“นายว่ายังไงนะ?”
ชายหนุ่มละสายตาจากเอกสารตรงหน้าขึ้นมองเลขาคนสนิท วันนี้เขายุ่งมาก ทั้งต้องประชุมคอนเฟอเรนซ์ ต้องคุยงานกับลูกค้า ไหนจะต้องเซ็นเอกสารกองท่วมหัวพวกนี้อีก ทำเอาสองสามวันมานี้เขาเหนื่อยจนสลบคาเตียงเลย
“ฉันเจอผู้หญิงคนนั้นแล้ว”
แดนรบชะงักเล็กน้อยโยนปากกาในมือทิ้งทันที “หมายถึงเธอคนนั้น? ไปเจอที่ไหน? แล้วตอนนี้เธออยู่ไหน?”
“เธอมาหานายที่บ้าน เมื่อวานฉันเช็คกล้องวงจรปิดย้อนหลังถึงได้รู้”
“มาหาฉัน? เมื่อไหร่?” คิ้วเข้มขมวด
ผู้หญิงคนนั้นมาหาเขาที่บ้านงั้นเหรอ… ทำไมเขาถึงไม่รู้เลยล่ะ?
“เมื่อสองวันก่อน เธอมาหานายที่หน้าบ้าน เจอกับแม่บ้านของนาย ทั้งคู่ยืนคุยกันไม่กี่ประโยคเธอก็เดินจากไป” ตอนพูดเรื่องนี้ น้ำเสียงกวินน์ติดเย็นเหยียบเล็กน้อย แดนรบหรี่ตาจับผิด
“เปิดคลิปให้ฉันดู เดี๋ยวนี้”
กวินน์หยิบแฟรชไดรฟ์จากกระเป๋าส่งให้เจ้านาย เขาเปลี่ยนมายืนด้านหลังแดนรบโดยไม่พูดอะไรอีก
จอคอมพิวเตอร์ปรากฏคลิปวิดีโอเป็นภาพหน้าประตูรั้วบ้านของเมื่อสองวันก่อน ตอนแรกในคลิปไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ทว่าไม่ถึงหนึ่งนาทีบริเวณมุมกล้องปรากฏร่างอวบใหญ่ของหญิงสาวคนหนึ่งขึ้น เหมือนว่าเธอกำลังเดินออกมาจากในซอย ดวงตาคมหรี่มองร่างนั้นตาไม่กะพริบ แม้ว่ากล้องวงจรปิดของเขาจะมีความละเอียดสูงมาก แต่ก็ยังคงมองใบหน้าเธอได้ไม่ชัดเจนเหมือนครั้งก่อนไม่มีผิด
[มีอะไร?] เสียงแม่บ้านซึ่งทำงานให้เขามาหลายปีดังขึ้น [มายืนด้อม ๆ มอง ๆ อะไรหน้าบ้านคนอื่น คิดจะขโมยของเหรอยะ!]
[มะ ไม่ใช่นะ!] เสียงหวานใสละล่ำละลักตอบกลับ คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย
เขาจำเสียงนี้ได้… เธอคือคนเดียวกับผู้หญิงในคืนนั้นจริง ๆ ด้วย!
[คะ คือว่า… คุณแดนรบอยู่ไหมคะ?]
จากมุมกล้องทำให้แดนรบมองไม่เห็นสีหน้าของคนทั้งคู่ แต่กลับได้ยินเสียงชัดทุกถ้อยคำ แม้แต่เสียงเหยียดหยันในลำคอ
[มีธุระอะไรกับคุณแดนรบไม่ทราบ? ดูจากสารรูปของเธอแล้วคงไม่ใช่เพื่อนของคุณแดนแน่ ๆ คิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงได้กล้ามาถามหาเขาด้วยสภาพแบบนี้?]
ซีอีโอหนุ่มขยับเข้าใกล้หน้าจอมากกว่าเดิมเพื่อมองสภาพของเธอคนนั้นให้ชัด ๆ ชุดของเธอคล้ายกำลังเปียกอยู่จริง ๆ
นั่นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอกันแน่? เธอไปทำอะไรมา? หรือว่ามีใครทำร้ายเธอกัน?
[ไปไป๊! เนื้อตัวสกปรกขนาดนี้ น่ารังเกียจจริง ๆ อย่ามายืนเกะกะหน้าบ้านนะ เดี๋ยวคุณแดนกลับมาเห็นแล้วจะระคายลูกตา!] สิ้นเสียงขับไล่อย่างหยาบคายของแม่บ้านสาว แดนรบขบกรามแน่น สายตานิ่งลึกจ้องมองร่างอวบที่ยืนก้มหน้านิ่งงันอยู่หน้าบ้านเขาหลายนาทีก่อนผละเดินจากไปด้วยท่าทางน่าสงสาร
ความเดือดดาลก่อตัวขึ้นในใจ มือหนากดหยุดคลิปแล้วหันกลับมาหาเลขาหนุ่มซึ่งตอนนี้เอาแต่ยืนก้มหน้านิ่งเช่นกัน กวินน์รับรู้ได้ถึงแรงอารมณ์ที่ไม่ปกติจากเจ้านายหนุ่มซึ่งไม่บ่อยนักที่แดนรบจะสติหลุดแบบนี้
“ไล่เธอออกซะ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก! กล้าดียังไงถึงทำตัวหยาบคายกับแขกของฉัน! บ้าเอ๊ย!”
ตึง!
กำปั้นหนัก ๆ ทุบลงบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิด เขาตามหาผู้หญิงคนนั้นมาเป็นเดือน ๆ ตามเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เธออุตส่าห์มาหาเขาถึงหน้าบ้านแล้วแท้ ๆ แทนที่เขาจะได้เจอกลับกลายเป็นผลักไสให้เธอหนีไปไกลกว่าเดิม
“นายตามสืบอะไรต่อได้หรือเปล่า? พอจะรู้ไหมว่าหลังจากนั้นเธอไปที่ไหน? หรือเธอเดินออกมาจากในซอยได้ยังไง? เธออาจพักอยู่ในซอยนั้นก็ได้” แดนรบพยายามวิเคราะห์อย่างหนัก ที่ผ่านมาต่อให้งานยากแค่ไหนก็ไม่คณามือเขา แต่กับเธอคนนี้… ยากยิ่งกว่ายาก!
“ฉันสืบมาแล้ว จากกล้องวงจรปิดของร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอยเห็นแค่ว่าเธอเดินไปตามถนนเรื่อย ๆ ไม่ได้ขึ้นรถโดยสารคันไหนเลย มันเลยยากที่จะตามหาตัว ส่วนเรื่องที่อยู่ของเธอดูเหมือนว่าวันนั้นมีบ้านหลังหนึ่งภายในซอยเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น” กวินน์หยิบรูปถ่ายออกจากซองเอกสารวางลงบนโต๊ะทำงานเจ้านาย เขาเป็นคนทำงานรอบคอบ ไม่ต้องรอให้สั่ง สมกับเป็นเลขาที่แดนรบไว้ใจจริง ๆ “บ้านหลังนี้เป็นบ้านของนางอลิยา บริบาล วันนั้นเธอขับไล่หลานสาวออกจากบ้าน จากการสอบถามเพื่อนบ้าน หลานสาวของเธอเป็นหญิงรูปร่างอ้วนท้วนตรงตามลักษณะเดียวกันกับผู้หญิงที่เรากำลังตามหา”
ข้อมูลใหม่ที่กวินน์ได้รับมาสร้างความพอใจให้กับแดนรบอย่างมาก เขาจ้องมองรูปถ่ายในมืออย่างครุ่นคิด
“เธอชื่ออะไร?”
“เอ่อ… เรื่องนี้…” ปกติกวินน์เป็นคนรอบคอบ จริงจัง ทำงานเก่ง เขาจะมีท่าทางอึกอักแบบนี้เวลาเจอเรื่องที่ไม่มั่นใจ
“อย่าบอกนะว่านายไม่ได้ถามชื่อผู้หญิงคนนั้นมา?”
“ไม่ใช่ ฉันถามมาแล้ว แต่เพื่อนบ้านหรือคนแถวนั้นต่างเรียกเธอด้วยชื่อที่มันไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ ซึ่งฉันคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ชื่อจริง ๆ ของเธอ”
“ว่า? คนพวกนั้นเรียกเธอว่าอะไร?”
“…ยัยช้าง”
แดนรบชะงักนิ่ง ดวงตาคมกริบทอประกายเย็นเหยียบขึ้นเล็กน้อย เขาโยนรูปในมือลงบนโต๊ะก่อนจะเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วหลับตาลงเพื่อปรับอารมณ์ตนเอง
เขาช้าไปหนึ่งก้าวอีกแล้ว…
ผู้หญิงคนนั้นช่างเป็นเหมือนฟองอากาศซะจริง ๆ ล่องลอยอยู่รอบตัวเขา แต่พอเขาเอื้อมมือจะสัมผัส เธอกลับแตกสลายหายไปต่อหน้า
ทำไมกันนะ… ทั้งที่ใกล้จะคว้าเธอไว้ได้แล้วแท้ ๆ แต่ทำไมเหมือนเธอลอยออกไปไกลจากเขามากกว่าเดิม
“ตามหาเธอต่อไป ไม่ว่ายังไงก็ต้องตามหาให้เจอ”
.
.
.
หลายวันต่อมา
“โอ้ก…” เสียงอาเจียนดังลอดออกมาจากห้องน้ำพนักงาน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ตั้งแต่สามภพรับพนักงานคนใหม่เข้ามา เรื่องเหล่านี้กลายเป็นภาพชินตาของพวกพนักงานด้วยกันไปแล้ว ตอนแรก ๆ มีบางคนวิ่งไปอาเจียนตามอยู่บ้าง ผ่านไปสองสามวันทุกคนเริ่มชินชาเสียแล้ว แถมยังช่วยกันสลับสับเปลี่ยนมาคอยดูแลหาน้ำหาท่าให้หญิงสาวดื่มหลังอาเจียนเสร็จด้วย
“ไหวไหมอีหล่า ถ้าบ่ไหวก็ลาครึ่งวันแล้วฟ้าวไปนอนพักบนห้องเถอะ เดี๋ยวป้าบอกคุณภพให้” ป้าเพ็ญศรี พนักงานในครัวช่วยลูบหลังพร้อมกับส่งแก้วน้ำให้ชมจันทร์ เธอเอ่ยขอบคุณเสียงแหบแห้งพลางรับน้ำมาดื่มจนหมดแก้ว “หน้าอีหล่าซีดมาก ข้าวปลาก็บ่กิน แพ้ท้องหนักขนาดนี้ระวังจะเป็นลมเป็นแล้งไปหน่า”
“หนูยังไหวจ้ะป้า แค่วันนี้รู้สึกพะอืดพะอมกว่าปกติ”
“โหย ไม่ปกติแล้วมั้งพี่ชม หนูเห็นพี่อาเจียนตั้งแต่เช้าแล้วนะ ให้หนูไปแจ้งคุณภพไหม คุณภพกำชับไว้ว่าถ้าพี่ไม่ไหวให้รีบไปบอก” น้อยหน่า ลูกสาวป้าเพ็ญศรีที่มาช่วยงานแม่ทุกเย็นหลังเลิกเรียนยื่นหน้าเข้ามาพูด เธออายุสิบหกปี เรียนอยู่มัธยมปลาย นิสัยร่าเริงพูดเก่งจึงสนิทกับชมจันทร์ได้ไว
“ไม่ต้อง ๆ อย่าไปรบกวนพี่ภพเลย พี่ไม่เป็นอะไรจริง ๆ เดี๋ยวนั่งพักสักหน่อยก็ออกไปที่เคาท์เตอร์ได้แล้ว ตอนนี้ลูกค้าเยอะหรือเปล่า?”
“ไม่ต้องห่วงเลยพี่ ตอนนี้พี่แก้วเฝ้าเคาท์เตอร์แทนอยู่ เขาบอกให้พี่นั่งพักไปเลยจนกว่าจะดีขึ้นค่อยออกไปก็ได้”
ตั้งแต่ชมจันทร์เข้ามาทำงานที่นี่ เธอได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพนักงานทุกคน ร้านอาหารของสามภพเป็นร้านขนาดกลาง ตึกห้าชั้น สี่คูหา ชั้นล่างกับชั้นสองเป็นโซนร้านอาหาร ชั้นสามเป็นห้องทำงานของสามภพ ส่วนชั้นสี่ถึงชั้นห้าเป็นห้องพักพนักงาน ซึ่งพนักงานที่นี่มีทั้งหมดสิบห้าคนร่วมเธอด้วย และทุกคนพักที่นี่ทั้งหมด ทุกคนจึงอยู่กันแบบครอบครัว พึ่งพาอาศัยและช่วยดูแลซึ่งกันและกัน นับว่าเป็นครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่นมาก ๆ เธอรู้สึกดีใจมากที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่
“หิวไหมชม พี่ทำโจ๊กมาให้ กินสักหน่อยเถอะ ไม่เห็นเธอกินอะไรเลยตั้งแต่เช้า มันไม่ดีต่อลูกในท้องนะ” นารินวางชามโจ๊กร้อน ๆ ลงบนโต๊ะตรงหน้าชมจันทร์ เธอเป็นแม่ครัวประจำร้านอาหารแห่งนี้ ฝีมือการทำอาหารของนารินเลิศรสที่สุด ชมจันทร์ชอบทานอาหารฝีมือเธอมาก แต่ทุกครั้งมักทานได้น้อยเพราะอาการแพ้ท้องอย่างหนัก
“ขอบคุณนะคะพี่ริน ขอบคุณป้าเพ็ญกับน้อยด้วยนะ” เธอรู้สึกซาบซึ้งใจจริง ๆ ทุกคนดูแลเธอดีมาก ๆ จนเธอเกรงใจ
“ขอบคุณอะไรกัน พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ อีกอย่างคุณภพคงไม่ชอบใจแน่ถ้ารู้ว่าชมเป็นลมเป็นแล้งไป เผลอ ๆ เขาสั่งให้ชมหยุดงานยาวแหง ๆ”
“จริงนะพี่ ตอนแม่ไม่สบายจนเกือบเป็นลม คุณภพก็สั่งให้แม่หยุดพักผ่อนตั้งสองวันแน่ะ แถมยังไม่หักเงินสักบาทด้วย ไม่รู้ว่าเป็นคนหรือเทวดาเนอะแม่ หล่อแล้วยังใจดีอีก” น้อยหน่าพูดเสริมนาริน
เรื่องที่สามภพเป็นคนจิตใจดีไม่ใช่แค่พวกพนักงานในร้านเท่านั้นที่รู้ แม้แต่คนละแวกนั้นก็ยังรู้ เพราะเขาชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากเสมอ โดยเฉพาะเด็ก คนแก่ คนท้อง คนพิการ หรือแม้แต่คนไร้บ้าน เขาตั้งกฎประจำร้านเอาไว้เลยว่าหากคนเหล่านี้มาขออาหารต้องให้ทานฟรีเลย
ชมจันทร์ได้ฟังเรื่องราวของสามภพจากปากทุกคนอยู่ตลอด ล้วนมีแต่คำเยินยอชื่นชม ซึ่งเธอประจักษ์กับความใจดีของเขาด้วยตัวเองมาแล้วเหมือนกัน เพราะหากไม่ได้เขา ชีวิตเธอกับลูกก็คงไร้หนทางจะไปเช่นกัน
.
.
.
“เรียบร้อยดีไหม”
“ค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ” หญิงสาวเอ่ยตอบชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาหลังออกจากห้องตรวจ วันนี้ชมจันทร์มีนัดตรวจครรภ์ครั้งที่สองหลังจากเพิ่งฝากครรภ์ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะนั่งรถโดยสารมาเอง เธอสอบถามเส้นทางจากร้านมาโรงพยาบาลกับป้าเพ็ญศรีมาเรียบร้อยแล้ว ทว่าเจ้านายหนุ่มกลับมานั่งรอเธอที่หน้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่ สามภพอาสาพาเธอมาโรงพยาบาล เธอเกรงใจเขามาก แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธความมีน้ำใจของเขา
“เด็กแข็งแรงดีใช่ไหม? แล้วหมอนัดอีกทีเมื่อไหร่? หมอได้ให้ยาแก้แพ้หรือแนะนำวิธีดี ๆ มาบ้างไหม? พี่ได้ข่าวว่าหลายวันมานี้ชมแพ้ท้องหนักมากเลยนี่” สามภพยิงคำถามไม่หยุด สีหน้าแสดงความห่วงใยชัดเจน
ชมจันทร์ขยับยิ้มบางเบา เธอทั้งรู้สึกขอบคุณในความห่วงใยของเขาจริง ๆ และยังรู้สึกเกรงใจที่หลายวันมานี้ตนเองทำงานได้ไม่เต็มที่นัก
“หมอนัดอีกครั้งเดือนหน้าค่ะ ส่วนยาแก้แพ้ท้องหมอไม่แนะนำให้ทาน แต่ให้วิตามินมาแทน และแนะนำวิธีดูแลตัวเองตอนมีอาการแพ้ท้องกับอาหารที่ควรทานด้วยค่ะ ส่วนเรื่องเด็กแข็งแรงไหม… หมอบอกว่าตอนนี้เขายังเป็นแค่ตัวอ่อน แต่ก็แข็งแรงดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
หลังฟังคำอธิบายยาวเหยียดของชมจันทร์จบ สามภพพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขารู้เรื่องที่หลายวันมานี้ชมจันทร์แพ้ท้องหนักมากจนแทบไม่ทานอะไรเลยมาจากพนักงานในร้านจึงอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนท้องมาอยู่ภายใต้การดูแลของเขา
หลายวันมานี้ทุกครั้งที่ว่างจากงานในร้านชายหนุ่มมักหาข้อมูลเกี่ยวกับแม่และเด็กอยู่เสมอ ทั้งทางการแพทย์และการปฏิบัติจนเขาแทบจะจบหลักสูตรสูตินรีอีกหลักสูตรหนึ่งแล้ว
เป็นความโชคดีที่เขาเรียนจบแพทย์มาถึงแม้จะคนละสายกันแต่ความรู้ด้านศัพท์แพทย์ยังพอช่วยเขาได้อยู่บ้าง
อย่างน้อยสิ่งที่ร่ำเรียนมามันก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปซะทีเดียวอะนะ