บทที่ 11

2006 Words
“โธ่ถังท่านหัวหน้า! ท่านจะทอดทิ้งข้าสองผัวเมียไว้ไม่ได้ ท่านดูเบ้าหน้าข้า ด้วยสภาพเช่นนี้ข้าจะไปหาใครไหวเล่า” “ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วย แต่ข้าปูนนี้แล้ว จะให้เดินไปหลายสิบลี้เพื่อหาคนมาซื้อบ้านผีสิงของเจ้า มันไม่คุ้ม” “ข้าให้ส่วนแบ่งท่าน สามในสิบเลยเอ้า” “ไม่เอาๆ ต่อให้เจ้าแบ่งครึ่งข้าก็ขอปฏิเสธ หากเขามารู้ทีหลังละก็...หึ! ผมหงอกบนหัวข้าไม่ถูกดึงออกมาทุกเส้นรึ” เจ้ารองเห็นว่าภารกิจใกล้ลุล่วง จึงเดินลงส้นเสียงดังทำท่าจะหันกลับ แต่เขาถูกดึงกระชากจนตัวแทบปลิว ดีว่าขาเล็กๆ แข็งแรงจึงไม่ล้ม “โว้ป้าหลี! ท่านดึงแขนข้าแรงมาก มันเหมือนจะหลุดติดมือท่าน” “แหะๆ เจ้ารองเอ๊ย! ได้ยินมาว่าแม่เจ้าหาของดีไปขาย จึงพอมีเงินอยู่บ้าง” “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย ปล่อยแขนข้าสิ” เด็กชายพยายามสะบัดดึงแขนกลับ แต่นางหลีที่ไม่เหลือทางรอดอื่น ไหนเลยจะยอมปล่อย มือที่ใหญ่กว่าราวกับทากาวไว้เหนียวหนึบติดหนับ เอาออกไม่ได้ “นี่เด็กน้อย บ้านเจ้ามีกันตั้งสี่พี่น้อง ในอนาคตยังไม่แน่ว่าถ้าพ่อเจ้ากลับมาจะมีลูกเพิ่มไหม ไยเจ้าไม่ไปบอกแม่ให้มาหาข้า ไปบอกนางว่ามีของดีราคาถูกขายให้” “หา! ไม่ ไม่! บ้านนี้มีผะ.อุบ!” ถูกฝ่ามืออุดปากทำให้เขากะพริบตาฟังอย่างเดียว “ชู่ว! ผีเผลออันใดไม่มี้ไม่มี! เจ้านะแค่เข้าใจผิดเท่านั้น จริงมั้ยท่านหัวหน้า” “โธ่เอ๊ย! ทำไมเจ้าทำแบบนี้ ปล่อยเขาไปเถอะ” “หากข้าปล่อยเขา เช่นนั้นท่านก็ต้องอยู่จนกว่าข้าจะแก้ปัญหาได้” “ใช่ ข้าจะกอดขาท่านแบบนี้ไม่ปล่อย” “เจ้า! เจ้าสองคนมันเกินเยียวยาแล้ว” ดูเอาเถอะใช้เด็กมาเป็นตัวประกันไม่พอ ยังจับเขาไว้ ให้ตายสิเป็นผู้นำหมู่บ้านมันไม่ง่ายจริงๆ ชุนเหนียงก็พอตัว หากนางมารู้ทีหลังไม่ไปแหกอกเขาถึงบ้านหรือ แต่ถ้าไม่ช่วยจะเป็นตัวเขาที่ไม่ต้องไปไหน ความดื้อรั้นของทั้งคู่เขารู้ดีที่สุด “ได้! ข้าจะลองไปถามนางดู แต่เจ้าห้ามทำร้ายเด็ก อย่าทำให้เกิดอันตรายใดๆ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าจะถูกลงโทษตามกฎหมาย” เมื่อไร้ทางเลือกจึงเดินไปหาชุนเหนียงที่บ้าน หวังเจรจาเกลี้ยกล่อมไม่รู้ว่าจะมีคำตอบที่ดีหรือไม่ นางยังคงเดินดูรอบๆ เพื่อตรวจรั้วสูงที่เพิ่งสร้างเสร็จ “อ้าวท่านหัวหน้า มาหาข้าถึงนี้มีอะไรหรือ” “เฮ้ย! อย่าหาว่าข้าอยุติธรรมเลย แต่ข้าอยากให้เจ้าเมตตานางหลีกับสามีสักหน่อย” “น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ข้าตัดขาดกับพวกเขานานแล้ว จะถามหาความเมตตาใดอีก” “คือว่าตอนนี้ลูกคนรองของบ้านเจ้าอยู่กับพวกเขา” “ว่าอย่างไรนะ! ถึงขั้นจับคนบ้านข้าไว้ เจ้าสามไปเอาไม้มา เราต้องช่วยพี่เจ้ากลับบ้าน” “เดี๋ยวก่อน! มะ... ไม่ใช่แบบนั้น! คือว่าพวกเขาไม่ได้ทำร้ายทำอันตรายเด็ก แค่อยากให้ข้ามาพูดเจรจากับเจ้า” “มีเรื่องอะไรทำไมไม่บอกกันดีๆ ต้องกักตัวคน ท่านหัวหน้า ท่านไม่รู้สึกว่าเขาทำเกินไปหรือ นี่ข้าก็ก่อรั้วสูงเพื่อไม่ต้องเห็นหน้าคาตา” “ที่จริงพวกเขาอยากจะย้าย แต่ติดปัญหาว่าขายบ้านไม่ได้ เจ้าคิดว่าเอาแบบนี้ไหม เจ้าซื้อบ้านต่อจากเขา เรื่องราคาข้าจะต่อรองให้” “หัวหน้า ข้ารู้สึกว่ามันผิดวิสัยของสองคนนั้น ท่านกำลังจงใจปกปิดบางอย่างรึเปล่า” “ถูกเจ้าจับได้แล้ว ใช่ มีปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ แต่เจ้าอย่าเพิ่งโกรธ ช่วยฟังอย่างใจเย็นหน่อย เถอะน่า ถือว่าเห็นแก่หน้าเหี่ยวๆ ของข้าและตัวประกันอย่างลูกชายเจ้า” ดูเอาเถอะ แค่ฟังยังคิ้วกระตุกแล้วกระตุกอีก เจ้าใหญ่ เจ้าสามเจ้าสี่ต่างเกาะขอบประตูฟัง พวกเขารู้ว่าแม่ต้องมีแผนการแน่ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่สั่งให้เจ้ารองไป “ไม่ซื้อ!” หลังจากได้ยินสิ่งที่หัวหน้าบอกเล่า ชุนเยว่ก็แสร้งทำเล่นตัว หากนางตอบรับนั่นจะทำให้คนสงสัย “โอ้! แบบนี้ก็แย่แล้ว นางหลีเหมือนคนบ้า ทุกครั้งที่เวลาผ่านไปลูกชายบ้านเจ้าก็อาจเป็นอันตราย” “เช่นนั้นข้าจะไปร้องทุกข์ ข้าจะแจ้งความเอาเรื่อง” “เจ้าช่วยมีสติหน่อย อย่าได้บ้าตามนาง ระยะทางมันไกลขนาดนี้เกิดสองคนนั้นจนตรอกขึ้นมา มันจะได้ไม่คุ้มเสีย เอาน่า! ไปพูดคุยกันสักเล็กน้อย ค่อยหาทางพาคนออกมา เจ้านะอยู่บ้านข้างเคียงมานาน อย่าให้ถึงขั้นเอาทหารเข้ามาควบคุมเลย” “โอ๊ย! นี่มันเวรกรรมอะไรของข้ากัน” แกล้งร้องโวยวายพอเป็นพิธี จึงกวักมือชวนเด็กไปบ้างข้างๆ ภายใต้การโน้มน้าวจนเหงื่อตกของผู้นำ ในที่สุดชุนเยว่ก็ได้โฉนดบ้านมาไว้ในมือ นางยังหน้าบึ้งยืนดูสองผัวเมียหอบข้าวของเสื้อผ้าใส่รถเข็น ขนเอาทุกอย่างแม้กระทั่งขันใส่น้ำกับกระโถนฉี่ แม้ตะเกียบสักอันก็ไม่ทิ้งไว้ ถึงเหลือจริงนางก็ไม่เอา! กลัวสิ่งอัปมงคลติดตัว เรียกว่านอกจากตัวบ้านกับที่ดินแล้ว อะไรที่เคลื่อนย้ายได้พวกเขาเอาไปหมด แม้อ่างน้ำโอ่งใหญ่ยังกลั้นใจแบกออกไป “โชคดีนะลุงป้า! ไปแล้วไม่ต้องกลับมาอีก” เสียงเจ้ารอง เจ้าสี่ตะโกนตามหลัง นางหลีหันมามองตาขวางแต่ก็รีบวิ่งออกไป เพราะกลัวคนจะเปลี่ยนใจ กว่าจะขู่ให้ซื้อได้แทบจับเจ้ารองขึ้นขี่คอ “เฮ้อ! จบเรื่องเสียที” หัวหน้าหมู่บ้านเหนื่อยเหมือนวิ่งรอบเขาไท่ซาน ขาสั่นพั่บๆ เพราะยืนนาน เขาคิดว่าตนชรามากคงใกล้จะส่งต่อหน้าที่ให้คนอื่น “เจ้าสาม เจ้าจงประคองท่านหัวหน้ากลับบ้าน วันนี้เขาดูเหนื่อยล้า” “ขอรับ” “ไม่เป็นไร เท่านี้ข้าก็ละอายต่อเจ้า มันไม่ต่างจากการบังคับให้เสียเงิน” “ช่างเถอะ! ใครให้พวกเขาน่ารังเกียจกัน” ชุนเยว่เพียงพยักหน้า เจ้าสามจึงช่วยประคองหัวหน้าชรากลับไป คนแก่จึงไม่ปฏิเสธอีก มีคนไปด้วยก็ดีเกิดหน้ามืดล้มลงจะอับอายขายขี้หน้า “ท่านแม่ เราได้มาแล้ว!” “ถูกต้อง ตอนนี้ก็มีที่ดินเพื่อปลูกสมุนไพรเพิ่ม เพียงล้อมรั้วให้รอบต่อขึ้นให้สูงอีกเล็กน้อย เจาะประตูข้างทำทางเชื่อมเพื่อเดินผ่านสะดวก เพิ่มหินแหลมคมกับหนามเข้าไปหน่อย” “ที่แท้ท่านแม่ก็ต้องการซื้อบ้านหลังนี้” เจ้าใหญ่ที่เห็นสีหน้ามารดากับน้องชาย นางไม่คิดว่าแม่จะอยากได้บ้านของนางหลีที่คนต่างเบือนหน้าหนี แต่พอคิดว่าในอนาคตจะไม่มีคนคอยสร้างปัญหาจึงรู้สึกไม่แย่นัก และพวกนางไม่ใช่คนฆ่าสัตว์เหล่านั้น มันจะไม่มาหลอกหลอนกันใช่ไหม? “ท่านแม่” “ว่าอย่างไรหืมเจ้าตัวเล็ก” น้องเล็กวิ่งไปเกาะขามารดา เดี๋ยวนี้นางไม่รู้สึกกลัวแม่เหมือนแต่ก่อน ดวงตาใสแจ๋วโค้งดุจจันทร์เสี้ยวกำลังคาดหวังบางอย่าง “ข้าอยากเรียนสมุนไพรกับท่าน โตขึ้นข้าอยากเป็นหมอ” ชุนเยว่ชะงัก นางเพียงรู้เรื่องสมุนไพรบางส่วน ไม่มีความรู้ในวิชาแพทย์ขนาดนั้น “ได้ยินว่าตอนนี้มีหมอชาวตะวันตก มีวิธีรักษาที่ไม่เหมือนเรา น้องเล็กอาจได้ยินมาจากเพื่อนๆ จึงคิดว่าท่านรู้” เจ้ารองที่มักจะสอดส่องและพาน้องไปวิ่งเล่นในบางครั้งคาดเดา “เรื่องนี้ข้าเองก็เคยได้ยิน มีมิสชันนารีที่ชักชวนคนไปเข้าร่วมและสอนหนังสือ พวกเขาเพิ่งมาเปิดสิ่งที่เรียกว่าโบสถ์ พวกเขาเอาความรู้มาดึงคนเข้าศาสนาแต่ไม่ได้บังคับ เพียงขอให้รับฟังสิ่งที่เรียกว่าคัมภีร์” “ในเมื่อเป็นเรื่องดี เช่นนั้นเจ้าก็พาน้องไปฟังบ่อยๆ หากเขายอมสอนจงขวนขวายตักตวงมาเป็นความรู้” “แต่มันขัดกับหลักคำสอนของพวกเรา แบบนี้จะไม่ถูกผู้คนเกลียดชังหรือเจ้าคะ” “เราไม่ได้เปลี่ยนไปเข้าศาสนาสักหน่อย แค่ไปเรียนไปฟังเอาความรู้เท่านั้น อีกอย่างหากเขาสอนเรื่องการรักษาคน ข้าคิดว่าเขาน่าจะสอนเกี่ยวกับของผู้หญิงเป็นหลัก บ้านเมืองเรามีแต่หมอผู้ชาย หาหมอสตรีได้ยาก ถ้าเจ้าสี่อยากเรียนข้าจะสนับสนุนนาง” มองอย่างไรก็ได้ประโยชน์มากกว่าโทษ ต่อให้คนมองแล้วหันไปซุบซิบนินทาก็ให้เป็นปัญหาของคนเหล่านั้น วันใดแผ่นดินผืนฟ้าเปลี่ยนสี ความเปลี่ยนแปลงย่อมคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ยุคสมัยที่นางเคยอาศัยบัดนี้ยังถูกแทนที่จนไม่เหลือเค้าเดิม นับประสาอะไรกับตอนนี้ “ท่านแม่! ท่านแม่! ฟ้าสว่างแล้วออกเดินทางเถอะ” “ดูเจ้าสิ เดี๋ยวนี้ไม่ร้องไห้งอแง อยากไปเรียนขนาดนั้น” “ใช่เจ้าค่ะ วันนี้ซิสเตอร์บอกว่าจะทำเค้กแจก น้องสี่จึงอยากไปถึงเร็วๆ” “ดีจังเลยนะ ทำไมถึงไม่รับเด็กผู้ชายบ้าง” “ใกล้แล้วล่ะ ซิสเตอร์บอกว่าเดือนหน้าจะมีบาทหลวงมาประจำที่นี้ ถึงเวลานั้นเจ้าสองคนก็สามารถไปเรียนกับเขาได้เช่นกัน” “จริงหรือพี่ใหญ่ ท่านแม่ ท่านจะอนุญาตไหม” “ต้องบอกข้าโล่งใจ แบบนี้เจ้าจะได้ใช้ภาษาที่เล่าเรียนมาแบบจริงจัง เขาเพิ่งมาถึงคงสื่อสารได้ไม่คล่องนัก บางทีเจ้าอาจหาช่องทางแห่งความก้าวหน้าได้” “นี่เด็กๆ แม้พวกเจ้าจะอายุน้อย แต่ควรมองหาอนาคตที่ดีไว้ ในช่วงก้ำกึ่งเช่นนี้ผู้คนหมู่มากยังมีอคติในใจ อาศัยตอนที่พวกเขาไม่ยอมรับ มีคู่แข่งน้อยมันคือโอกาสของเรา” “รู้ก่อนมีโอกาสก่อน และจะก้าวหน้ามีหูตาที่กว้างไกลกว่า” คำสอนของชุนเยว่อาจฟังขัดใจชาวบ้านละแวกนี้ มีเพียงนางที่นอนฟังเรื่องราวมากมายผ่านเม็ดดินสายน้ำที่ไหลซึมลงมา บางครั้งยังมีกลิ่นคาวเลือด ถึงจะมองไม่เห็นแต่นางก็สัมผัสได้ ในอดีตนางก็มีความคิดเช่นเดียวกับคนอื่น แต่เพราะชะตากรรมนำพามันค่อยๆ ทำลายกำแพงเหล่านั้น กะเทาะเอาความเชื่อมั่นถือมั่นบ่มเพาะคำว่าไม่สิ้นสุดออกมา ใช่แล้ว ชีวิตคนเราไม่มีคำว่าสิ้นสุดและที่สุด ทุกอย่างมันจะมีสิ่งใหม่ออกมาให้เห็นเสมอ “ท่านแม่ วันนี้ท่านจะให้ข้าไปส่งสมุนไพรด้วยหรือไม่” “ข้าจะไปคนเดียว เจ้ากับน้องสามเจ้าดูแลแปลงสมุนไพรเถอะ วันก่อนมีผีเสื้อมาวางไข่คาดว่ามันจะกลายเป็นหนอนมาเจาะกินใบ” “รู้ใช่มั้ยว่าต้องทำอย่างไร” “ต้องแยกมันออกมา แล้วเลี้ยงไว้ขอรับ แต่ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องทำแบบนั้น” “ผีเสื้อบางชนิดมีคุณลักษณะพิเศษ ยิ่งมันกินน้ำหวานกินใบของพืชสมุนไพรจะกลายเป็นตัวยาที่ประเมินค่าได้สูงมาก ในเมื่อมันมาถึงที่จึงควรเลี้ยงเอาไว้ดีๆ รอวันที่มันหมดอายุขัยแล้วค่อยเอามาเป็นกระสายยา ส่วนตัวที่ไม่ใช่ก็เลี้ยงเป็นหนอนอวบอ้วน ใช้เลี้ยงแม่ไก่ หากไม่พอไปขุดเอาไส้เดือนปล่อยให้จิกกิน”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD