บทที่ 13

2057 Words
เพียะ! แส้หนังยาวฟาดลงมา ทำให้ใบหน้าข้างหนึ่งเป็นรอยแผลครึ่งหน้า “อยากให้ปล่อยหรือ? ฝันไปเถอะ! หัวแข็งแบบนี้เจ้านายชอบนัก” “ดูมันสิ ยังทำเหมือนเป็นคนบริสุทธิ์ ทั้งที่จับได้คาหนังคาเขา” “ไว้รอสอบสวนแล้ว หากมันยังไม่เปิดปากว่าทำงานให้ใครค่อยยิงทิ้ง” คำว่ายิงทิ้งทำให้ใจเขาหนาวสะท้าน ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะให้พวกทหารเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นสายลับอย่างที่เข้าใจ เขาแค่ผ่านเอาของไปส่งก็เท่านั้น “บ๊ะ! ยังจะดิ้นอีก” เพราะรำคาญคนที่เอาแต่ดิ้นครางร้องอื้อ จึงยกด้ามปืนฟาดอย่างแรงจนคนแน่นิ่ง “เฮ้! นายหนักมือไปนะ เขาตายรึเปล่า?” “ไม่มั้ง หมอนี้ถูกตีมาสามปีแล้ว ไม่เห็นว่าจะเป็นไร แล้วก็ไม่ได้มีเลือดออก” “บ้าจริง! ไม่เป็นที่ไหนกัน เขาไม่หายใจแล้ว” “ว่าไงนะ!” “โธ่เอ๊ย! ทำไมถึงใจร้อนมือไวแบบนี้ เขาคือคนของซ่างกู่เจ้าหัวรุนแรงนั่น เรายังไม่ได้แหล่งที่กบดานของพวกนั้น แบบนี้กลับไปต้องรายงานอีก เตรียมถูกด่าได้เลย” ทหารที่อยู่ด้วยกันรู้สึกยุ่งยากใจ แต่ไม่ได้คิดว่าตนเองทำเกินไปนัก มีผู้ต้องโทษถูกทุบตายทุกวันก็แค่เพิ่มอีกหนึ่งศพเท่านั้น วูบ! เสียงลมพัดมาหอบใหญ่ แต่เป็นลมที่ทำให้คนรู้สึกเย็นยะเยือก ชุนเยว่ที่กำลังเดินกลับผ่านทางธรรมชาติอันเปลี่ยวจึงขมวดคิ้วสงสัย “หืม?” “ช่วยด้วย” “ใครนะ เป็นคนหรือผี” นางหรี่ตามองไปรอบๆ เพื่อหาว่าเสียงนั้นมาจากทิศทางใดแต่มันกลับดังกังวานไปทั่ว ดูท่าจะคือภูตผีไม่ผิดแน่ “ฮูหยิน คือข้า” คราวนี้ชุนเยว่พลันประหลาดใจ นางหมุนกายมองหาที่มาของเสียงนั้น มันคือเสียงบุรุษที่คล้ายจะคุ้นเคย “ใครกัน รีบโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นอย่าหวังจะได้ไปผุดไปเกิด” ทว่าไร้เสียงตอบกลับ นางยืนนิ่งๆ กวาดสายตามองอย่างระมัดระวัง “รึจะหูฝาดไป” นางส่ายหน้าก่อนจะกระชับของบนบ่าเพื่อเดินกลับบ้าน โดยไม่รู้ว่าคนที่เคยเป็นสามีกำลังส่งเสียงร้องเรียก “ฮูหยินข้าอยู่นี่ ฮูหยินเจ้าไม่เห็นข้าหรือ? เดี๋ยวภรรยา!” ไม่รู้ว่าทำไมนางจึงทำเป็นไม่เห็นเขา จึงเค้นเอาเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดพุ่งเข้าไปหานาง ทันทีมือแตะบ่าหมายจะหยุดคนกลับพบว่ามันทะลุผ่านร่างนาง “นี่! ทำไมเป็นแบบนี้ ข้า ข้าตายแล้วจริงๆ” เขาทรุดลงราวกระดาษแผ่นบางที่ลอยตามลมตกลงที่พื้น ดวงตาแดงก่ำอาบน้ำเม็ดใส เขาเพียงอยากบอกนางว่าขอโทษที่ไม่ส่งข่าว คิดเพียงแต่ว่าอยากร่ำรวยจะหอบเงินกลับบ้าน แต่กลับลืมสนิทถึงความจริงในโลก ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ได้มาเปล่าๆ หากรู้ว่าไปแล้วจะเป็นเช่นนี้ เขาจะไม่ตอบรับเป็นสายเด็ดขาด แต่ใครจะได้ยินความคิดนี้ นอกจากสายลมแรงวูบหนึ่งที่หอบมาพัดพาเขาไปยังที่ที่ควรไป เดินมาถึงทางเข้าบ้านเห็นมีคนยืนมุงกันแน่นขนัด เจ้ารองวิ่งหน้าตั้งมาหานาง “ท่านแม่!” “เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนถึงมาอยู่ที่นี่เยอะนัก” “ท่านแม่ มีคนมานอนอยู่ใกล้บ้านเรา เขานะดูเหมือนท่านพ่อเลย” เสียงของเจ้ารองสั่นตะกุกตะกัก แต่ยังพยายามพูดออกมาให้เป็นคำ ขอบตาแดงเรื่อเหมือนจะร้องไห้ทำให้นางรู้สึกแปลกใจ “เช่นนั้นทำไมไม่พาเขาไปพบหมอเล่า” “ฮึกท่านแม่! ท่านพ่อเขาไม่หายใจแล้ว” “....” มือที่จับบ่าเด็กชายพลันแข็งค้าง นางไม่ได้เสียใจแต่ตกใจ คนหายไปนานพอกลับมากลับพบเป็นศพ ทั้งยังเอามาโยนไว้ที่หน้าบ้าน นี่จะไม่บังเอิญไปหรือ “พาข้าไปดู เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าเขาคือพ่อของเจ้า” “ข้าแค่คิดว่าคล้ายฮึก! เพราะตอนท่านพ่อออกจากบ้านไป ไม่ได้ผอมขนาดนี้ และ... และเขาที่นอนอยู่ มีแต่แผลเต็มไปหมด” เจ้ารองใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา เขาพยายามคิดว่าคนที่เห็นต้องไม่ใช่พ่อของเขา อาจเป็นเพียงคนหน้าคล้ายเท่านั้น “ขอทางหน่อย” “อ้าวชุนเหนียง เจ้ามาแล้ว ดูสิ นี่ใช่สามีของเจ้าไหม” “ทำไมสภาพถึงได้ย่ำแย่ขนาดนี้เล่า ทำข้ามองเห็นจำได้ไม่ถนัดนัก” นางไม่เคยเจอสามีตัวเป็นๆ ของชุนเหนียง กอปรกับสภาพของเขาก็เละเกินไป ยังกับถูกเอาใส่ครกตำจนแตก เท่าที่มองดูกระดูกหลายท่อนไม่หักก็ร้าว คล้ายกับคนที่ถูกขังมานาน รึว่า ที่เขาหายไปเพราะเหตุนี้ “เจ้าลองดูให้ชัดๆ อย่างไรก็คือสามีภรรยา ต่อให้ไม่เหลือสภาพก็น่าจะพอมองออก ถ้าใช่ ข้าจะได้ไปลงชื่อมรณะในผังทะเบียน” นางนั่งลงจับร่างที่ตะแคงพลิกหงายเพื่อมองให้แน่ใจ ยังแอบจับดูชีพจรพบว่าเขาตายแล้ว พลันเกิดประกายความคิดบางอย่าง นางจะคงสภาพร่างนี้ เนื่องจากร่างกายนี้ยังคงอ่อนนุ่มและอุ่น แสดงว่าเขาเพิ่งตายได้ไม่นานคงพอช่วยกลับมาประคองลมหายใจไว้ หากไม่ข้ามวันก็ถือว่ายังพอใช้ได้ การมีผู้ชายในบ้านไม่ว่าจะเป็นสภาพไหนก็ถือว่าดี “ใช่ เป็นสามีข้า แต่ว่าเขายังไม่ตายนะ” “หา! ยังหรือ แต่ข้าจับดูไม่พบว่ามีชีพจรแล้ว หรือต่อให้มี ก็ไม่มีหมอที่ไหนจะรักษาเขาให้ผ่านคืนนี้ไปได้” “ข้าแน่ใจว่าพอมี เพียงแต่ค่อนข้างเบามาก เจ้ารองเจ้าสาม พวกเจ้าไปเอารถเข็นมา เราจะต้องพาพ่อเจ้าไปหาหมอในเมือง พวกหมอฝรั่งมีรูปแบบการรักษาที่ประหลาด บางทีอาจช่วยชีวิตพ่อเจ้าได้” นางไม่คิดเชิญหมอมารักษาเขาที่บ้าน มันสิ้นเปลืองและไร้ประโยชน์ เพราะคนแทบไม่ไหวอาจไม่พ้นคืนนี้ จึงคิดว่าจะรักษาตามยถากรรม แม้ไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรจึงมีจุดจบที่น่าสังเวช แต่อย่างไรก็เป็นพ่อของเด็กๆ หลังจากให้คนช่วยพาเข้าบ้าน ชุนเยว่จึงออกมาถามผู้คนว่าใครพบเขาและพบได้อย่างไร “ไม่ทราบว่ามีใครรู้บ้าง ทำไมสามีข้าถึงมานอนตรงนี้ เป็นผู้ใดเอาเขามาโยนไว้” “ข้าเห็น เป็นทหาร พวกเขาบอกว่าสามีเจ้าถูกจับไปเมื่อสามปีที่แล้ว เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกหัวรุนแรง ทว่าเขาก็ยืนกรานไม่รู้เรื่องจนโดนซ้อมปางตาย นี่คือร่องรอยของการสอบสวน” “พอเห็นว่าเค้นสอบอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงนำเขามาโยนไว้ที่นี่ ตอนแรกข้าคิดว่าเขาตายแล้วจึงไปตามหัวหน้าหมู่บ้านมา พอรู้แบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย อย่างน้อยอาจมีทางรอด” “เป็นเช่นนี้เอง ข้าหลงคิดว่าเขาไปได้ภรรยาใหม่ทอดทิ้งลูกเมียที่บ้าน” “ท่านหัวหน้า ข้ามีความกังวล คิดว่าทางการอาจจับตามอง เรื่องที่เขาทำข้ากับลูกไม่รู้เห็น อย่างไรข้าของฝากท่านช่วยเป็นพยาน เพราะข้าเองก็ตามหาข่าวคราวเขามาตลอด” “ท่านแม่ ทหารจะจับเราไปสอบสวนไหม” “เรื่องนั้นข้าจะช่วยอีกแรง เอาเป็นว่าหากมีคนมาก็ไปบอกข้าได้ แต่เท่าที่ดูถ้าพวกเขาสงสัยคงไม่ทิ้งคนไว้เฉยๆ น่าจะรอตรวจสอบแล้ว” “เช่นนั้นต้องขอบคุณท่าน นี่คือน้ำใจเล็กน้อยของหัวหน้าโปรดรับไป” นางปลดตะกร้าออกจากหลัง มอบให้หัวหน้าส่วนหนึ่ง ตอนนี้สถานการณ์คับขันไม่ควรขี้เหนียว ที่เหลือให้เจ้าใหญ่นำไปเก็บ เนื้อกับหมูถูกห่อมิดชิดจึงไม่มีกลิ่นเล็ดลอดออกมา ไม่อย่างนั้นคงมีคนแถวนี้บังเกิดความคิดชั่วร้าย อยากแย่งไป “ข้าไม่ปฏิเสธน้ำใจนี้ เอาเป็นว่าพวกเจ้าก็ทำตัวปกติ อย่างไรทางการต้องมาหาข้าก่อน” “ขอบคุณท่าน” ชุนเยว่เบาใจที่หัวหน้าพอมีคุณธรรม เขาไม่ได้ใช้เรื่องนี้หาประโยชน์ขูดรีดนาง ส่งคนแล้วจึงหมุนกายกลับเข้าบ้าน รู้สึกว่าความสงบถูกบางคนทำลาย ยังนำมาซึ่งความยุ่งยากใจ จึงก่นด่าต้าโก่วผู้เป็นสามี นางไม่รู้ว่าเขาทำมันจริงไหมแต่ใจเชื่อว่าเขาต้องทำแน่ ทหารไม่จับคนมั่วซั่วเพราะลางสังหรณ์ “พ่อเจ้าเขาเป็นอย่างไรบ้าง” หลังจากพาไปหาหมอฝรั่ง เขายังส่ายหน้า แต่ยังฉีดยาที่บอกว่าฆ่าเชื้อกับลดอักเสบให้ ตนจึงพาเขากลับมารักษาตัวที่บ้าน “ไม่ดีเลยเจ้าค่ะ ท่านพ่อไม่ตอบสนอง นอกจากนอนนิ่งแทบไม่หายใจแล้ว ข้าฮึก! ข้าไม่อยากให้เขาตาย” อย่างไรก็เป็นบิดา ถึงจะเหินห่างแต่ความผูกพันย่อมมี “อย่าคิดมาก โดนหนักขนาดนั้นแต่ยังไม่ตาย นี่คือปาฏิหาริย์แล้ว รอดูอีกหน่อย เผื่อฟ้าอาจเมตตา” ชุนเยว่เห็นคนเข้มแข็งมากอย่างเจ้าใหญ่หลั่งน้ำตาจึงเห็นใจ จับบ่านางแล้วบีบเบาๆ เด็กคนนี้หากไม่ถึงที่สุดจะไม่ร้องไห้ “ท่านแม่ ข้าขอกอดท่านได้ไหม ข้าฮึกอยากกอด” “มาสิ อย่างไรเจ้าเรียกข้าว่าแม่แล้ว” เจ้าใหญ่โผเข้ากอดซึมซับความอบอุ่นจากมารดา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้สัมผัสแม่เลี้ยงเช่นนี้ มันให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆ “แม่ข้ากอดด้วย” น้องเล็กตาแดงฉ่ำน้ำกางแขนพุ่งเข้าใส่อีกคน ชุนเยว่ที่กระดากกับอะไรแบบนี้ไม่สามารถปฏิเสธ ยอมเป็นหมอนข้างให้พวกนางพี่น้อง “หยุด! แค่สองคนตัวข้าก็ถูกรัดแน่น เจ้าสองคนกอดปลอบกันเองเถอะ” เห็นเจ้ารองเจ้าสามทำท่าจะเข้ามาด้วยนางจึงรีบยับยั้งไว้ก่อน “ท่านแม่ไม่อ่อนโยน ข้าก็เป็นลูกท่านนะ” เจ้าสามที่พูดน้อยออกอาการหันหลังนั่งยองเอามือเขี่ยพื้น เห็นสภาพที่ดูไม่จืดของลูกชายทำนางกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย พวกเจ้าพี่น้องโตจนสุนัขเลียก้นไม่ถึงกลับน้อยใจเก่ง “มาๆ มากอดกันให้หมด ภาวนาให้พ่อเจ้ารอดตาย” ชุนเยว่พูดไปแบบนั้นเอง ทั้งที่ดูก็รู้ว่าเขาน่าจะรอดยาก แต่ไม่อาจทำลายขวัญกำลังใจของพวกเขา “อึกข้ารู้ว่าท่านแม่รักข้า!” เจ้ารองไปไวกว่าน้องชาย ถึงอย่างนั้นเจ้าสามไม่อิดออดพุ่งเข้าไปกอดคนสุดท้าย “พวกเจ้าอย่ารัดแน่น ข้าหายใจไม่ออก” แม่เลี้ยงรู้สึกเสียใจที่อ่อนไหวเกินไป เพราะนางอยู่ตรงกลางถูกห่อแน่นกว่าบ๊ะจ่าง ทั้งร้อนทั้งอึดอัด หลังจากเด็กๆ รู้สึกดีขึ้น นางจึงให้พวกเขาแยกย้ายไปทำหน้าที่ เจ้ารองไปดูแลสวนสมุนไพรที่บ้านอีกหลัง เจ้าสามดูแลแม่ไก่ ให้ข้าวทำความสะอาดคอก ยังต้องกวาดขี้ของมันออกไปตาก พอแห้งกรอกมูลใสกระสอบเพื่อใช้ทำปุ๋ย หลายครั้งที่คนมาขอซื้อไปใส่พืชผัก ซึ่งตอนนี้กลับมามีราคาแพงอีกครั้ง หลังจากบ้านเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่สงครามอำนาจมันจะไม่จบลงง่ายๆ “เจ้าใหญ่เจ้าจงไปหาซื้อผักมาไว้ดองกับตากแห้ง เรายังควรตุนอาหารไว้ให้มาก มีเหลือดีกว่าขาด พาตัวเล็กไปด้วย” “อ้อ! หากมีปลาก็ซื้อกลับมา ตัวใหญ่เราจะแล่ตากแห้ง ปลาน้อยจะทอดกรอบผักพริกไว้กิน” ตอนนี้ต้องทำให้สี่พี่น้องมีงานทำจะได้เลิกฟุ้งซ่าน พวกเขาอิดออดเล็กน้อยแต่เชื่อฟังดี พอไล่ออกไปหมดนางจึงเดินไปดูคนป่วย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD