บทที่สิบเอ็ด #เจ้าตัวเล็ก

2496 Words
“ชื่ออะไรล่ะเรา” เขาได้ยินเสียงตัวเองถามออกมาแผ่วเบา ดวงตาคมเข้มจับจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กชายตรงหน้าด้วยสายตานิ่งขรึม ทว่าเด็กน้อยกลับไม่รับรู้ถึงสายตาเขาเงยหน้ายิ้มกว้างตอบด้วยน้ำเสียงสดใส “ชื่อรภีร์ฮะ รภีร์ที่แปลว่าดวงตะวันแสนสว่างไสวของมามี้” รภีร์… ดวงตะวัน… “แต่เรียกว่าน้องภีร์สั้น ๆ ก็พอฮะ แล้วคุณลุงล่ะฮะ คุณลุงชื่ออะไรเหรอ?” เด็กน้อยเอียงคอมองเขาตาแป๋ว แดนรบหลุบตามองคล้ายครุ่นคิดเล็กน้อย เขาไม่ตอบแต่กลับย่อตัวอุ้มร่างเล็กขึ้น “อ๊ะ! ว้าว… สูงจังเลยฮะ!” รภีร์ร้องตกใจเบา ๆ ก่อนดวงตากลมโตเปล่งประกายมองภาพวิวเนินเขาเบื้องล่างที่เด็กน้อยเพิ่งสังเกตเห็น ดูเหมือนภาพตรงหน้าจะทำให้เจ้าตัวเล็กลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ ร่างสูงก้มมองเด็กน้อยในวงแขน ตอนแรกเขาตั้งใจจะอุ้มพากลับบ้านไปทำแผล แต่พอเห็นสีหน้ากับแววตาตื่นเต้นคู่นั้นจึงเปลี่ยนใจอุ้มพาเดินเล่นแถวนี้ต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน “นั่นอะไรเหรอฮะ?” นิ้วป้อม ๆ ชี้ไปทางถังไม้โอ๊คซึ่งวางเรียงรายอยู่ใต้เถาองุ่นประมาณสี่ห้าใบ ร่างสูงก้าวเดินไปทางนั้นพลางอธิบาย “ถังไวน์ แต่มันเก่าแล้วไม่ได้ใช้เลยเอามาตั้งไว้แถวนี้” “ไวน์ อืม… หมายถึงน้ำที่หมักจากองุ่นใช่ไหมฮะ?” ดวงตาคมจ้องมองแววตาใสซื่อแฝงแววฉลาดเฉลียวด้วยความสนใจ เด็กคนนี้แตกต่างจากเด็กคนอื่นทั่วไปที่เขาเคยพบ นอกจากจะไม่ร้องไห้งอแงหรือพูดมากน่ารำคาญแล้ว ยังช่างถาม ช่างสังเกต และฉลาดพูด ฉลาดคิดเสียด้วย เขาวางร่างเล็กลงบนถังไม้โอ๊คสูงประมาณเอว สองมือยกขึ้นกอดอกจับจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างละเอียดอีกครั้ง ไม่ใช่แค่หน้าตาของเด็กคนนี้ที่ละม้ายคล้ายคลึงเขา แม้แต่นิสัย การพูดจา หรือความฉลาดเฉลียวยังถอดแบบเขาตอนเด็กมาอย่างกับแกะ เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง… มันต้องเป็นความบังเอิญแน่ ๆ “ชื่อน้องภีร์สินะ” เขาพึมพำเบา ๆ เมื่อเห็นเด็กน้อยเอียงคอมองจึงถามต่อ “ตอนนี้พ่อกับแม่ของน้องภีร์อยู่ที่ไหนเหรอ?” “มามี้เหรอฮะ ตอนนี้มามี้อยู่ที่ร้านฮะ” อยู่ที่ร้าน… หมายถึงร้านดอกไม้นั่นสินะ “แล้วพ่อล่ะ?” แวบหนึ่งเขาเห็นดวงตากลมโตวูบไหว หัวใจแกร่งพลอยกระตุกวูบอย่างอธิบายไม่ถูก ใบหน้าจิ้มลิ้มก้มงุดมองปลายนิ้วตัวเอง ตอบกลับเสียงอ้อมแอ้ม “…น้องภีร์ไม่มีปะป๊าฮะ” ความเงียบปกคลุมคนทั้งสองชั่วขณะ แดนรบยืนนิ่งงันอย่างไปต่อไม่ถูก เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบน้ำเสียงเหงาหงอยจากเด็กชายที่ร่าเริงสดใสอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ หมายความว่าเด็กคนนี้ไม่มีพ่องั้นสินะ… “นายอยู่ที่นี่เองเหรอ ฉันโทรหาไม่ยอมรับ…” เสียงทักจากด้านหลังหยุดชะงักไปเมื่อผู้มาใหม่เดินเข้ามาถึง กวินน์จ้องมองเด็กน้อยซึ่งนั่งก้มหน้าอยู่บนถังไม้โอ๊คพลางเลิกคิ้ว ทำไมถึงมีเด็กมาอยู่ที่นี่? แถมยังอยู่กับผู้ชายที่เกลียดเด็กเข้าไส้อย่างแดนรบอีกต่างหาก “เกิดอะไรขึ้น?” แดนรบละสายตาจากเด็กน้อยกลับมามองเลขาคนสนิท แววตาอ่อนแสงเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นนิ่งขรึม “เด็กคนนี้หกล้มหัวเข่าถลอก ฉันกำลังจะพากลับไปทำแผล” “อ้อ…” กวินน์ขานรับเบา ๆ ทำท่าจะเดินเข้ามาอุ้มร่างเล็กอย่างรู้หน้าที่ ทว่ากลับถูกร่างสูงของซีอีโอหนุ่มขวางเอาไว้พร้อมกับช้อนเด็กน้อยเข้าสู่วงแขนแกร่งซะเอง เขาชะงักมองการกระทำเหนือความคาดหมายของแดนรบ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันมองตามแผ่นหลังเย็นชาเดินผ่านหน้าไปโดยไม่พูดอะไร “เป็นอะไร ร้องไห้หรือไง” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามเด็กน้อยในวงแขนที่เอาแต่ก้มหน้านิ่งตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด “น้องภีร์เปล่าร้องไห้นะฮะ” รภีร์เงยหน้าตอบด้วยสีหน้าง่วงงุน เวลานี้เป็นช่วงยามบ่าย โดยปกติแล้วเป็นเวลานอนกลางวันของเด็กน้อย มือเล็กขยี้ตาพลางหาวเบา ๆ “น้องภีร์ก็แค่ง่วง… ฮะ” ร่างเล็กพิงศีรษะซบกับแผ่นอกกว้าง แม้อ้อมกอดแข็งแรงจะแตกต่างจากอ้อมกอดของมารดาที่ทั้งอบอุ่นและนุ่มนิ่มหอมหวานอยู่มาก แต่ก็ทำให้เด็กน้อยรู้สึกปลอดภัยจนวางใจหลับใหลไปในที่สุด ร่างสูงชะงักฝีเท้าก้มมองเด็กน้อยที่หลับใหลคาอ้อมกอดของเขาไปแล้ว ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มหลับด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ลมหายใจสม่ำเสมอแสนอบอุ่นเป่ารดใต้คางเขาเบา ๆ น่าแปลกที่มันกลับอบอุ่นไปถึงหัวใจแกร่ง… . . . “เกิดอะไรขึ้นตาแดน? ตาหนูภีร์เป็นอะไร? ทำไมลูกอุ้มกลับมาได้ล่ะ?” ดารินถามไถ่ด้วยความห่วงใยทันทีที่เห็นลูกชายสุดที่รักเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับอุ้มร่างเล็กของเด็กน้อยเข้ามาด้วย แดนรบวางรภีร์ลงบนโซฟาด้วยความแผ่วเบาราวกับกลัวว่าขยับมากไปอาจทำให้เจ้าตัวเล็กตื่น ดารินยืนมองภาพนั้นด้วยสีหน้าประหลาดใจก่อนมองกวินน์ซึ่งเดินตามหลังลูกชายเธอเข้ามาเงียบ ๆ ทั้งสองสบตากันโดยไม่พูดอะไร ก่อนหันกลับไปมองร่างเล็กของเด็กน้อยอีกครั้ง “มีกล่องพยาบาลไหมฮะ เด็กนี่หกล้มหัวเข่าถลอก ควรรีบฆ่าเชื้อให้เร็วที่สุด” แดนรบพูดไปพลางขยับร่างเล็กให้นอนในท่าที่สบายขึ้น เขาทำทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว ทำไปตามสัญชาตญาณท่ามกลางสายตาของมารดาและเลขาคนสนิท เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจึงหันกลับมามองคนทั้งสอง คิ้วเข้มขมวด แฝงแววหงุดหงิดจาง ๆ “อ้อ… กล่องพยาบาลสินะ เดี๋ยวแม่ไปหยิบมาให้จ้ะ” ดารินได้สติกลับมารีบเดินหายเข้าไปทางครัว หลังหยิบกล่องพยาบาลกลับมา แดนรบรับไปวางบนโต๊ะก่อนนั่งลงบนเบาะข้างเด็กชายตัวน้อยและเริ่มทำแผลให้ การกระทำเหนือความคาดหมายของชายหนุ่มเรียกสายตาประหลาดใจจากคนทั้งสองอย่างมาก ตั้งแต่เล็กจนโตแม้ว่าแดนรบจะไม่ใช่คนเย็นชาเลยซะทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่คนอ่อนโยนเช่นกัน ยิ่งกับคนแปลกหน้าเขายิ่งไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย ทว่ากับเด็กคนนี้กลับแตกต่าง หลังทำแผลให้รภีร์เสร็จ มือหนาเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่กล่องเรียบร้อย เขาเงยหน้ามองผู้เป็นแม่กับเลขาคนสนิท ชะงักเล็กน้อยกับสายตาที่ทั้งสองจ้องมองมา ดูเหมือนว่า… เขาเพิ่งจะลืมตัวทำเรื่องไม่เป็นเรื่องไปงั้นสินะ “งะ งั้นแม่เอากล่องไปเก็บให้นะ อ้อจริงสิ ฝากดูตาหนูภีร์ก่อนนะ พอดีแม่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องเอาของว่างไปส่งให้พ่อน่ะ” ดารินยิ้มอย่างอารมณ์ดี แผนที่เธอวางเอาไว้ได้ผลเกินคาด ไม่เสียแรงที่สู้อุตส่าห์ออกจากไร่แต่เช้าเพื่อไปรับรภีร์มา ตอนแรกแค่อยากให้แดนรบได้เจอกับรภีร์สักครั้ง เผื่อความน่ารักของรภีร์จะมัดใจลูกชายเธอได้บ้าง เธอจึงบอกให้รภีร์ไปวิ่งเล่นกับเจ้าแรมโบ้บริเวณเนินเขา ถึงจะรู้สึกผิดที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นทำให้รภีร์ต้องบาดเจ็บก็เถอะ แต่ถ้าทำให้คนไม่สนโลกอย่างแดนรบมีปฏิกิริยาแบบนี้ได้… ก็ถือว่าคุ้ม… หลังจากดารินเดินยิ้มออกไป กวินน์แสร้งกระแอมเบา ๆ เสสายตามองไปทางอื่น แต่ไม่รอดพ้นสายตาซีอีโอหนุ่ม “มีอะไร? ทำไมแม่กับนายถึงมองฉันแบบนั้น” “ไม่มี ก็แค่… แปลกใจที่เห็นนายดูห่วงใยเด็กคนนั้น” กวินน์ตอบกลับตามตรง เขารู้ว่าโกหกผู้ชายคนนี้ไม่ได้ สายตาแหลมคมนั่นพร้อมจะกรีดเลือดกรีดเนื้อเขาเสมอ “ห่วงใย? ใครห่วงใยเด็กนี่กัน ฉันก็แค่ไม่อยากให้มีเรื่องวุ่นวายตามมาทีหลังเท่านั้น หากแม่ของเด็กมาโวยวายว่าลูกตนเองบาดเจ็บตอนอยู่ในไร่ฉันขึ้นมาจะน่ารำคาญเสียเปล่า” ร่างสูงทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอีกตัว สายตาจับจ้องร่างเล็กของเด็กน้อยที่ยังนอนหลับสนิทบนเบาะโซฟา “ว่าแต่เด็กนั่นเข้ามาที่นี่ได้ยังไง นายรู้หรือเปล่า?” “เมื่อเช้าแม่นายไปรับมาน่ะสิ เห็นว่าเป็นลูกชายเจ้าของร้านดอกไม้ร้านนั้น” อย่างที่คิด… เด็กคนนี้เป็นเด็กคนเดียวกันกับที่เขาเจอเมื่อวานจริง ๆ แสดงว่าแม่คิดวางแผนอะไรอีกแน่ ๆ ถึงได้ออกไปรับเด็กคนนี้เข้ามาในไร่ตั้งแต่เช้าแบบนั้น แถมยังปล่อยให้เด็กนี่เข้าไปวิ่งเล่นในพื้นที่ส่วนตัวของเขาที่ปกติไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนเวลาเขาอยู่อีกด้วย “ไปสืบเรื่องเด็กคนนี้มาหน่อย” เสียงทุ้มเว้นช่วงเล็กน้อย “เรื่องแม่ของเด็กคนนี้ด้วย สืบมาให้หมดเท่าที่จะทำได้” “นายอยากรู้เรื่องอะไร?” กวินน์หยั่งเชิงถาม “หรือสงสัยเรื่องชาติกำเนิดของเด็กคนนี้?” แดนรบไม่ตอบอะไร เพียงนั่งนิ่งมองเด็กน้อยบนโซฟาเงียบ ๆ “นายคงไม่คิดว่าเด็กนี่อาจจะเป็นลูก…” “พอแล้ว ไม่ต้องพูด” ดวงตาคมตวัดมองเลขาคนสนิท ความหงุดหงิดใจฉายชัดในแววตาคม เขารู้ว่ากวินน์จะพูดอะไร และเขาก็ไม่อยากจะยอมรับด้วย เขาไม่เชื่อว่าเรื่องมันจะบังเอิญอะไรขนาดนั้น เขาตามหาผู้หญิงคนนั้นมาตั้งกี่ปี ตามเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จู่ ๆ จะมาบังเอิญเจออะไรตอนนี้เล่า แถมยัง… ยังเจอลูกก่อนเจอแม่ด้วยเนี่ยนะ? เป็นไปไม่ได้… โชคชะตามันเล่นตลกเกินไป เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด! . . . “ทำไมผมต้องไปส่งเด็กคนนี้ด้วย” แดนรบตวัดสายตามองเจ้าตัวเล็กที่กำลังวิ่งเล่นอยู่กับเจ้าหมาตัวใหญ่อย่างสนุกสนานบริเวณลานหน้าบ้าน หลังทานอาหารเย็นเสร็จเขาตั้งใจว่าจะกลับกรุงเทพฯ เลย แต่ถูกมารดารั้งตัวเอาไว้ซะก่อน “ไหน ๆ ลูกก็จะกลับกรุงเทพฯ แล้วนี่ ยังไงก็ต้องขับรถเข้าเมืองอยู่ดีนี่นา แม่ฝากไปส่งตาหนูภีร์ที่ร้านด้วยเลยแล้วกันนะ” “แต่ว่าผม…” “เอาตามนี้แหละ แม่ต้องรีบไปจัดเตรียมของว่างมื้อเย็นให้พ่อเราแล้ว ยังไงแม่ฝากหลานด้วยนะตาแดน ส่งตาหนูภีร์ให้ถึงมือแม่เขาเลยนะ รู้ไหม” พูดจบท่านก็เดินกลับเข้าบ้านไปราวกับไม่ยอมเปิดโอกาสให้แดนรบโต้แย้ง เขามองตามร่างบอบบางของมารดาด้วยความรู้สึกอ่อนใจ ชีวิตนี้เขาแพ้ให้ผู้หญิงคนนี้คนเดียวจริง ๆ ไม่เคยสู้ได้เลยสักครั้ง รถยนต์คันหรูขับเข้ามาจอดเทียบบริเวณหน้าลานบ้าน รภีร์หยุดวิ่งเหม่อมองไปทางรถคันนั้นก่อนร้องว้าวเสียงดัง แดนรบขมวดคิ้วมองเด็กน้อยที่วิ่งเข้าไปเกาะข้างประตูรถเหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด เขาเดินเข้ามาหยุดยืนด้านหลังพลางมองสบตากับดวงตาเปล่งประกายผ่านกระจกรถ “ทำอะไรน่ะ” “รถสวยมากเลยฮะ หรูสุด ๆ ไปเลย!” เด็กน้อยหันมายิ้มเต็มแก้ม ดวงตาทอประกายระยิบระยับ “นี่รถคุณลุงเหรอฮะ!” “ใช่” “โอ้โห! คุณลุงต้องรวยมากแน่ ๆ เลยใช่ไหมฮะ!” ร่างสูงชะงักเล็กน้อย หรี่ตามองเจ้าตัวเล็ก “ทำไมถึงคิดว่าฉันรวย?” “ก็รถคันนี้แพงมาก ๆ เลยไงฮะ น้องภีร์เคยเห็นเพื่อนที่โรงเรียนนั่งมาเรียนทุกวันเลย เพื่อนบอกว่าพ่อเขารวยมากก็เลยมีรถแพง ๆ ขับฮะ” คนฟังได้แต่ยืนนิ่ง สำหรับคนอื่นคิดยังไงเขาไม่รู้ แต่สำหรับเขารถยนต์ราคาสองสามล้านไม่ถือว่าแพงอะไรเลย เป็นแค่เศษเงินด้วยซ้ำไป แต่ดูจากแววตาเปล่งประกายของเด็กชายตรงหน้าแล้ว มันคงมีค่ามากจริง ๆ “อยากลองนั่งไหมล่ะ” “ได้เหรอฮะ! น้องภีร์นั่งรถคันนี้ได้จริง ๆ เหรอฮะ?” ประตูรถเลื่อนเปิดด้วยระบบไฟฟ้า เด็กน้อยร้องว้าวสองตาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น แดนรบสบตากับกวินน์ซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งคนขับ ทั้งคู่ไร้ซึ่งคำพูดเพียงมองปฏิกิริยาน่าเอ็นดูของเด็กน้อยต่อไป “ขึ้นไปสิ เดี๋ยวฉัน เอ่อ เดี๋ยวลุงไปส่ง” ซีอีโอหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามน้ำเสียงติดขัดเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำอะไรแบบนี้ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน หลังได้ยินคำอนุญาตร่างเล็กรีบกระโดดขึ้นรถคันหรูทันที ก่อนจะมองรอบตัวรถด้วยสีหน้าทึ่ง ๆ “ว้าว… กว้างมากเลยฮะ อ๊ะ เบาะก็นุ๊มนุ่ม” แดนรบขึ้นมานั่งตามหลังเด็กน้อย ประตูไฟฟ้าเลื่อนปิดเรียกดวงตากลมโตหันมอง ประกายตื่นเต้นฉายชัดพร้อมกับรอยยิ้มเต็มแก้ม เด็กน้อยหันมาจ้องมองท่าทางการนั่งของร่างสูงข้างกาย ก่อนร้องว้าวออกมาอีกรอบ “คุณลุงเท่มากเลยฮะ เท่กว่าพวกคุณลุงที่มาจีบมามี้อีกฮะ” ปลายนิ้วที่กำลังสไลด์หน้าจอโทรศัพท์เพื่อเช็คอีเมลหยุดชะงัก สายตาคมเลื่อนมองเจ้าตัวเล็กข้างกาย สบกับแววตาทอประกายชื่นชมซึ่งมองจ้องเขาไม่หยุด “พวกคุณลุงไหนนะ?” คิ้วเข้มขมวดจาง ๆ ขณะทวนคำถาม “พวกคุณลุงที่มาจีบมามี้ไงฮะ มีตั้งหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…” เด็กน้อยยกนิ้วขึ้นมานับไปเอียงคอไป ก่อนส่ายหน้า “สิบนิ้วก็นับไม่พอฮะ” “ฮึ… จะอวดว่ามามี้ตัวเองสวยมากขนาดคนมารุมจีบจนนับไม่ถ้วนเลยหรือไงกัน” เขาอดจะขบขันกับท่าทางขี้อวดของเจ้าเด็กตัวน้อยไม่ได้ ใบหน้าจิ้มลิ้มไร้เดียงสาพยักหน้ารับพร้อมกับเผยยิ้มกว้างจนตาหยี “มามี้น้องภีร์สวยมาก โสดด้วย ถ้าลุงอยากจีบต้องรีบนะฮะ ยังมีพวกลุง ๆ อีกหลายคนที่พยายามทำคะแนนอยู่” นั่นคือคำพูดที่ออกมาจากปากเด็กชายวัยห้าขวบเศษ เด็กชายที่หน้าตาเหมือนเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน แดนรบหรี่ตามองแววตาครุ่นคิด ริมฝีปากหนาบิดยิ้มด้วยความสนใจ “ชักอยากจะเห็นหน้ามามี้ของน้องภีร์ซะแล้วสิ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD