผมก็ไม่ได้สังเกตุ แม่งแสบหน้าเหี้ยๆอ่ะ จนผมต้องโยนไอ้มีดโกนหนวดนั่นทิ้งถังขยะ         "..." ผมจิ๊ปากมองตัวเองในกระจกใบหน้าครึ่งเกือบครึ่งแดงเถือกแสบๆร้อนๆ ผมรู้ว่าแม่งเป็นฝีมือใคร...         ขวัญไม่ใช่คนที่ยอมใครง่ายๆอย่างที่ผมคิดเมื่อ 5 ปีก่อน ตอนนั้นเธอก็ใสๆอ่ะ แต่ตอนนี้แม่งแตกต่างราวฟ้ากับเหว ไอ้ที่โกรธผมเมื่อวานแม่งคงแค้นมากมั้ง อิปีศาจ แสบนัก!!         จะเปิดสงครามใช่มั้ยอิอ้วน ได้!!         [พาร์ท ปลอบขวัญ]         ฉันเอาบัตรพนักงานบริษัทแตะที่เครื่องสแกนอย่างเซ็งๆ คนมันโมโหอ่ะเข้าใจป่ะวะ         ไอ้หมอก็แม่ง...         โอ้ย เซ็งมันอ่ะ คิดแล้วอารมณ์เสีย ยิ่งฉันตื่นมาฉันก็ยิ่งโมโห ไม่อยากจะเลิกหรอกแค่พูดประชดไปงั้นอ่ะ ไม่คิดว่าหมอมันจะตอบกลับมาแบบนั้นป่ะวะ ยิ่งตอบแบบนั้นฉันก็ยิ่งโมโห เลยระบายโดยการเอาผงพริกที่ฝากเพื่อนซื้อมาจากเกาหลีโรยใส่ที่โกนหนวดมันซะ สะใจดี         ไอ้หมอมันเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันมาทำงานด้วยอาการกระฟัดกระเฟียดจนยามแม่งมองฉันแปลกๆอ่ะ ฉันไม่อยากเริ่มงานด้วยอารมณ์แบบนี้เลยว่ะ อุตส่าห์ได้งานดีๆแล้วแท้ๆ         "น้องปลอบขวัญใช่มั้ยคะ?" พี่เลขาที่ฉันต้องมาเป็นผู้ช่วยถามขึ้นเมื่อเห็นฉันยืนเด๋ออยู่หน้าลิฟต์ชั้นบนสุด         ลืมบอกไป ที่นี่เป็นบริษัทไอทีน่ะ มีระบบความปลอดภัยที่รัดกุมมาก ขึ้นลิฟต์มันก็จะให้มีสแกนว่าเป็นพนักงานระดับไหน ตึกนี้มีทั้งหมด 25 ชั้น 5 ชั้นบนสุดของตึกคือระดับชั้นบริหาร พนักงานปกติแตะบัตรที่ลิฟต์ก็ขึ้นไม่ได้หรอก เป็นไงล่ะ งานฉันโคตรเจ๋งเลยป่ะล่ะ         "ใช่ค่ะ" ฉันพยักหน้าตอบ         "คุณเพียงเพชรบอกให้เข้าไปพบน่ะ ด่วนเลยนะ" พี่ที่น่าจะอายุประมาณสี่สิบปลายๆบอกเสียงกระซิบ         ฉันรู้จักพี่เค้าแหละ ชื่อนภา ส่วนใหญ่คนเรียกพี่ภา แกเป็นคนคัดเลือกฉันเองอ่ะ พอเห็นว่าเรียนที่เดียวกันแถมฉันยังได้เกียติรนิยมแกเลยเลือกฉัน         "ภรรยาของประธานหรอคะ" ฉันถาม เพราะว่าประธานบริษัทนี้จะอายุพอๆกับพี่ภา แต่ครอบครัวประธานก็อยู่ในบอร์ดบริหารด้วย คิดว่าบ้านนี้เมียน่าจะเป็นใหญ่อ่ะนะ จากที่เคยฟังๆมา         "ไปเร็ว" พี่ภาพยักหน้าตอบแล้วฉวยเอากระเป๋าเป้ฉันไปวางไว้บนโต๊ะว่างที่ข้างๆแกแถมยังผลักให้ฉันเข้าห้องอีก         "พี่ภา นี่ขวัญโดนเรียกตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานเลยหรอ" ฉันชะงักเท้าไว้แล้วหันถามพี่ภาที่ยังยื้อตัวฉันให้ผ่านประตู         "ไม่มีอะไรหรอก ไปเหอะ"         "แต่..." ได้ข่าวว่าเมียประธานดุไม่ใช่เรอะ!!         "ไปปปปปป๊"         ผัวะะะะ         เชี่ย...พี่ภาแม่งผลักฉันที่ลีลาอยู่หน้าประตูเข้ามาในห้องเฉยเลย         "..." ผู้หญิงที่นั่งเก้าอี้ตรงโต๊ะตรงกลางห้องมองฉันด้วยสีหน้าตกใจปนๆกับแปลกใจ นี่เมียประธานจริงดิ สวยจังวะ         "เอ่อ..." ฉันเริ่มระล่ำระลักทำตัวไม่ถูกก่อนจะยกมือขึ้นไหว้เธอแล้วค่อยๆกระดึ๊บเท้าเข้าไปใกล้         "คนที่ภาหามารึเปล่า?" เธอพยักหน้าเชิงรับไห้แล้วกวักมือเรียกให้ฉันไปยืนตรงหน้า สวยจริง...แต่แบบสวยแบบดุๆมีอายุอ่ะ หางตานี่แบบชี้ขึ้นเหมือนเป็นคนเจ้าระเบียบอ่ะ         ตาย ตาย ตาย ฉันแพ้แรงกดดันจากหัวหน้าแบบนี้อ่ะ เครียดจาดไอ้หมอไม่พอยังมาเจอมรสุมงานนี่ไม่ไหวนะ         "ใช่ค่ะ" ฉันพยักหน้าตอบ         "ชื่ออะไรล่ะเรา"         "ปลอบขวัญค่ะ"         "อื้ม..." เธอพยักหน้าเบาๆ "จบบริหารม. S ใช่มั้ย?"         "ใช่ค่ะ" เชี่ย...ทำไมฉันต้องก้มหน้าหลบตาเธอด้วยวะ มันแลดูเหมือนมีรังสีบางอย่างอ่ะ         "อันดับ 2..." เธอพูดเบาๆกับตัวเองแล้วก็เปิดดูเอกสารที่น่าจะเป็นข้อมูลฉัน "โอเค ฉันจะพูดสั้นๆแบบรวบรัดนะ"         "ค่ะ"         "ตอนแรกฉันก็ให้ภาไปหาอันดับ 1 ของม.S มาแหละ แต่คู่แข่งดันมาโฉบไปซะก่อน เธอเป็นอันสองดูจากคะแนนก็น่าจะไม่ต่างกันเท่าไหร่"         "คะ?"         "พอดีลูกชายฉันเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกและไอ้เด็กนี่ค่อนข้างจะ..." เธอกรอกตามองบนแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะโบกมือปัดๆอย่างไม่สนใจ "ช่างมัน ฉันมีงานให้ทำ งานง่ายๆ แค่ทำให้ลูกฉันสอบไล่บริหารม.Sจบภายใน 2 ปีและต้องติดอันดับ 1 ใน 3 แค่นั้นแหละ"         "ค่ะ...คะ? ค้ะ?" ตอนแรกที่ได้ยินฉันก็พยักหน้ากับคำว่างานง่ายๆ แต่...         เดี๋ยวนะ...         เดี๋ยวๆ ทำให้สอบไล่บริหาร ม.S ให้จบ 4 ปีตามเกณฑ์ก็ว่ายากแล้วนะ นี่เธอจะเอาให้จบภายใน 2 ปี กล้ามากค่ะ กล้าใช้คำว่าแค่มาก แค่2ปีพูดออกมาได้ไงงง อีกอย่างคือต้องคิดเกียรตินิยม 1-3 นี่คือร้ะ ตลกกกก         "ไม่ทำหรอ?" เธอส่ายหัวมองฉันที่ตอนนี้เอ๋อแดกเป็นที่เรียบร้อย         "คะ..คือว่ามันไม่ง่ายเลยนะคะ ถ้าให้จบตามเกณฑ์อาจจะ..." ฉันยังไม่ทันจะพูดจบก็...         "ให้เรทสูงสุดจบได้ 3 ปีนี่น่าจะพอเนอะ" คุณท่านก็แทรกมาด้วยสีหน้าที่โคตรชิล ชิลจ้า ชิลลี่ทวินมากค่าาาาา         "..." ฉันเริ่มพูดไม่ออกเลยอ่ะ ไม่เคยเจอคนแบบนี้อ่ะ นี่ฝันอยู่ป่ะ เมื่อวานยังทะเลาะกับไอ้หมออยู่เลยอ่ะ         "เงินเดือนก็เท่ากับที่ตกลงกันไว้นะ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เกรดเฉลี่ยของลูกฉันได้เต็ม เธอจะได้โบนัสพิเศษด้วย ก็ถ้าไม่ทำก็ไม่เป็นไร จริงๆฉันก็ไม่ได้อยากได้เลขาอยู่แล้วด้วย" เธอส่ายหน้าแล้วชี้ไปที่ประตู ฉันก็มองตาม         พอสมองทำงานก็เก็ท...         "หมายถึงไล่ออกหรอคะ?"         "เก่งมากจ้ะ!" เธอปรบมือให้ฉันทีเดียว ทีเดียวจริงๆ         แปะ... แค่นั้นจบ         ยอม! กวนตีนกว่าไอ้หมอก็เมียประธานบริษัทนี่แหละ!!         "โอเคเลยค่ะ ทำค่ะ ทำแน่นอนค่ะ" ความที่ฉันไม่อยากหางานใหม่ และเงินเก็บฉันก็หมดแล้วด้วย ทะเลาะกับไอ้หมออยู่ด้วยไม่อยากไปขอเงินหมอมัน อีกอย่างเงินเดือนที่นี่ก็โคตรจะให้ดีมากๆ ถ้าได้โบนัสอีกก็โคตรจะดี         ด้วยความหน้าเงิน ฉันตอบกลับไปแบบนั้นโดยไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น         หลังจากคุยรายละเอียดเสร็จพี่ภาก็พาฉันไปชั้นที่ 22 ระหว่างทางพี่ภาก็ขอโทษฉันยกใหญ่ ถ้าจะจ้างให้ฉันมาติวเข้มฉันคงไม่รับแน่อ่ะ เรียนบริหารมาป่ะวะ ไม่ได้เรียนครู พูดกับคนธรรมดายังไม่ค่อยจะรู้เรื่องจะให้มาติวลูกชายบริษัทไอทีนี่แม่ง... เออ ช่างเหอะ ได้ข่าวว่าเพิ่งกลับมาจากเมือกนอก สมองคงไม่ใช่ขี้ๆอ่ะ         พี่ภาไม่ได้ให้รายละเอียดฉันเกี่ยวกับลูกประธานมากเพราะพี่เค้าก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าชื่อเพ็น ไปอยู่เมืองนอกหลายปี เคยเห็นหน้าแค่ไม่กี่ครั้ง ตอนแรกฉันก็คิดว่าเป็นเด็กจบเกรด 12 หน้าใสๆมาจากเมืองนอก พอเปิดประตูเข้าไป...         บอกที...         ไอ้คนที่อมลูกอมยิ้มมองมาที่ฉันด้วยสายตาแบบนั้นคือลูกประธาน อืม...หน้าแก่กว่าที่คิดไว้เยอะมาก ถามว่าหล่อมั้ย...ก็นิดนึง แต่นี่มันแฟชั่นอะไรวะ แต่งตัวแม่งไม่ดูสภาพอากาศเมืองไทย ใส่เสื้อเกือบสามชั้นได้ ฉันเลยหันหน้าไปหาพี่ภาเชิงถามว่า...         'ไอ้นี่อ่ะนะที่จะให้ฉันติวเข้าให้'         ฉันเดินเข้าไปก็ไม่ได้พูดอะไรมาก พี่ภาก็มานั่งข้างๆฉัน ในห้องมีกระดานสีขาวขนาดใหญ่ แมคบุ๊ก และอุปกรณ์อื่นๆครบครับ ทั้งหนังสือหนังหาเอย ด้านหน้ามีแฟ้มประวัติการเรียนของเพ็นวางอยู่ ฉันก็เดินเข้าไปเปิดแบบเงียบๆ สิ่งแรกที่อยากจะกุมขมับคือ         หมอนี่เป็นรุ่นน้องฉันแค่ปีเดียว ย้ำนะว่าปีเดียว ซึ่งถ้าเทียบคือเขาควรจะจบมหาลัยได้แล้ว แต่หน้าแม่งไปไกลมากอ่ะบอกเลย และที่หนักกว่า...         การศึกษาสูงสุดของลูกประธานที่เคารพรักคือเกรด 12 ย้ำ เกรด 12 เทียบโอนเป็นของไทยคือ ม.6 ที่อยากจะถามหลังเปิดหน้าแรกของประวัติดูเลยคือ แกเอาเวลา 5-6 ปีไปทำอะไรวะ!!         แล้วดูประโยคแรกที่ลูกประธานทักฉัน...         "นี่ใครอ่ะ พี่เป็นครูหรอ หน้าไม่เหมือนครูเลยอ่ะหน้าเหมือนเป็นเด็กส่งของ เด็กส่งของป่ะเนี่ย"         เออดี...ทะเลาะกับแฟนไม่พอ ยังต้องมาเป็นครูให้คนแบบนี้อีก อิปลอบขวัญเครียดจริงๆอ่ะคราวนี้ ขอแบบหยาบๆแบบไม่เกรงใจคนจ้างงานเลยนะ ใครช่วยเอาเด็กเวรนี่ไปเก็บที คนยิ่งรมณ์ไม่ดี อีท่าทางดูเอาแต่ใจแบบนี้กับท่านั่งไขว้ห้างนี่โคตรจะไม่โอเค ปากแบบนี้อีก...         นี่แม่งไอ้หมอสองชัดๆ!!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD