ตุบ! พรึ่บ!
“ไสหัวออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้เลยนังตัวดี!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของอลิยาดังก้องไปทั่วบริเวณหน้าบ้าน เพื่อนบ้านละแวกนั้นต่างพากันออกมามองด้วยความสนอกสนใจ
ภาพของผู้หญิงรูปร่างอวบอ้วนกำลังนั่งร้องไห้อยู่บนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยเสื้อผ้านับสิบตัวกับกระเป๋าเก่า ๆ หนึ่งใบไม่ได้เรียกความรู้สึกสงสารหรือเห็นใจจากใครเลยสักนิด จะมีก็เพียงแต่สายตาและรอยยิ้มสมเพชเวทนาเสียมากกว่า
“น้ายา… ฮือ… น้าอย่าไล่ฉันไปเลยนะ ฮึก ฉันไม่มีที่ไปแล้วจริง ๆ” เสียงหวานสะอึกสะอื้นไม่หยุด เธอร้องไห้หนักมากจนกลัวว่าจะกระทบกระเทือนต่อลูกในท้อง
“พอกันที! ฉันไม่ทนกับผู้หญิงร่านอย่างแกอีกแล้ว! หน็อย… สารรูปอัปลักษณ์ขนาดนี้ยังจะกล้าเสนอตัวให้ผู้ชายเขาฟันจนท้อง! งามหน้า… งามหน้าเหมือนแม่แกจริง ๆ! อย่างนี้สินะที่เขาเรียกว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว!”
ชมจันทร์กัดริมฝีปากจนได้กลิ่นคาวเลือดเมื่อถูกพาดพิงถึงมารดา เธอกัดฟันปาดน้ำตาข้างแก้ม ก้มหน้าก้มตาเก็บเสื้อผ้าบนพื้นใส่กระเป๋า เธออยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เธอรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถปิดบังเรื่องท้องกับน้าสาวได้ เพราะอาการแพ้ท้องของเธอมันหนักขึ้นทุกวัน ไม่แปลกที่น้าสาวจะจับสังเกตได้ แต่เธอไม่คิดว่ามันจะกะทันหันแบบนี้ เธอยังไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรเลย แล้วแบบนี้เธอจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ…
“ไสหัวไปเลยนะ! แล้วอย่าซมซานกลับมาให้ฉันเห็นหน้าแกอีก! ชาตินี้ทั้งชาติฉันไม่นับญาติกับคนอย่างแก! ไปไป๊!!” อลิยาไม่พูดเปล่าแต่ยกถังน้ำจากสวนหน้าบ้านมาสาดใส่ชมจันทร์ด้วย ทำให้เธอเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้า
หญิงสาวร่างกายอวบหนาเสื้อผ้าเปียกปอนค่อย ๆ เดินออกมาจากหน้าบ้านหลังนั้นด้วยอาการเหม่อลอยราวกับคนไร้วิญญาณ เธอเดินร้องไห้สะอึกสะอื้นตลอดทาง ความคิดในหัวว่างเปล่าไปหมด เธอไม่มีที่ให้ไปอีกแล้ว ชมจันทร์ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่มีพี่น้อง และไม่มีญาติคนอื่นอีกแล้ว เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าจะหอบร่างกายและจิตใจบอบช้ำไปที่ไหนดี
ชมจันทร์เดินใจลอยอยู่ภายในซอยบ้านเรียบเรื่อย บังเอิญสายตาหยุดลงตรงรั้วประตูบ้านแห่งหนึ่ง เธอจำบ้านหลังนั้นได้ในทันที สติเลื่อนลอยกลับมาแจ่มชัด มือข้างหนึ่งยกขึ้นทาบทับหน้าท้องตัวเอง
ฉันควรจะบอกเขาเรื่องลูกดีไหม…
ชมจันทร์ยืนนิ่งคิดในใจ สายตายังคงจับจ้องประตูรั้วบ้านแสนคุ้นตาหลังนั้น เกือบสองเดือนแล้วที่เธอเลี่ยงไม่ผ่านบ้านหลังนี้ เธอไม่ได้เห็นเขาคนนั้นอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น
“…จะทำยังไงดี” ขณะชมจันทร์กำลังยืนสับสนพะว้าพะวัง จู่ ๆ ประตูรั้วบ้านหลังนั้นเปิดออกพร้อมกับร่างเล็กของผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมา เธอแต่งตัวเรียบ ๆ คล้ายแม่บ้าน เมื่อเห็นว่ามีคนกำลังยืนจ้องมาทางนี้ เธอจึงหันหน้ามามอง
“มีอะไร?” แม่บ้านสาวชักสีหน้ารังเกียจใส่ชมจันทร์อย่างไม่คิดปิดบังพลางมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “มายืนด้อม ๆ มอง ๆ อะไรหน้าบ้านคนอื่น คิดจะขโมยของเหรอยะ!”
“มะ ไม่ใช่นะ!” ชมจันทร์รีบส่ายหน้าเดินเข้ามาหยุดยืนหน้าประตูบ้าน ห่างจากแม่บ้านคนนั้นเล็กน้อย เธอลังเลชั่วครู่ก่อนตัดสินใจรวบรวมความกล้าก้มหน้าก้มตาละล่ำละลักถามเสียงเบา “คะ คือว่า… คุณแดนรบอยู่ไหมคะ?”
แม่บ้านสาวชักสีหน้าไม่พอใจมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินชื่อเจ้านายสุดหล่อหลุดออกมาจากปากของผู้หญิงอ้วนแสนอัปลักษณ์ตรงหน้า
“มีธุระอะไรกับคุณแดนรบไม่ทราบ? ดูจากสารรูปของเธอแล้วคงไม่ใช่เพื่อนของคุณแดนแน่ ๆ คิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงได้กล้ามาถามหาเขาด้วยสภาพแบบนี้?”
ชมจันทร์ก้มมองสภาพตัวเองที่ตอนนี้เปียกปอนไปด้วยน้ำสกปรกทั้งตัว ดวงตาหวานร้อนผ่าวขึ้นมาอีกระลอก เธออยากจะร้องไห้อีกแล้ว
“ไปไป๊! เนื้อตัวสกปรกขนาดนี้ น่ารังเกียจจริง ๆ อย่ามายืนเกะกะหน้าบ้านนะ เดี๋ยวคุณแดนกลับมาเห็นแล้วจะระคายลูกตา!”
เป็นอีกครั้งที่ชมจันทร์โดนไล่อย่างกับหมูกับหมา แม่บ้านสาวปิดประตูล็อกรั้วแล้วเดินจากไปโดยไม่สนใจเธออีก หญิงสาวยืนก้มหน้านิ่งหน้าประตูบ้านแดนรบอยู่เกือบนาที ก่อนจะยกมือปาดน้ำตาสองข้างแก้มแล้วเดินจากมา
เธอมันโง่จริง ๆ ชมจันทร์… คิดจะอยากพบคนคนนั้นไปทำไมกัน พบไปแล้วได้อะไร? คิดจะพูดอะไรกับเขา? จะบอกว่าเธอท้องกับเขางั้นเหรอ? คิดว่าเขาจะเชื่อเธอหรือไง…
ฮึ… ตลกร้ายชะมัด
หญิงสาวเดินใจลอยมาตามทางเรื่อย ๆ ตั้งแต่ฟ้าสว่างจนค่ำมืด เธอไม่รู้ว่าพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปตั้งแต่ตอนไหน หรือเธอเดินมาไกลแค่ไหนแล้ว เธอไม่ได้มองรอบตัวเลย เพียงแค่เดินไปเรื่อย ๆ อย่างคนไร้จุดหมาย
กระทั่งมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง…
ชมจันทร์เงยหน้าซีดขาวราวกับคนตายขึ้นมองความสูงของสะพาน ก่อนร่างอวบใหญ่ค่อย ๆ เดินบันไดสะพานอย่างเชื่องช้า เธอหยุดยืนตรงกลางสะพานแล้วหันหน้าเข้าหาราวสะพาน สายตาทอดมองผิวน้ำดำมืดเบื้องล่าง คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ไร้แสงสว่างจากพระจันทร์ บรรยากาศรอบตัวทั้งมืดมิดและหนาวเย็น เหมือนชีวิตของเธอเหลือเกิน
สายลมเย็นเหยียบลอยกระทบใบหน้าและร่างกายที่เวลานี้เสื้อผ้าแห้งสนิทแล้ว แต่ยังคงทิ้งคราบสกปรกให้เห็นชัดเจน
ชั่ววูบหนึ่ง… ความคิดอยากจะกระโดดแล่นวาบเข้ามาในหัวสมองแสนว่างเปล่า ดวงตาหวานเหม่อมองผืนน้ำเบื้องล่างตาไม่กะพริบ ขาข้างหนึ่งก้าวชิดราวสะพาน
“พ่อคะ… แม่คะ… หนูเหนื่อยเหลือเกินค่ะ ฮึก… หนูเหนื่อยแล้วจริง ๆ หนูอยากไปหาพ่อกับแม่… อยากกอดเหลือเกิน…” น้ำเสียงหวานสะอื้นแผ่วลอยไปกับสายลม เธอหลับตาลงสองมือจับราวสะพานพร้อมกับความคิดอยากจะกระโดดเพื่อจบชีวิตน่าสมเพชนี้ไปซะ
‘ชมจันทร์ลูกรักของแม่ ลูกคือดวงจันทร์ส่องสว่างในชีวิตของพ่อและแม่ คือพระจันทร์แสนสวยที่จะไม่มีวันดับแสง แม่ขอให้ลูกรักของแม่มีชีวิตยืนยาว มีสุขภาพแข็งแรง และมีความสุขมากที่สุดในโลก ขอให้ลูกมีชีวิตที่ดี กินอิ่ม นอนหลับ เพื่อเช้าอันสดใสในวันต่อไปนะจ๊ะ’
คำอวยพรที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของแม่ในวันเกิดครบรอบสิบปีของชมจันทร์ลอยเข้ามาในความคิดท่ามกลางความเงียบเชียบ สองตาลืมขึ้นทันที สติที่ขาดหายไปชั่วขณะของเธอกลับมาแจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง…
นี่เธอคิดจะทำบ้าอะไรกัน… เธอบ้าไปแล้วเหรอชมจันทร์!
.
.
.
“คุณ… คุณครับ”
เสียงเรียกแผ่วเบาจากด้านหลังเรียกสายตาหวานหันกลับมามอง เส้นผมสีดำสนิทพลิ้วไหวตามสายลมละใบหน้าสวยที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำตา สีหน้าของเธออิดโรยขาวซีดจนน่ากลัว
ร่างสูงขยับเดินเข้ามาใกล้หญิงสาวอย่างช้า ๆ เขาคือคนแปลกหน้าที่ชมจันทร์ไม่รู้จัก แววตาเหม่อลอยจับจ้องมองเขา สองมือยังคงกำราวสะพานแนบแน่น
“คุณใจเย็น ๆ ก่อนนะ มีอะไรคุยกับผมได้นะครับ ตรงนั้นมันอันตราย ถอยออกมาจากตรงนั้นก่อนดีไหม?”
‘สามภพ’ ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าค่อย ๆ ยื่นมือให้หญิงสาวตรงหน้าสายตาจับจ้องไม่ยอมละด้วยกลัวว่าเธอจะทำเรื่องน่ากลัวอย่างการกระโดดลงไป ปกติเขาวิ่งออกกำลังกายผ่านเส้นทางนี้เป็นประจำทุกวัน ในตอนที่กำลังจะวิ่งผ่านสะพานนี้ไป เขาสังเกตเห็นผู้หญิงคนนี้มีท่าทางแปลก ๆ จึงหยุดมองและพบว่าเธอทำท่าคล้ายจะกระโดดจากสะพาน สัญชาตญาณพลเมืองดีแล่นพล่านทั่วกาย ทำให้เขารีบเข้ามาห้ามเธอทันที
ชมจันทร์มองชายแปลกหน้านิ่งงัน ก่อนหลุบตามองฝ่ามือหนา อยู่ ๆ น้ำตาที่เหือดหายไปรื้นขึ้นมาอีกครั้ง เธอรู้สึกซาบซึ้งกับความมีน้ำใจของชายผู้นี้จริง ๆ ทั้งที่ไม่รู้จักกันเลยแท้ ๆ แต่เขาก็ยังอุตส่าห์หยิบยื่นความห่วงใยให้กับคนอย่างเธอ
มืออวบสั่นเทายื่นจับฝ่ามือข้างนั้นเอาไว้ ก่อนค่อย ๆ ก้าวถอยออกห่างจากราวสะพานตามคำขอของเขา ชมจันทร์ปล่อยมืออีกข้างจากราวสะพาน สายตาหยุดนิ่งมองผืนน้ำเบื้องล่างผ่านม่านน้ำตา
…มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบจริง ๆ
เธอเกือบจะจบชีวิตตัวเองกับลูกไปแล้ว ต้องขอบคุณเสียงของแม่ในความทรงจำที่เรียกสติเธอกลับมา และขอบคุณชายแปลกหน้าคนนี้ที่ช่วยดึงเธอกลับมาในโลกความเป็นจริงอีกครั้ง
ตุบ…
“เฮ้ย… คุณ!” ร่างสูงถลาเข้าประคองร่างอวบที่หลังจากถอยห่างจากราวสะพานได้ไม่ถึงนาทีก็ทรุดตัวลงบนพื้นทันที สามภพนั่งคุกเข่าบนพื้นจับหญิงสาวพิงแผ่นหลังกับแผงอกตัวเอง เขาพยายามเรียกสติเธอที่เวลานี้สองตาปิดสนิทไปแล้ว “คุณ! คุณครับ!”
.
.
.
โรงพยาบาล
ครืด…
ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของแพทย์หนุ่มเดินออกมา เขาถอดผ้าปิดปากออกพลางมองผู้ชายร่างสูงอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งทำหน้าเคร่งเครียดอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
“เธอไม่ได้เป็นอะไรมาก แกไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ไอ้ภพ”
“ไอ้หมอ เธอปลอดภัยแล้วใช่ไหม?” สามภพรีบถลาเข้าหาเพื่อนรักเพื่อนสนิททันที ทั้งคู่เรียนแพทย์มาด้วยกัน จบพร้อมกัน ทว่าสามภพกลับไม่ได้เป็นแพทย์ตามสายวิชาที่เรียน แต่เปิดร้านอาหารเล็ก ๆ แทน
“อืม เธอแค่อ่อนเพลีย เหมือนจะอยู่ในภาวะเครียดจัดด้วย”
สามภพถอนหายใจโล่งอก ก่อนหน้านี้ตอนชมจันทร์หมดสติ เธอหน้าซีดมากจนเหมือนคนกำลังจะตายไม่มีผิด เขาเฝ้าปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เธอระหว่างรอรถพยาบาลมารับโดยไม่ปล่อยให้ห่างจากสายตาเลยสักวินาที
“ฉันถามหน่อย ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? เธอเป็นอะไรกับแก?” ภวัตร หมอหนุ่มอดถามสิ่งที่ตนเองสงสัยไม่ได้ เขารู้ว่าเพื่อนเขายังโสด แถมยังเป็นพวกคนดีชอบช่วยเหลือคนแบบไม่ดูหน้าดูหลังด้วย สามภพเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ฉันบังเอิญเจอเธอที่สะพานข้ามแม่น้ำ เหมือนเธอกำลังคิดสั้น…” ตอนนี้ชายหนุ่มทั้งสองกำลังยืนอยู่ในห้องพักฟื้นของชมจันทร์ ภวัตรมั่นใจว่าเธอคงจะหลับไปยันเช้า เขาถึงกล้ายืนคุยกับสามภพภายในห้องนี้
“งั้นแกคงไม่รู้ว่าเธอกำลังตั้งครรภ์อยู่”
“แกหมายถึง… ท้อง?”
“เออสิวะ หรือต้องให้ฉันพูดศัพท์แพทย์แกถึงจะเข้าใจง่ายกว่า” หมอหนุ่มอดแซะเพื่อนรักไม่ได้
สามภพหันมองร่างอวบใหญ่ที่กำลังนอนหลับสนิทบนเตียงผู้ป่วย ใบหน้าของเธอซีดเซียวอย่างมาก เพราะเครียดเรื่องนั้นเธอถึงคิดสั้นงั้นเหรอ…
“แล้วนั่นกระเป๋าอะไร?” ภวัตรจ้องกระเป๋าเสื้อผ้าบนโต๊ะข้างหัวเตียง
“มันตกอยู่ข้างเธอ คงเป็นกระเป๋าเธอนั่นแหละ”
“คงไม่ใช่หนีออกจากบ้านมาหรอกนะ”
“แกติดต่อญาติเธอได้หรือเปล่า?” ปกติเวลาคนไข้เข้ารับการรักษา ทางโรงพยาบาลจะต้องทำการติดต่อญาติผู้ป่วยทุกครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากเคสอื่น ๆ อีกหลายพันเคสที่ติดต่อญาติไม่ได้
หมอหนุ่มส่ายหน้าพลางถอนหายใจมองคนไข้บนเตียง “เธอไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีสมุดจดเบอร์ติดต่อของใครเลย ในกระเป๋ามีแค่บัตรประชาชนกับเงินสดแค่ไม่กี่บาท ฉันว่าผู้หญิงคนนี้ถ้าไม่หนีออกจากบ้านก็คงถูกไล่ออกจากบ้านมาแน่ ๆ ไม่งั้นคงไม่คิดสั้นแบบนั้น”
ภวัตรคาดการณ์ได้ตรงใจกับสามภพ ดูจากสภาพการณ์ตอนนี้ความเป็นไปได้อย่างเดียวก็คงหนีไม่พ้นสองเหตุผลนี้
“จะเอายังไงต่อไปดีล่ะ แกช่วยเธอไว้นี่ แต่ถ้าไม่อยากวุ่นวายก็ปล่อยเธอไว้ที่นี่แหละ รอเธอฟื้นฉันจะคุยกับเธอเอง แกก็กลับไปพักผ่อนเถอะ” ภวัตรตบบ่าเพื่อนเบา ๆ
สามภพจ้องมองหญิงสาวบนเตียงด้วยแววตาครุ่นคิด “พรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่ ฉันจะคุยกับเธอเอง”
“เอางั้นเหรอ? แกไม่รู้จักเธอไม่ใช่เหรอ ในเมื่อช่วยพามาส่งโรงพยาบาลแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรเธอแล้วนะ”
“ฉันก็แค่… รู้สึกเหมือนเห็นตัวเองในอดีต” สามภพเว้นช่วงพลางขมวดคิ้วมองหญิงสาวแปลกหน้าบนเตียงผู้ป่วย
ภวัตรเข้าใจความหมายในคำพูดของเพื่อนรักทันที เขาจึงไม่ซักไซ้อะไรอีก
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่แล้วกัน ฝากดูแลเธอด้วย”