บทที่สี่ #ตามหา

2221 Words
“นายว่ายังไงนะ?” ชายหนุ่มละสายตาจากเอกสารตรงหน้าขึ้นมองเลขาคนสนิท วันนี้เขายุ่งมาก ทั้งต้องประชุมคอนเฟอเรนซ์ ต้องคุยงานกับลูกค้า ไหนจะต้องเซ็นเอกสารกองท่วมหัวพวกนี้อีก ทำเอาสองสามวันมานี้เขาเหนื่อยจนสลบคาเตียงเลย “ฉันเจอผู้หญิงคนนั้นแล้ว” แดนรบชะงักเล็กน้อยโยนปากกาในมือทิ้งทันที “หมายถึงเธอคนนั้น? ไปเจอที่ไหน? แล้วตอนนี้เธออยู่ไหน?” “เธอมาหานายที่บ้าน เมื่อวานฉันเช็คกล้องวงจรปิดย้อนหลังถึงได้รู้” “มาหาฉัน? เมื่อไหร่?” คิ้วเข้มขมวด ผู้หญิงคนนั้นมาหาเขาที่บ้านงั้นเหรอ… ทำไมเขาถึงไม่รู้เลยล่ะ? “เมื่อสองวันก่อน เธอมาหานายที่หน้าบ้าน เจอกับแม่บ้านของนาย ทั้งคู่ยืนคุยกันไม่กี่ประโยคเธอก็เดินจากไป” ตอนพูดเรื่องนี้ น้ำเสียงกวินน์ติดเย็นเหยียบเล็กน้อย แดนรบหรี่ตาจับผิด “เปิดคลิปให้ฉันดู เดี๋ยวนี้” กวินน์หยิบแฟรชไดรฟ์จากกระเป๋าส่งให้เจ้านาย เขาเปลี่ยนมายืนด้านหลังแดนรบโดยไม่พูดอะไรอีก จอคอมพิวเตอร์ปรากฏคลิปวิดีโอเป็นภาพหน้าประตูรั้วบ้านของเมื่อสองวันก่อน ตอนแรกในคลิปไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ทว่าไม่ถึงหนึ่งนาทีบริเวณมุมกล้องปรากฏร่างอวบใหญ่ของหญิงสาวคนหนึ่งขึ้น เหมือนว่าเธอกำลังเดินออกมาจากในซอย ดวงตาคมหรี่มองร่างนั้นตาไม่กะพริบ แม้ว่ากล้องวงจรปิดของเขาจะมีความละเอียดสูงมาก แต่ก็ยังคงมองใบหน้าเธอได้ไม่ชัดเจนเหมือนครั้งก่อนไม่มีผิด [มีอะไร?] เสียงแม่บ้านซึ่งทำงานให้เขามาหลายปีดังขึ้น [มายืนด้อม ๆ มอง ๆ อะไรหน้าบ้านคนอื่น คิดจะขโมยของเหรอยะ!] [มะ ไม่ใช่นะ!] เสียงหวานใสละล่ำละลักตอบกลับ คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย เขาจำเสียงนี้ได้… เธอคือคนเดียวกับผู้หญิงในคืนนั้นจริง ๆ ด้วย! [คะ คือว่า… คุณแดนรบอยู่ไหมคะ?] จากมุมกล้องทำให้แดนรบมองไม่เห็นสีหน้าของคนทั้งคู่ แต่กลับได้ยินเสียงชัดทุกถ้อยคำ แม้แต่เสียงเหยียดหยันในลำคอ [มีธุระอะไรกับคุณแดนรบไม่ทราบ? ดูจากสารรูปของเธอแล้วคงไม่ใช่เพื่อนของคุณแดนแน่ ๆ คิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงได้กล้ามาถามหาเขาด้วยสภาพแบบนี้?] ซีอีโอหนุ่มขยับเข้าใกล้หน้าจอมากกว่าเดิมเพื่อมองสภาพของเธอคนนั้นให้ชัด ๆ ชุดของเธอคล้ายกำลังเปียกอยู่จริง ๆ นั่นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอกันแน่? เธอไปทำอะไรมา? หรือว่ามีใครทำร้ายเธอกัน? [ไปไป๊! เนื้อตัวสกปรกขนาดนี้ น่ารังเกียจจริง ๆ อย่ามายืนเกะกะหน้าบ้านนะ เดี๋ยวคุณแดนกลับมาเห็นแล้วจะระคายลูกตา!] สิ้นเสียงขับไล่อย่างหยาบคายของแม่บ้านสาว แดนรบขบกรามแน่น สายตานิ่งลึกจ้องมองร่างอวบที่ยืนก้มหน้านิ่งงันอยู่หน้าบ้านเขาหลายนาทีก่อนผละเดินจากไปด้วยท่าทางน่าสงสาร ความเดือดดาลก่อตัวขึ้นในใจ มือหนากดหยุดคลิปแล้วหันกลับมาหาเลขาหนุ่มซึ่งตอนนี้เอาแต่ยืนก้มหน้านิ่งเช่นกัน กวินน์รับรู้ได้ถึงแรงอารมณ์ที่ไม่ปกติจากเจ้านายหนุ่มซึ่งไม่บ่อยนักที่แดนรบจะสติหลุดแบบนี้ “ไล่เธอออกซะ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก! กล้าดียังไงถึงทำตัวหยาบคายกับแขกของฉัน! บ้าเอ๊ย!” ตึง! กำปั้นหนัก ๆ ทุบลงบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิด เขาตามหาผู้หญิงคนนั้นมาเป็นเดือน ๆ ตามเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เธออุตส่าห์มาหาเขาถึงหน้าบ้านแล้วแท้ ๆ แทนที่เขาจะได้เจอกลับกลายเป็นผลักไสให้เธอหนีไปไกลกว่าเดิม “นายตามสืบอะไรต่อได้หรือเปล่า? พอจะรู้ไหมว่าหลังจากนั้นเธอไปที่ไหน? หรือเธอเดินออกมาจากในซอยได้ยังไง? เธออาจพักอยู่ในซอยนั้นก็ได้” แดนรบพยายามวิเคราะห์อย่างหนัก ที่ผ่านมาต่อให้งานยากแค่ไหนก็ไม่คณามือเขา แต่กับเธอคนนี้… ยากยิ่งกว่ายาก! “ฉันสืบมาแล้ว จากกล้องวงจรปิดของร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอยเห็นแค่ว่าเธอเดินไปตามถนนเรื่อย ๆ ไม่ได้ขึ้นรถโดยสารคันไหนเลย มันเลยยากที่จะตามหาตัว ส่วนเรื่องที่อยู่ของเธอดูเหมือนว่าวันนั้นมีบ้านหลังหนึ่งภายในซอยเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น” กวินน์หยิบรูปถ่ายออกจากซองเอกสารวางลงบนโต๊ะทำงานเจ้านาย เขาเป็นคนทำงานรอบคอบ ไม่ต้องรอให้สั่ง สมกับเป็นเลขาที่แดนรบไว้ใจจริง ๆ “บ้านหลังนี้เป็นบ้านของนางอลิยา บริบาล วันนั้นเธอขับไล่หลานสาวออกจากบ้าน จากการสอบถามเพื่อนบ้าน หลานสาวของเธอเป็นหญิงรูปร่างอ้วนท้วนตรงตามลักษณะเดียวกันกับผู้หญิงที่เรากำลังตามหา” ข้อมูลใหม่ที่กวินน์ได้รับมาสร้างความพอใจให้กับแดนรบอย่างมาก เขาจ้องมองรูปถ่ายในมืออย่างครุ่นคิด “เธอชื่ออะไร?” “เอ่อ… เรื่องนี้…” ปกติกวินน์เป็นคนรอบคอบ จริงจัง ทำงานเก่ง เขาจะมีท่าทางอึกอักแบบนี้เวลาเจอเรื่องที่ไม่มั่นใจ “อย่าบอกนะว่านายไม่ได้ถามชื่อผู้หญิงคนนั้นมา?” “ไม่ใช่ ฉันถามมาแล้ว แต่เพื่อนบ้านหรือคนแถวนั้นต่างเรียกเธอด้วยชื่อที่มันไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ ซึ่งฉันคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ชื่อจริง ๆ ของเธอ” “ว่า? คนพวกนั้นเรียกเธอว่าอะไร?” “…ยัยช้าง” แดนรบชะงักนิ่ง ดวงตาคมกริบทอประกายเย็นเหยียบขึ้นเล็กน้อย เขาโยนรูปในมือลงบนโต๊ะก่อนจะเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วหลับตาลงเพื่อปรับอารมณ์ตนเอง เขาช้าไปหนึ่งก้าวอีกแล้ว… ผู้หญิงคนนั้นช่างเป็นเหมือนฟองอากาศซะจริง ๆ ล่องลอยอยู่รอบตัวเขา แต่พอเขาเอื้อมมือจะสัมผัส เธอกลับแตกสลายหายไปต่อหน้า ทำไมกันนะ… ทั้งที่ใกล้จะคว้าเธอไว้ได้แล้วแท้ ๆ แต่ทำไมเหมือนเธอลอยออกไปไกลจากเขามากกว่าเดิม “ตามหาเธอต่อไป ไม่ว่ายังไงก็ต้องตามหาให้เจอ” . . . หลายวันต่อมา “โอ้ก…” เสียงอาเจียนดังลอดออกมาจากห้องน้ำพนักงาน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ตั้งแต่สามภพรับพนักงานคนใหม่เข้ามา เรื่องเหล่านี้กลายเป็นภาพชินตาของพวกพนักงานด้วยกันไปแล้ว ตอนแรก ๆ มีบางคนวิ่งไปอาเจียนตามอยู่บ้าง ผ่านไปสองสามวันทุกคนเริ่มชินชาเสียแล้ว แถมยังช่วยกันสลับสับเปลี่ยนมาคอยดูแลหาน้ำหาท่าให้หญิงสาวดื่มหลังอาเจียนเสร็จด้วย “ไหวไหมอีหล่า ถ้าบ่ไหวก็ลาครึ่งวันแล้วฟ้าวไปนอนพักบนห้องเถอะ เดี๋ยวป้าบอกคุณภพให้” ป้าเพ็ญศรี พนักงานในครัวช่วยลูบหลังพร้อมกับส่งแก้วน้ำให้ชมจันทร์ เธอเอ่ยขอบคุณเสียงแหบแห้งพลางรับน้ำมาดื่มจนหมดแก้ว “หน้าอีหล่าซีดมาก ข้าวปลาก็บ่กิน แพ้ท้องหนักขนาดนี้ระวังจะเป็นลมเป็นแล้งไปหน่า” “หนูยังไหวจ้ะป้า แค่วันนี้รู้สึกพะอืดพะอมกว่าปกติ” “โหย ไม่ปกติแล้วมั้งพี่ชม หนูเห็นพี่อาเจียนตั้งแต่เช้าแล้วนะ ให้หนูไปแจ้งคุณภพไหม คุณภพกำชับไว้ว่าถ้าพี่ไม่ไหวให้รีบไปบอก” น้อยหน่า ลูกสาวป้าเพ็ญศรีที่มาช่วยงานแม่ทุกเย็นหลังเลิกเรียนยื่นหน้าเข้ามาพูด เธออายุสิบหกปี เรียนอยู่มัธยมปลาย นิสัยร่าเริงพูดเก่งจึงสนิทกับชมจันทร์ได้ไว “ไม่ต้อง ๆ อย่าไปรบกวนพี่ภพเลย พี่ไม่เป็นอะไรจริง ๆ เดี๋ยวนั่งพักสักหน่อยก็ออกไปที่เคาท์เตอร์ได้แล้ว ตอนนี้ลูกค้าเยอะหรือเปล่า?” “ไม่ต้องห่วงเลยพี่ ตอนนี้พี่แก้วเฝ้าเคาท์เตอร์แทนอยู่ เขาบอกให้พี่นั่งพักไปเลยจนกว่าจะดีขึ้นค่อยออกไปก็ได้” ตั้งแต่ชมจันทร์เข้ามาทำงานที่นี่ เธอได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพนักงานทุกคน ร้านอาหารของสามภพเป็นร้านขนาดกลาง ตึกห้าชั้น สี่คูหา ชั้นล่างกับชั้นสองเป็นโซนร้านอาหาร ชั้นสามเป็นห้องทำงานของสามภพ ส่วนชั้นสี่ถึงชั้นห้าเป็นห้องพักพนักงาน ซึ่งพนักงานที่นี่มีทั้งหมดสิบห้าคนร่วมเธอด้วย และทุกคนพักที่นี่ทั้งหมด ทุกคนจึงอยู่กันแบบครอบครัว พึ่งพาอาศัยและช่วยดูแลซึ่งกันและกัน นับว่าเป็นครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่นมาก ๆ เธอรู้สึกดีใจมากที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ “หิวไหมชม พี่ทำโจ๊กมาให้ กินสักหน่อยเถอะ ไม่เห็นเธอกินอะไรเลยตั้งแต่เช้า มันไม่ดีต่อลูกในท้องนะ” นารินวางชามโจ๊กร้อน ๆ ลงบนโต๊ะตรงหน้าชมจันทร์ เธอเป็นแม่ครัวประจำร้านอาหารแห่งนี้ ฝีมือการทำอาหารของนารินเลิศรสที่สุด ชมจันทร์ชอบทานอาหารฝีมือเธอมาก แต่ทุกครั้งมักทานได้น้อยเพราะอาการแพ้ท้องอย่างหนัก “ขอบคุณนะคะพี่ริน ขอบคุณป้าเพ็ญกับน้อยด้วยนะ” เธอรู้สึกซาบซึ้งใจจริง ๆ ทุกคนดูแลเธอดีมาก ๆ จนเธอเกรงใจ “ขอบคุณอะไรกัน พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ อีกอย่างคุณภพคงไม่ชอบใจแน่ถ้ารู้ว่าชมเป็นลมเป็นแล้งไป เผลอ ๆ เขาสั่งให้ชมหยุดงานยาวแหง ๆ” “จริงนะพี่ ตอนแม่ไม่สบายจนเกือบเป็นลม คุณภพก็สั่งให้แม่หยุดพักผ่อนตั้งสองวันแน่ะ แถมยังไม่หักเงินสักบาทด้วย ไม่รู้ว่าเป็นคนหรือเทวดาเนอะแม่ หล่อแล้วยังใจดีอีก” น้อยหน่าพูดเสริมนาริน เรื่องที่สามภพเป็นคนจิตใจดีไม่ใช่แค่พวกพนักงานในร้านเท่านั้นที่รู้ แม้แต่คนละแวกนั้นก็ยังรู้ เพราะเขาชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากเสมอ โดยเฉพาะเด็ก คนแก่ คนท้อง คนพิการ หรือแม้แต่คนไร้บ้าน เขาตั้งกฎประจำร้านเอาไว้เลยว่าหากคนเหล่านี้มาขออาหารต้องให้ทานฟรีเลย ชมจันทร์ได้ฟังเรื่องราวของสามภพจากปากทุกคนอยู่ตลอด ล้วนมีแต่คำเยินยอชื่นชม ซึ่งเธอประจักษ์กับความใจดีของเขาด้วยตัวเองมาแล้วเหมือนกัน เพราะหากไม่ได้เขา ชีวิตเธอกับลูกก็คงไร้หนทางจะไปเช่นกัน . . . “เรียบร้อยดีไหม” “ค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ” หญิงสาวเอ่ยตอบชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาหลังออกจากห้องตรวจ วันนี้ชมจันทร์มีนัดตรวจครรภ์ครั้งที่สองหลังจากเพิ่งฝากครรภ์ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะนั่งรถโดยสารมาเอง เธอสอบถามเส้นทางจากร้านมาโรงพยาบาลกับป้าเพ็ญศรีมาเรียบร้อยแล้ว ทว่าเจ้านายหนุ่มกลับมานั่งรอเธอที่หน้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่ สามภพอาสาพาเธอมาโรงพยาบาล เธอเกรงใจเขามาก แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธความมีน้ำใจของเขา “เด็กแข็งแรงดีใช่ไหม? แล้วหมอนัดอีกทีเมื่อไหร่? หมอได้ให้ยาแก้แพ้หรือแนะนำวิธีดี ๆ มาบ้างไหม? พี่ได้ข่าวว่าหลายวันมานี้ชมแพ้ท้องหนักมากเลยนี่” สามภพยิงคำถามไม่หยุด สีหน้าแสดงความห่วงใยชัดเจน ชมจันทร์ขยับยิ้มบางเบา เธอทั้งรู้สึกขอบคุณในความห่วงใยของเขาจริง ๆ และยังรู้สึกเกรงใจที่หลายวันมานี้ตนเองทำงานได้ไม่เต็มที่นัก “หมอนัดอีกครั้งเดือนหน้าค่ะ ส่วนยาแก้แพ้ท้องหมอไม่แนะนำให้ทาน แต่ให้วิตามินมาแทน และแนะนำวิธีดูแลตัวเองตอนมีอาการแพ้ท้องกับอาหารที่ควรทานด้วยค่ะ ส่วนเรื่องเด็กแข็งแรงไหม… หมอบอกว่าตอนนี้เขายังเป็นแค่ตัวอ่อน แต่ก็แข็งแรงดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” หลังฟังคำอธิบายยาวเหยียดของชมจันทร์จบ สามภพพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขารู้เรื่องที่หลายวันมานี้ชมจันทร์แพ้ท้องหนักมากจนแทบไม่ทานอะไรเลยมาจากพนักงานในร้านจึงอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนท้องมาอยู่ภายใต้การดูแลของเขา หลายวันมานี้ทุกครั้งที่ว่างจากงานในร้านชายหนุ่มมักหาข้อมูลเกี่ยวกับแม่และเด็กอยู่เสมอ ทั้งทางการแพทย์และการปฏิบัติจนเขาแทบจะจบหลักสูตรสูตินรีอีกหลักสูตรหนึ่งแล้ว เป็นความโชคดีที่เขาเรียนจบแพทย์มาถึงแม้จะคนละสายกันแต่ความรู้ด้านศัพท์แพทย์ยังพอช่วยเขาได้อยู่บ้าง อย่างน้อยสิ่งที่ร่ำเรียนมามันก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปซะทีเดียวอะนะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD