บทที่ 9

1991 Words
“ข้าบอกแล้วว่าบังอาจมาแตะคนของข้าจะต้องเจอดี จงอยู่กับฝันร้ายนี้ไปสักสามวันเจ็ดวันเถอะ” หลังจากยืนฟังเสียงจนพอใจจึงกลับเข้าบ้านไปนอน ภูตใบไม้ยังคงเดินลาดตระเวนเช่นเคย พวกมันจะคงอยู่จนกว่าจะย่อยสลายไปตามธรรมชาติ ถึงเวลานั้นนางจะสร้างภูตใบไม้ชุดใหม่ขึ้นมาทดแทน กริ๊งๆ! กริ๊งๆ! แว่วเสียงกระดิ่งลอยมาตามลม ชุนเยว่ที่เพิ่งหลับไปได้ไม่นานเด้งตัวลุกขึ้น นางคว้าเสื้อคลุมมาสวมอย่างว่องไวและเดินออกไปที่หน้าบ้าน “คนที่มาคือผู้ใด” เบื้องหน้ามีคนแต่งกายคล้ายนักบวช ในมือเขาถือกระดิ่งเอาไว้ ด้านหลังยังมีศิษย์ชายหนึ่งคนที่อายุราวสิบสองสิบสามปี มองนางอย่างระแวดระวัง “แม่นาง ขอเจ้าหยุดจองเวรเถิด มันจะกลายเป็นบ่วงกรรมที่เกี่ยวโยงไปไม่มีวันจบสิ้น” “บอกให้ข้าหยุด แล้วพวกมันเล่าเคยให้ทางรอดข้าหรือไม่ หึ! เกรงว่าเจ้าแค่อยากเทศนาข้าเท่านั้น” “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เจ้าไม่คิดบ้างว่าอาจเป็นเจ้าที่ผูกเวรนี้ก่อน” “ใช่หรือไม่ข้าจะตัดสินเอง ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาสอน” “อย่างไรตอนนี้เจ้าได้ล้างแค้นแล้ว ไยจึงไม่ปล่อยให้คนไปผุดไปเกิดใหม่ เรื่องอาคมกักขังข้าสามารถแก้ไขมันได้” “อ้อ..! ที่แท้ในตอนนั้นก็เป็นเจ้าสินะ” ดวงตาของนางแดงฉานอย่างกรุ่นโกรธ คนที่สามารถแก้อาคมนี้ได้มีเพียงผู้ที่สร้างมันขึ้นมา จากที่คิดจะขับไล่แล้วแยกย้ายจึงเปลี่ยนเป็นอาฆาต อยากจับคนไปฝังลงในหลุมให้ได้รู้ซึ้งถึงการต้องทนทุกข์อยู่ใต้ดิน “ล้วนเป็นกรรมที่ก่อ ข้าไม่มีสิ่งใดจะแก้ตัว อดีตนั้นย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ ทำได้เพียงขยันสร้างกรรมดีในปัจจุบัน” “ถุย! หากไม่ใช่ว่าเจ้าหวาดกลัว มีหรือจะมาหาข้าเพื่อขอการอภัยหรือ ใจเจ้าไม่อาจสงบได้เพราะสิ่งที่ทำมันโหดร้าย เจ้ารู้แก่ใจดีว่าข้าต้องทนทุกข์อย่างไร ในเมื่อเจ้าอยากแก้ไขก็เอาสิ ข้าจะดูว่าเจ้ามีปัญญาคลายอาคมของข้าหรือไม่” “ขอแม่นางอย่าได้ดึงดันอีกเลย เจ้าได้ขโมยตัวตนขโมยชีวิตผู้อื่นไป น่าจะพอใจได้แล้ว” “เหอะ! ในตอนนั้นไม่ใช่พวกเจ้าที่ขโมยชีวิต ทั้งยังพรากลมหายใจข้าไปหรือ ไม่ต้องมาอ้างเรื่องที่ข้าเรียนเวทสายดำ ข้าเรียนแล้วอย่างไร ข้าไม่เคยคิดมุ่งร้ายต่อผู้ใด จนกระทั่งนักบวชอย่างเจ้าที่จับข้าฝังลงดิน” “....” ไร้คำโต้แย้ง นักบวชหนุ่มเพียงก้มหน้าลงยอมรับ นั่นคืออดีตชาติของเขาที่เคยทำบาปไว้กับนาง เพราะหลังตายลงได้ผจญกับขุมนรกน่ากลัว กว่าจะได้เกิดใหม่ก็หลายร้อยหลายพันวัน แต่เพราะเป็นกรรมหนักเขาจึงมีร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เกิด กระทั่งได้พบอาจารย์ตอนอายุเจ็ดปีจึงแนะให้ออกบวช ศึกษาพระธรรมเข้าใจอย่างลึกซึ้ง จนอยู่มาวันหนึ่งเขากลับระลึกชาติได้ พบว่าตนเองทำในสิ่งที่ยากเกินอภัย ผู้กระทำย่อมลืมได้ แต่ผู้ถูกกระทำไม่มีทางลืม เขาไม่ต้องการให้นางต้องทุกข์ทรมานเช่นที่เขาเคยเจอ จึงอยากให้นางหยุดทำร้ายคน “ข้ารู้ว่าเพียงคำพูดไม่อาจทำให้ความคับแค้นมันเบาลง แต่มีสิ่งหนึ่งที่บังอาจร้องขอ แม่นางโปรดอย่าได้พรากลมหายใจผู้ใดอีกเลย” “หากแม่นางจะโทษ ก็นำมาลงที่ข้าเถอะ” “เช่นนั้นเจ้าจงตายต่อหน้าข้า แล้วข้าจะไม่สังหารใครอีก เจ้ากล้าหรือไม่” “ท่านอาจารย์!! แม่นางเจ้าพูดอะไร จะให้คนตายต่อหน้าแบบนี้มันผิด” “หึ! คิดไว้อยู่แล้ว” “ท่านอย่าทำตามที่นางบอกเด็ดขาด ใช่แล้ว ท่านจะตายเพื่อเอาใจคนอื่นไม่ได้นะขอรับ” “....” แน่นอนว่ามนุษย์ทุกคนย่อมรักชีวิต เขาเองก็ยังมีกิเลสที่ตัดไม่ขาด และการฆ่าตัวตายถือเป็นบาปมหันต์ จึงไม่ได้ทำตามที่นางต้องการ “เห็นไหมเล่า ไม่ว่าผู้ใดก็รักชีวิตตน เจ้ากลัวตายยังกลัวว่าจะตัวเองตกนรก เช่นนี้แล้วยังกล้ามาสอนข้า” “เจ้าบอกให้ข้าปล่อยวาง แต่คนอื่นกลับไม่ปล่อยข้า เจ้าบอกว่าสำนึกแต่ไม่กล้าชดใช้ นั่นเพราะอะไร” “เพราะคนยืนพูดไม่ปวดเอว เจ้าไม่ได้เป็นคนที่ต้องหวาดกลัว นอนอยู่ใต้ดิน ขณะที่วันเวลาเคลื่อนผ่านไป ตอนนี้ข้ายังไม่รู้เลยว่าข้าถูกขังไว้นานเท่าไหร่กันแน่” “เห็นแก่ที่เจ้ามีเด็กมาด้วยวันนี้ข้าจะยังไม่ลงมือ แต่ถ้าเจอกันอีกข้าจะไม่ปล่อยผ่านไปแค่นี้ ไสหัวไป!” น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ นักบวชหนุ่มจึงถอนหายใจแล้วหันหลังจากไป มีชุนเยว่มองตามด้วยสายตาพร้อมเข่นฆ่า “อาจารย์ ดูเหมือนนางจะไม่มีวันวางความแค้นลง” “อืม สิ่งที่นางได้รับมันหนักหนาสาหัส จริงอย่างที่นางบอก ใครไม่เจอกับตัวไม่มีทางเข้าใจ” “แล้วท่านจะกลับวัดเลยไหมขอรับ” “ยังก่อน ข้าอยากอยู่รอหาทางช่วยนำวิญญาณดวงนั้นออกมา ให้นางได้เข้าสู่วัฏสงสาร” “หลุมนั้นเป็นข้าที่สร้างเอง ไม่อาจจากไปทันทีได้” “แต่ว่าท่านเคยพูดไว้ อาคมของผู้หญิงคนนั้นแข็งแกร่งยากจะทำลาย” “คงต้องหาทางลองดู ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ ก็แล้วแต่เวรกรรมเถอะ” นักบวชหนุ่มกับศิษย์ทั้งสองคนจึงเดินหาอารามร้างเพื่อพักผ่อนในคืนนี้ เขายังต้องการดูในแน่ใจว่าชุนเยว่จะไม่สังหารใครในตอนนี้ เขาไม่อยากให้นางหลงผิดจนยากจะถอนตัว ทั้งหมดมันเริ่มมาจากเขาที่ร่วมมือกับคนอื่นทำร้ายนาง ด้านชุนเยว่ไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้น นางถือคติว่าหากสุนัขไม่เห่านางจะไม่ตีมัน แต่เมื่อใดก็ตามที่เห็นว่าวุ่นวาย ไม่ต้องรอจนเห่านางจะจัดการเดี๋ยวนั้น “ฮ้าวท่านแม่! ท่านตื่นรึยังขอรับ” “ตื่นแล้ว ว่าอย่างไร” นางเปิดประตูเห็นเจ้ารองยืนหาวหวอดๆ ฟ้าเริ่มสว่างก็จริงแต่เด็กบ้านนางตื่นเช้าจนเป็นนิสัย มองเขาหาวเหมือนนอนไม่อิ่มเช่นนี้ให้แปลกใจ “พี่ใหญ่ให้มาถามท่านว่าเช้านี้ท่านอยากกินอะไร” “ไม่เอาโจ๊กไม่เอาหมั่นโถว อย่างอื่นได้หมด” “ขอรับฮ้าว..!” “ดูเจ้าสิ หาวปากกว้างจนยัดกำปั้นเข้าไปได้ ไปอดหลับอดนอนมาจากไหน” “คือว่า เมื่อคืนนี้ข้าปวดขามาก ก็เลยหลับไม่ค่อยสนิท” “เจ็บขาหรือ? เจ็บแบบใด ในเมื่อเจ้าไม่ได้หกล้ม” “มันเจ็บตรงข้อเท้า ปวดเหมือนกระดูกเป็นอะไรสักอย่าง” ชุนเยว่ฟังแล้วคิดถึงความน่าจะเป็น นางเคยได้ยินมาว่าเด็กที่กำลังโตอาจมีอาการดังกล่าวในบางคน สาเหตุคือกล้ามเนื้อโตไม่ทันกระดูก และมักเป็นตอนกลางคืน สองวันมานี้เขาได้กินอาหารอิ่มท้องได้กินเนื้อที่ทำให้เติบโต พอร่างกายมีสารอาหารเพียงพอจึงทำให้ปวด “เจ้าจงขยับแข้งขาและนวดเบาๆ มันคืออาการของคนที่กำลังยืดตัว จะเตี้ยจะสูงก็อยู่ที่ตัวเจ้าแล้ว ช่วงนี้มีเนื้อให้กินจงกินให้มาก ไว้พอรั้วใกล้เสร็จข้าจะหาไก่มาเลี้ยงไว้กินไข่” “ท่านแม่ ท่านแน่ใจหรือว่าป้าหลีจะไม่เข้ามาขโมย” “ถ้านางจะอยู่ถึงวันนั้นนะ ข้าทำนายว่านางต้องย้ายบ้าน” “คนอย่างป้าหลีจะย้ายไปจริงหรือท่านแม่ ย้ายแล้วจะไปที่ไหนได้อีก” “เชื่อข้าสิ” เจ้ารองไม่เข้าใจกับประโยคนี้ของมารดานัก แต่เขาก็ไม่ได้ถามอีก เพียงไปหาพี่สาวเพื่อบอกว่ามื้อเช้าควรทำอาหารใด และดีใจที่แม่เลี้ยงบอกให้มีเนื้อเป็นจานหลักทุกมื้อ ช่วงสายๆ ช่างมาทำรั้วบ้าน นางกับเด็กๆ จึงชวนกันมาแยกและตากสมุนไพร นำส่วนที่แห้งมาบดเป็นผง กะว่าสักพักจะให้เจ้าสามไปตลาดกับพี่สาวเพื่อหาซื้อวัตถุดิบมาปรุงยา นางได้สอนพวกเขาถึงวิธีทำ ยังบอกว่าแต่ละอย่างมีสรรพคุณใดบ้าง เผื่อเวลาเจ็บป่วยจะได้ไม่ต้องร้องหาแต่หมอ และเป็นอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งถึงเวลานัดหมายกับครูสอนภาษา ในตอนแรกเด็กคนอื่นๆ รู้สึกอิจฉาที่มารดาให้ความสำคัญกับเจ้ารอง แต่ไม่มีใครกล้างอแงหลังจากรู้ราคาค่าเรียนที่แพงมาก อีกทั้งพอได้ยินการออกเสียงพยัญชนะให้เจ็บคอ บางวันนางจะชวนเจ้ารองเข้าป่าแต่เช้ามืด สายค่อยเข้าเมืองไปบ้านเช่าครูสอนภาษา มีนักเรียนอยู่สี่ห้าคน ชุนเยว่ถือว่าอาวุโสที่สุด ค่าแรงของช่างรับเหมานางก็ทำตามที่ตกลงไว้ เห็นผลงานจึงจ่ายเงินเป็นงวดๆ นางรู้ว่าจะกระตุ้นคนอย่างไรให้งานเดิน “ท่านแม่ เราจะไม่เอาของไปขายอีกหรือ” “รีบร้อนทำไมกัน เพิ่งผ่านมากี่วันเอง สวนยังไม่ทันแตกกิ่งใบด้วยซ้ำ” “ท่านแม่ ที่บอกว่าไม่กี่วันของท่านผ่านมาเป็นสิบกว่าวันแล้ว” “ไม่รีบ ตราบใดที่มันยังไม่แตกกอเป็นที่น่าพอใจ ก็ไม่ขาย” “ท่านแม่เจ้าคะ เสื้อที่ข้าเย็บเสร็จ ท่านดูว่ามันใส่ได้พอดีหรือไม่” เจ้าใหญ่ที่ได้ผ้ามาหลายพับ จึงอาสาตัดเย็บให้ทุกคนใส่ นางได้นำผ้าออกมาวางแล้วถามว่าชอบสีใดนางจะตัดตามความชอบ มีเพียงมารดาที่ไม่ได้ใส่ใจ บอกว่าสีไหนก็ใส่ได้ ในตอนนั้นไม่ทันสังเกตว่าบุตรสาวยิ้มกริ่ม เพิ่งมาเข้าใจก็ตอนนี้ “นี่..!” “ท่านแม่ ท่านบอกว่าข้าเลือกสีใดก็ได้ ข้าคิดว่าท่านใส่สีกลีบบัวแล้วสวยมาก” อืม...เป็นนางที่พลาดเอง สีอ่อนหวานเช่นนั้นมันเหมาะกับตนที่ไหน ทั้งยังล่วงเลยวัยแรกแย้มมานาน แต่ผ้าก็ตัดแล้ว ไม่ชอบก็ต้องใส่ “ฝีมือเจ้าถือว่าใช้ได้ แต่ยังไม่ประณีตพอ ได้ยินว่าในหมู่บ้านเรามีอาจารย์สอนเย็บผ้า ที่เป็นเข็มถีบจักร เจ้าใหญ่เจ้าอยากเรียนหรือไม่” “ได้หรือเจ้าคะ แบบนั้นจะดีมาก!” “หากเจ้าทำได้ดี ข้าจะหาเงินซื้อหัวจักรเย็บผ้าให้เจ้า ในอนาคตยังสามารถทำเป็นอาชีพ อาจเปิดร้านตัดชุด ตอนนี้บ้านเมืองเราทำการค้ากับต่างแดน มีหลายสิ่งที่ต้องตามให้ทัน” หลายวันมานี้นางได้สืบข่าวจากหลายช่องทาง ทั้งถามทั้งเฝ้ามอง อ่านประกาศ จึงพอรู้ว่าไม่นานจะเกิดการชุมนุมกดดันอย่างหนักเพื่อล้มล้างอำนาจเก่า ล้มระบบเก่า เข้าสู่การมอบคืนแก่ประชาชน ดูท่าจะยืดเยื้อไปอีกนาน เลี่ยงจะไม่มีผลกระทบยาก ก็จริงที่จะมีผู้คนเดือดร้อนล้มตายจากเหตุนี้ แต่ยังดีที่เมืองที่นางอาศัยห่างไกลจากเมืองหลวงและเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ ถือว่ากันดารพอตัว ข่าวว่าบางคนขายบ้านขายทรัพย์สินขึ้นเรือสำเภาออกโพ้นทะเล หาที่ตั้งหลักปักฐานใหม่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD