ตอนที่ 1 นักศึกษาคนใหม่
“แม่คะ หนูตัดสินใจแล้ว หนูอยากไปเรียนต่อที่เชียงรายค่ะ”
พะแพง สาวน้อยวัย 18 ปี ที่กำลังจะผ่านพ้นชีวิตช่วงมัธยมปลายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีดำหยักศกทรงเสน่ห์ ดวงตากลม ปากนิดจมูกหน่อย มาพร้อมกับผิวขาวจั้วะน่าเจี้ยะตามแบบฉบับสาวลูกครึ่งไทยจีน
เธอเอ่ยขึ้นในตอนที่นิ้วเรียวกำลังเลื่อนดูรายละเอียด ของมหาวิทยาลัยที่เชียงรายอย่างใจจดใจจ่อด้วยความคาดหวัง ทำให้ผู้เป็นแม่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าจากแก้วกาแฟที่ถืออยู่ พร้อมส่งรอยยิ้มจาง ๆ มาให้ด้วยความกังวลเล็กน้อย
“เชียงรายงั้นเหรอ ลูกพูดจริงเหรอคะ ทำไมไม่เรียนที่กรุงเทพตามเดิมล่ะ มันสะดวกกว่าใกล้บ้านด้วย”
“หนูรู้นะคะว่าอยู่กรุงเทพก็ง่ายและปลอดภัย แต่แม่ก็รู้ว่าหนูชอบใบชามาก ๆ หนูอยากเรียนรู้เกี่ยวกับใบชาอย่างจริงจังในสถานที่จริงค่ะ”
พะแพงนั่งยืดตัวตรง ก่อนจะยื่นไอแพดที่มีภาพมหาวิทยาลัยที่เธอสนใจไปให้ผู้เป็นแม่ หญิงสาววัยสามสิบเจ็ดปีถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ มองลูกสาวด้วยความเหนื่อยหน่าย
“นี่ลูกจะจริงจังกับมันมากไปหรือเปล่า”
“หนูเอาจริงค่ะแม่ หนูไม่ใช่แค่ชอบเล่น ๆ นะคะ หนูฝันอยากเห็นไร่ชา อยากรู้ว่ามันเติบโตยังไง อยากเรียนรู้วิธีชงชาให้ดีที่สุด หนูอยากทำงานที่เกี่ยวกับชาให้เต็มที่ ถ้าเป็นไปได้หนูอยากจะซื้อภูเขาสักลูกเพื่อปลูกมันเลยค่ะ”
เสียงของพะแพงมีความหนักแน่นมาก มากเสียจนผู้เป็นแม่นั้นรู้สึกถึงพลังและความตั้งใจของลูกสาว
“แต่เชียงรายไกลนะลูก แล้วเพื่อน ๆ ก็ไม่อยู่ที่นั่น แม่ว่า..”
“หนูรู้ค่ะว่าไกลและอาจเหงานิดหน่อย แต่หนูคิดว่ามันคุ้มค่ามากนะคะ หนูพร้อมรับมือกับทุกอย่าง แม่คะ.. หนูเป็นลูกสาวแม่นะ ไม่เชื่อใจหนูเหรอว่าหนูอยู่ได้”
หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อย แววตาเปล่งประกายเป็นคำถาม แม่เงียบไปสักพัก ก่อนจะวางแก้วกาแฟแล้วขยับไปลูบหัวลูกสาวช้า ๆ
“เฮ้อ~ ถ้าเป็นอย่างนี้แม่คงห้ามลูกไม่ได้จริง ๆ ใช่ไหม”
ทันทีที่เห็นว่าแม่เริ่มใจอ่อน พะแพงก็ฉีกยิ้มกว้างแบบเด็กสาวที่รอคอยช่วงเวลานี้มานาน
“หนูสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนและดูแลตัวเองอย่างดีที่สุดนะคะ”
แม่พยักหน้าช้า ๆ สุดท้ายก็ยอมยกธงขาวด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ไปให้
“ต้องโทรหาแม่ทุกวันด้วยนะ”
พะแพงกอดแม่อย่างอบอุ่น ก่อนจะถอยออกมามองแผนที่กระดาษของเชียงรายในมือ ความฝันเรื่องใบชาที่เธอหลงใหลมาตั้งแต่จำความได้ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
2 เดือนต่อมา
ครืด~ ครืด~
เสียงล้อกระเป๋าเดินทางครูดไปตามพื้นที่ไม่เรียบนัก พะแพงกึ่งดึงกึ่งลากกระเป๋าใบโตขึ้นบันไดตามคำบอกของป้าดูแลหอ จนมาหยุดหน้าประตูไม้สีครีมหมายเลข 305
“นี่จ้ะห้องของหนู อยู่กับเพื่อนอีกคนนะจ๊ะ เหมือนว่าเขาจะมาก่อนแล้ว”
ป้าแดงผู้ดูหอในตึกAเอ่ยพร้อมรอยยิ้มใจดี ก่อนจะยื่นกุญแจให้แล้วเดินกลับลงไปด้านล่าง เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอเองไม่เคยอาศัยร่วมกับคนอื่นที่ไม่รู้จักมาก่อนทำให้รู้สึกเกร็งอยู่บ้าง เมื่อรู้ว่าด้านในมีคนเธอจึงยกมือเคาะประตูเบา ๆ อย่างมีมารยาท
ก๊อก! ก๊อก!
แต่รออยู่หลายวินาทีกลับไม่มีเสียงตอบจากด้านใน เธอจึงถือวิสาสะค่อย ๆ บิดลูกบิดเข้าไปช้า ๆ
แอ๊ด~
ทันทีที่เข้ามาภายในห้อง ก็ได้กลิ่นหอมของสบู่อ่อน ๆ ลอยปะปนกับกลิ่นกระดาษหนังสือ กับหญิงสาวร่างเล็กผมหน้าม้าเรียบกริบ สวมแว่นกรอบดำนั่งหลังตรงอยู่ที่โต๊ะหนังสือริมหน้าต่าง แสงจากพระอาทิตย์ด้านนอกส่องให้พะแพงเห็นว่าบนหนังสือเล่มนั้นมีแต่ตัวอักษรแน่นเต็มไปหมด
‘เด็กเนิร์ดเหรอ’
เพื่อนร่วมห้องเงยหน้ามามองพะแพงเพียงเสี้ยววินาที สายตานั้นนิ่งเฉยเหมือนประเมินสภาพ จากนั้นก็หันกลับไปจดโน้ตต่อโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยทัก
พะแพงยิ้มแห้ง ๆ แบบเก้อ ๆ ก่อนจะลากกระเป๋าไปยังเตียงว่างฝั่งตรงข้าม เธอเริ่มจัดของที่เตรียมมาเงียบ ๆ วางเสื้อผ้าในตู้ ห้อยเสื้อกันหนาวไว้ที่ราว แล้วก็หยิบหมอนกับผ้าห่มออกมาจัดเรียง ระหว่างนั้นเธอฮัมเพลงเบา ๆ ในลำคอแก้ความเงียบงันที่ชวนอึดอัด
แต่สองชั่วโมงผ่านไป ผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงก้มหน้ากับหนังสือเหมือนเดิม ราวกับในห้องนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ พะแพงวางกรอบรูปที่เป็นภาพของเธอกับแม่ลงบนโต๊ะหัวเตียง ก่อนหันไปยิ้มให้เพื่อนร่วมห้องอีกครั้ง
“เอ่อ.. สวัสดี เราชื่อพะแพง เรียนคณะเกษตรปีหนึ่ง เธอชื่ออะไรเหรอ”
ผู้หญิงคนนั้นหยุดเขียนชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้ามามองเธอเล็กน้อย
“เพียงพอ”
เสียงเรียบสั้นและไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ พร้อมทั้งหันกลับไปสนใจหนังสือต่ออย่างไม่ไยดีเธอเลยสักนิด พะแพงทำได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ พอเห็นปฏิกิริยาแบบนั้นจากเพื่อนร่วมห้อง
“อ๋อ.. ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
และเมื่อไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงในบรรยากาศที่ชวนอึดอัดนี้ เธอจึงเลือกที่จะลุกขึ้นหยิบกระเป๋าสตางค์เพื่อจะออกไปหายใจหายคอด้านนอกมากกว่า
“เราจะออกไปซื้อข้าว เธอเอาด้วยไหม”
เพียงพอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าของเธอยังคงเรียบนิ่ง ก่อนจะส่ายหน้าเพียงครั้งเดียว
“ไม่ล่ะ”
แล้วก็หันไปสนใจกับหนังสือเล่มนั้นต่อ พะแพงยืนเก้ออยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาเบา ๆ
“โอเค งั้นเราไปก่อนนะ”
เธอเปิดประตูออกมาด้านนอก พอประตูสีครีมนั้นปิดโรงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“บรรยากาศชวนอึดอัดอะไรกันเนี่ย”
หลังออกจากหอพักตึก A พะแพงรีบเดินไปยังจุดบริการจักรยานเช่าหยอดเหรียญที่เธอเห็นหน้าหอพักของมหาวิทยาลัย หญิงสาวเลือกคันสีฟ้าอ่อน ก่อนจะสแกนจ่ายเงินแล้วปั่นออกไปทางประตูหน้ามหาลัยที่เธอจำได้ว่ามีแหล่งอาหารมากมายรออยู่
ปั่นมาเพียงไม่นาน สายตาก็ปะทะเข้ากับตลาดข้างมหาวิทยาลัยก็อยู่ตรงหน้าห่างกันเพียงรั้วกั้น กลิ่นไส้อั่ว หมูย่าง และน้ำเงี้ยวลอยคลุ้งชวนให้ท้องร้อง พะแพงจอดรถไว้ที่จุดจอด ก่อนจะรีบวิ่งออกไปด้านนอกแล้วเดินเลือกซื้อทั้งอาหารและขนมพื้นเมืองอย่างตื่นเต้นจนถุงในมือแทบล้น จากนั้นก็แวะร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อของใช้จำเป็นเพิ่มอีกนิดหน่อย
“แม่หนู สนใจลองกินข้าวปุกงาไหมลูก หอม ๆ เลยนะ”
“ขนมเหรอคะ งั้นเอาชุดหนึ่งค่ะ”
คุณยายมีอายุนำขนมใส่ถุงให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะหันไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มาในถุงด้วย
"ใบนี้ของหนูนะลูก"
"คืออะไรเหรอคะ"
"ใบดูดวงตามโหราศาสตร์อะไรสักอย่าง มีผู้หญิงที่แต่งตัวแปลก ๆ มาฝากป้าไว้บอกว่าให้กับหนูนั่นแหละจ้ะ"
"กับหนูเหรอคะ"
"ใช่จ้า เพราะเมื่อกี้หนูเดินผ่านไปใช่ไหมล่ะ เธอคนนั้นบอกว่าต้องให้หนูให้ได้เลยนะ"
"อ๋อ ขอบคุณค่ะ"
พะแพงที่ไม่รู้ว่าคืออะไร ทันทีที่เดินมาถึงที่จอดจักรยานจึงได้หาถุงขนมนั้นแล้วหยิบกระดาษในนั้นออกมาดู
'คนที่เกิดวันศุกร์.. เสน่ห์แรง โรแมนติกชอบความรัก หัวศิลป์สายอาร์ต คุยเก่งเข้าสังคมง่าย อารมณ์อ่อนไหว และรักอิสระ'
"มันก็แค่ดูดวงทั่ว ๆ ไปไม่ใช่เหรอ ไร้สาระ"
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเธอก็หยิบกระดาษใส่ถุงขนมไว้ที่เดิม เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยตามที่เธอลิสต์ไว้ในหัว มือทั้งสองข้างของเธอก็เต็มไปด้วยถุงข้าวของมากมายจนแทบจะลากพื้น ทำให้การปั่นจักรยานกลับหอจึงกลายเป็นภารกิจที่เรียกว่าทุลักทุเลขั้นสุดกว่าจะถึงที่หมาย
เธอจอดรถจักรยานไปที่เดิม พร้อมหอบหิ้วข้าวของเดินขึ้นไปเคาะประตูห้อง 305 อยู่สองสามครั้ง และไม่นานเพียงพอเพื่อนร่วมห้องป้ายแดงก็เดินมาเปิดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง หญิงสาวสบตาพะแพงแวบหนึ่งก่อนจะขยับตัวหลบให้เธอเข้าไปด้านในแล้วปิดประตูลง ดวงตากลมโตที่ลอดผ่านใต้เลนส์แว่นมองพะแพงที่กำลังวางถุงทั้งหมดลงบนโต๊ะกลางห้อง
“ยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม ฉันซื้อขนมมาฝากด้วยนะ”
หลังจากที่พะแพงวางถุงทั้งหมดลงแล้ว เธอหันมาพูดกับเพื่อนร่วมห้องด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร แต่เพียงพอมองถุงอาหารที่แทบเต็มโต๊ะด้วยสายตานิ่ง ๆ
“ไม่หิว”
เธอพูดเพียงแค่นั้นและทำท่าจะเดินกลับไปที่โต๊ะหนังสือของตัวเองอีกหน ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่พะแพงคิดเอาไว้สักเท่าไหร่ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเอื้อมคว้าข้อมือเพียงพอเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเชิญชวนอีกครั้ง
“ฉันซื้อมาเยอะขนาดนี้เธอจะไม่ช่วยกินหน่อยเหรอ ฉันกินไม่หมดหรอกนะ”
เพียงพอหยุดเท้าก่อนจะใช้สายตามองไปที่ข้อมือตัวเองโดยไม่พูดอะไร แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้พะแพงรู้ตัวว่าทำเกินไปหน่อย ก่อนจะรีบปล่อยมือพร้อมพูดติดขำเพื่อทำลายบรรยากาศ
“มากินเถอะน่า ฉันไม่ใส่ยาพิษหรอก”
เพียงพอยืนเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ หญิงสาวมองพระแพงที่กำลังแยกถุงอาหาร เมื่อเห็นดังนั้นจึงเดินไปหยิบจานชามมาหลายใบแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้าม ทั้งคู่ช่วยกันแกะถุงเทอาหารใส่จาน แม้จะไม่ได้คุยอะไรกันมาก แต่บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลงกว่าเดิมไม่น้อย
ครืด! ครืด!
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังจะตักอาหารกินกันนั้น จู่ ๆ มือถือของพะแพงที่วางไว้ข้าง ๆ ก็ดังขึ้น เธอเหลือบไปมองเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์แปลกก็ชั่งใจอยู่คู่หนึ่ง แต่เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ก็รีบเอื้อมมือไปหยิบมากดรับ
“ฮัลโหล.. อ๋อ ได้ค่ะ เดี๋ยวลงไปค่ะ”
เธอกรอกเสียงให้ปลายสายก่อนจะรีบวางแล้วหันมาหาเพียงพอ
“ฉันลงไปรับของก่อนนะ เธอกินก่อนเลย”
พะแพงกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงไปชั้นล่าง เพื่อรับน้ำที่เธอสั่งเอาไว้จากไรเดอร์ จ่ายเงินเสร็จแล้วก็รีบกลับขึ้นห้องทันที แต่เมื่อเปิดประตูเข้ามากลับพบว่าเพียงพอนั้นนั่งเฉย ๆ รอเธออยู่ก่อนแล้ว
“ฉันไม่รู้ว่าเธอชอบกินอะไรเลยซื้อมาเหมือนกัน เธอกินชาเขียวได้ไหม”
เธอพูดก่อนจะยื่นชาเขียวไปให้เพียงพอแก้วหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้พะแพงประหลาดใจก็คือ ทันทีที่เพียงพอเห็นชาเขียว แววตาที่เคยเย็นชาของเธอกลับดูเป็นประกายขึ้น
“กินได้”
เพียงพอตอบสั้น ๆ ก่อนจะดูดน้ำในแก้วนั้นอย่างอารมณ์ดีผิดกับคนก่อนหน้านี้ลิบลับ
“นี่เธอก็ชอบชาเขียวสินะ ดีเลย! อย่างน้อยเราก็มีอะไรที่ชอบเหมือนกัน”