๔
อยากให้หัวใจตรงกัน
ลลิตาผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่มารดาก้าวออกมา สำอางจึงยิ้มให้ลูกสาวพร้อมกับเอ่ยทักถาม
“รอแม่นานไหม พอดีเจ้านายเขาเรียกประชุมก่อนกลับ เลยทำให้ออกมาช้าหน่อย”
หญิงสาวส่ายหน้า รอยยิ้มยังคงระเรื่อไปทั้งดวงหน้าและแววตา
“ไม่นานหรอกจ้ะ” บอกแม่ยิ้มๆ ก่อนพูดเรื่องงาน
“แม่ อีกสองสามวันบริษัทที่หนูทำงานจะย้ายออกไปอยู่ออฟฟิศนอกห้างนะ อยู่ตึกเขียวนี่ไง”
เมื่อลูกสาวบอก สำอางจึงหันไปมองตึกเขียวแล้วพยักหน้ายิ้ม
“ดีสิ แล้วเวลาทำงานล่ะ”
“ก็เปลี่ยนมาทำเวลาปกติ เริ่มงานแปดโมงเช้า เลิกงานห้าโมงเย็น แต่หยุดเสาร์อาทิตย์เหมือนเดิม”
สำอางพยักหน้าเบาๆ พลางบอก
“ดีแล้ว”
“เราไปหาอะไรกินกันก่อนนะแม่ จะได้ไม่ต้องทำเอง”
“เอาสิ วันนี้แม่ก็เพลียเหมือนกัน หาอะไรกลับเข้าไปกินกันที่ห้องจะได้ไม่ต้องทำให้เสียเวลาอีก”
ว่าแล้วสองแม่ลูกก็ก้าวออกจากห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น ตรงไปยังตลาดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ด้านเรืองฤทธิ์นั่งรอมาเกือบชั่วโมง ทว่ายังไม่เห็นวี่แววสองแม่ลูกกลับเข้าที่พัก เขาหันไปมองส้มโอที่เก็บใส่กล่องมาฝากคนทั้งสองแล้วอมยิ้ม อุตส่าห์คัดเอาผลงามๆ โตๆ มาให้ ก็หวังในใจว่าทั้งสองจะชอบ แต่จนป่านนี้ยังคงไร้วี่แวว
“ทำไมยังไม่กลับมาสักทีนะ” เขายกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้ามองออกไป แล้วก็ผลิยิ้ม รีบเปิดประตูก้าวลงจากรถกระบะของตนทันทีที่สองแม่ลูกกำลังก้าวตรงมา
ลลิตาหัวใจกระตุกวูบทันทีที่เห็นร่างสูงใหญ่ของ เรืองฤทธิ์ อาการชะลอฝีเท้าของบุตรสาวทำให้สำอางกำลังจะถาม แต่เมื่อเห็นสายตาของบุตรสาวจึงมองตามไปแล้วก็ต้องผ่อนลมหายใจยาวเหยียด
เรืองฤทธิ์ยิ้มให้สองแม่ลูก ก่อนหยุดที่หญิงสาว
“ฤทธิ์ไปไหนมาเหรอ” เป็นสำอางที่เอ่ยถาม ดวงตาของนางกวาดมองหนุ่มรุ่นน้องโดยละเอียด จับจ้องสายตาที่มองไปยังลลิตาแล้วทำให้คนเป็นแม่ต้องครุ่นคิดหนัก
“ผมตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะ” เขาสบตาสำอางนิ่ง ดวงหน้าคมคายมีรอยยิ้มเจืออยู่ ก่อนก้าวไปที่กระบะรถยนต์ แล้วยกเอาส้มโอผลโตออกมา “ตั้งใจเอามาฝาก เนื้อกำลังหวานกรอบเลย”
ประโยคหลังเรืองฤทธิ์ตั้งใจบอกลลิตา เขามองหล่อนนิ่ง ขณะที่หญิงสาวรู้สึกร้อนวูบแถวโหนกแก้มนวล ก่อนจะหันไปมองมารดาแวบหนึ่ง แล้วจำต้องยื่นมือออกไปรับส้มโอจากมือใหญ่
“ขอบคุณมากนะคะ แต่คุณฤทธิ์ไม่น่าต้องลำบากเลย”
คิ้วสีเข้มกระตุกเบาๆ ดวงตาที่เจือยิ้มเมื่อครู่วาบขึ้นแต่เพียงวูบเดียวก็จางหาย ไม่ชอบให้หล่อนเรียกเขาว่า ‘คุณฤทธิ์’ แต่เมื่อสบตาค้นคว้าของสำอาง เขาก็ได้แต่ถอนหายใจแผ่วเบา
“ก็ไม่ลำบากอะไรหรอก วันหยุดนี้ไปขายของที่ตลาดอีกหรือเปล่า” เขาเอ่ยถามหญิงสาวโดยเฉพาะ
“ขายค่ะ” ตอบเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังทำ มาเยี่ยม มาหา มีของติดมือมาฝาก เขาต้องการอะไรกันแน่...
อาการแปลกใจและมองมาอย่างค้นคว้าของหญิงสาว ทำให้เรืองฤทธิ์หลุบตาลงซ่อนความรู้สึกจากแววตาของตน ก่อนจะหันไปยิ้มให้นางสำอางแล้วกล่าวออกมา
“วันนี้อยากจะชวนออกไปหาอะไรกินข้างนอก” เขาหลุบตามองอาหารสำเร็จรูปในมือของคนตรงหน้าแวบเดียวแล้วเอ่ยเมื่อนางสำอางเตรียมปฏิเสธ “อย่าปฏิเสธเลยนะ นานๆ เจอกันที ถือเสียว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับก็แล้วกัน”
สำอางหุบปากลง ก่อนจะหันไปมองลูกสาวอย่างขอความเห็น ขณะที่คนตัวบางก็ได้แต่มองตอบมาด้วยสายตาอึดอัด แต่แล้วสำอางก็จำต้องตอบรับคนตัวโตตรงหน้าออกมาในที่สุด
“ก็ได้จ้ะ แต่ฤทธิ์รอพี่กับลูกสักประเดี๋ยวเถอะนะ ขอเอาของขึ้นไปเก็บก่อน”
ริมฝีปากได้รูปที่ปิดสนิทอย่างรอคำตอบแย้มออกมาจนเห็นไรฟันขาวสะอาด พร้อมดวงหน้าคมเข้มสว่างไสวขึ้นทันที
“งั้นผมช่วยถือของขึ้นไปส่งก็แล้วกัน”
เขาไม่รอให้สองแม่ลูกปฏิเสธ แต่ฉวยเอากล่องส้มโอจากมือเรียวของลลิตามาถือเอาไว้เสียเองจนหญิงสาวต้องถอนหายใจออกมาอย่างตั้งใจให้เขาได้ยิน คนที่ได้ยินเต็มสองหูทำทีเป็นไม่สนใจเสียงนั้น แต่ยิ้มให้หล่อนแล้วรอจนหญิงสาวก้าวตามมารดาขึ้นไปบนห้องพัก โดยมีคนตัวใหญ่หน้าเข้มสะดุดตาเดินตามหลังต้อยๆ
ห้องพักของสองแม่ลูกค่อนข้างแคบ ทว่าสะอาด มีเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นเพียงไม่กี่ชิ้น ชายหนุ่มถือโอกาสที่สองแม่ลูกนำของเข้าไปเก็บสำรวจห้องของทั้งสองอย่างรวดเร็ว และสิ่งที่เห็นทำให้เขาตัดสินใจได้ในทันที...
ไม่นานนัก ทั้งหมดก็ออกมาจากห้องพัก ชายหนุ่มพาสองแม่ลูกขับรถออกไปไม่ไกล เขาเลือกร้านอาหารริมถนน แต่มีชื่อเสียงโด่งดังในตัวเมือง ภายในร้านเปิดโล่งทุกทิศทาง มีลูกค้าใช้บริการอยู่หลายโต๊ะ ร่างสูงก้าวนำสองแม่ลูกเข้าไปข้างในโดยไม่ถามความเห็น ทำให้ทั้งคู่สบตากันนิดหนึ่งก่อนจะก้าวตามไป
เจ้าของร้านสาวใหญ่ยิ้มกว้างเมื่อเห็นเรืองฤทธิ์ พร้อมเอ่ยคำทักทายจนสำอางและลลิตาต้องหันมามองหน้ากันด้วยความแปลกใจอีกครั้ง
“หายหน้าไปเสียนาน วันนี้ไปไงมาไงถึงมาถึงนี่ได้น่ะฤทธิ์” คุณหนูแหม่มเจ้าของร้านสาวใหญ่ยิ้มแป้นเสริมให้รูปหน้าค่อนข้างกว้างดูสว่างไสวขึ้นอีกเท่าตัว
“ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ พอดีช่วงนี้วุ่นอยู่กับสวน วันนี้ผมขอโต๊ะในนะครับ พาญาติมาทานข้าว” ชายหนุ่มตอบสาวรุ่นพี่ยิ้มๆ พลางปรายตามองไปยังลลิตา ทำให้คุณหนูแหม่มที่ชำเลืองมองอยู่ก่อนแล้วส่งสายตาล้อเลียน จนคนตัวบางที่ยืนข้างกายหน้าร้อนผ่าวกับสายตาทั้งจากเขาและสาวใหญ่เจ้าของร้านอาหาร
“ได้สิจ๊ะได้ โต๊ะในยังว่าง เอาโต๊ะเดิมนะ”
คำถามของเจ้าของร้านและรอยยิ้มของเรืองฤทธิ์ทำให้สองแม่ลูกรับรู้ว่าเขาคงมาที่นี่บ่อยๆ เพราะสนิทสนมกับเจ้าของร้านเป็นอย่างดี
ทั้งสามเดินตามเจ้าของร้านมาจนถึงโต๊ะด้านใน เรืองฤทธิ์นั่งฝั่งตรงข้ามกับสองแม่ลูก ก่อนจะหันไปสั่งอาหารกับเจ้าของร้าน เจ้าหล่อนจดเมนูยิก ก่อนเงยหน้าขึ้นกราดยิ้ม
“ตามสบายนะคะ รอไม่เกินสิบห้านาทีค่ะ” คุณหนูแหม่มบอกผู้หญิงต่างวัยสองคนพลางขยิบตาให้ชายหนุ่ม ก่อนหมุนตัวกลับเข้าด้านใน เรืองฤทธิ์มองตามยิ้มๆ ก่อนจะหันมายังทั้งสองที่เอาแต่นั่งเงียบ ไม่มีทีท่าว่าจะพูดจาอะไร กันชายหนุ่มมองคนทั้งสองอยู่อึดใจหนึ่งจึงลอบผ่อนหายใจเบาๆ แล้วยิ้มให้
“เวลาเข้าเมืองผมมักมาแวะที่ร้านพี่หนูแหม่ม เพราะน้องชายของเธอเป็นเพื่อนกับผม ตอนสมัยเรียนเพื่อนผมพามาที่ร้านนี้บ่อยๆ เลยค่อนข้างสนิทกัน”
เรืองฤทธิ์อธิบายให้สองแม่ลูกเข้าใจ เพราะเดาจากสายตาออกว่าทั้งสองกำลังคิดไปต่างๆ นานาว่าเหตุใดเขาและเจ้าของร้านจึงรู้จักมักจี่
สำอางกะพริบตาปริบๆ ก่อนยิ้มตอบชายหนุ่มตรงหน้า ขณะที่ลลิตาเสมองไปรอบๆ เพราะเมื่อชายหนุ่มสบตา หล่อนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างแฝงมากับแววตาคู่นั้นเสมอ มันเป็นบางอย่างที่ทำให้หัวใจของหล่อนกระตุกแรงขึ้นทุกครั้งที่ได้สบตาเลยทีเดียว...
ภาพตักกับข้าวใส่จานและการดูแลลลิตาด้วยท่าทางเอาใจใส่ของเรืองฤทธิ์ ทำให้สำอางเริ่มคิดมาก นางเหลือบสายตามองบุตรสาวบ่อยครั้งหลังจากที่ชายหนุ่มรุ่นน้อง อดีตนายจ้างขับรถกระบะมาส่งยังที่พักแล้วกลับไปโดยไม่ลืมทิ้งท้ายให้นางคิดมากมาจนถึงเวลานี้
‘ช่วงนี้ที่สวนงานเยอะ ผมกำลังมองหาคนงานเพิ่ม หากพี่สำอางกับลูกตาลสนใจจะหารายได้เพิ่มในวันหยุดก็บอก ผมจะมารับเอง’
ใช่เพียงสำอางที่คิดมาก แต่เวลาเดียวกันลลิตาก็กำลังคิดถึงคำพูดของเรืองฤทธิ์ เขาทำให้หล่อนคิดมากเกี่ยวกับท่าทีที่มีต่อหล่อน อยากถามเหลือเกินว่าเขาต้องการอะไรที่พาตัวเองเข้ามาใกล้ชิดตนกับแม่อีกครั้ง
หญิงสาวขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองแต่การกระทำของเขาก็ชัดเจนเสียจนหล่อนใจสั่น ต้องคอยปรามตนเองบ่อยครั้งว่าให้หยุดคิดถึงผู้ชายร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมคายผิวเข้มคนนั้นเสียที แต่ไม่ว่าอย่างไร หล่อนก็ไม่อาจลบภาพของเขาออกจากหัวใจดวงน้อยนี้ได้เสียที
“เฮ้อ…”
เสียงถอนหายใจจากคนที่กำลังพับผ้าทำให้สำอางหันมามอง
“เป็นอะไรลูก”
ลลติตาชะงักมือ เงยหน้าขึ้นสบตาแม่ ก่อนจะยิ้มเจื่อน
“เปล่าจ้ะ” ตอบพลางก้มหน้าลงอีกครั้ง แต่ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นใหม่พร้อมเอ่ยปากถาม “แม่จะว่ายังไงที่คุณฤทธิ์ชวน ไปหรือไม่ไปจ๊ะ”
สำอางนิ่งงันกับคำถามของบุตรสาว เพราะหนักใจเรื่องนี้เช่นกัน จะให้ปฏิเสธก็ดูจะเป็นการตัดสัมพันธ์กันเกินไป แต่จะให้ตอบรับก็อึดอัดใจเหลือเกิน
“ไม่รู้สิ แล้วหนูล่ะลูก จะเอายังไง”
สำอางถามความเห็นของบุตรสาวแล้วจ้องนิ่ง ทำให้ฝ่ายนั้นก้มหน้าลงอย่างครุ่นคิด เกือบนาทีจึงตอบออกมาว่า
“ถ้าเราไม่อยากไป ก็ควรตอบเขาไปตรงๆ นะแม่ เขาจะได้เลิกติดต่อเราเสียที”
บอกแม่เสียงแผ่วเบา แล้วพับผ้าต่อ ขณะที่สำอางได้แต่เงียบงัน คิดไม่ตกอยู่อย่างนั้นเอง
วันรุ่งขึ้น เรืองฤทธิ์ตื่นแต่เช้าเช่นเคย แม้วันนี้ท้องฟ้ายังสดใส แต่ใจกลับหนักอึ้ง อาจเป็นเพราะท่าทีของสำอางและลลิตาที่มีต่อเขาเมื่อวานนี้ ทั้งคู่ทำให้ชายหนุ่มไม่มั่นใจนักว่าจะตอบรับคำหรือปฏิเสธ เพราะเมื่อคิดไปแล้ว สิ่งที่เขาเคยทำต่อสองแม่ลูกนั้นก็ชวนให้ทั้งคู่คิดมากไม่น้อย
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก พอดีกับที่ลูกจ้างหนุ่มรุ่นน้องเดินขึ้นจากสวนพร้อมกับยกเข่งส้มโอลงวางบนพื้นใกล้ต้นมะม่วง
“ใกล้เสร็จหรือยังอ่ำ” เรืองฤทธิ์เอ่ยถามลูกจ้างเพราะใกล้ถึงเวลานัดเต็มที พลางยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา
หนุ่มรุ่นน้องเงยหน้าขึ้นยิ้มให้พลางปาดเหงื่อออกจากใบหน้า
“จวนแล้วพี่ อีกสองแถวก็เสร็จ”
เรืองฤทธิ์มองลงไปในท้องร่อง เห็นส้มโอเต็มเข่งวางอยู่เป็นระยะ จึงก้าวลงไปช่วยลูกจ้างขนขึ้นมาไว้ที่หน้าบ้านทันที หากในใจยังครุ่นคิดถึงสองแม่ลูกไม่สร่างซา
เกือบบ่ายสองโมง รถกระบะติดลูกกรงทรงสูงก็เคลื่อนเข้ามาจอดที่หน้าบ้านของเรืองฤทธิ์ ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตกับกางเกงยีนสีซีดจางก็กระโดดข้ามท้องร่องขึ้นมาทันทีเมื่อแม่ค้าคนกลางก้าวลงจากรถกระบะ
“เสร็จแล้วใช่ไหมจ๊ะ” เสียงพี่เจี๊ยบดังมาแต่ไกล ทำให้คนที่กำลังก้าวมาหาส่งยิ้มให้
“ครับผม ให้ลูกน้องขนขึ้นรถได้เลยครับ” เขาบุ้ยปากไปที่กองส้มโอ
แม่ค้าคนกลางหรือพี่เจี๊ยบเป็นแม่ค้าอีกคนที่ เรืองฤทธิ์สนิทสนม เพราะทำการค้าขายกันมาตั้งแต่เริ่มแรก และเป็นคนที่จริงใจเชื่อถือได้คนหนึ่ง
ลูกน้องของพี่เจี๊ยบมีสามคน ชื่อเก่ง ชัยและวุฒิ กำลังช่วยกันเรียงส้มลงไปในกระบะหลังที่มีคอกกั้นสูง โดยมีลูกจ้างของเรืองฤทธิ์คอยช่วยเหลือ ส่วนพี่เจี้ยบก็นั่งคุยอยู่กับเจ้าของสวนส้มโอรูปหล่อ
พี่เจี๊ยบเล็งชายหนุ่มมานาน เพราะรู้เห็นว่าอีกฝ่ายมีนิสัยใจคอเช่นไร นางไม่ได้เล็งเอาไว้ให้ตนเอง แต่กำลังเล็งเอาไว้ให้ลูกสาวที่เพิ่งเลิกรากับสามีคนแรก
เรืองฤทธิ์เป็นผู้ชายที่มีหน่วยก้านดีเยี่ยม จนครั้งหนึ่งนางแสนจะเสียดายที่ลูกสาวแต่งงานไปเสียแล้ว มิเช่นนั้นคงมีโอกาสได้ชักนำให้พบเจอกัน ชายหนุ่มตรงหน้าขยันขันแข็ง เรื่องเหล้ายาปลาปิ้งนั้นไม่ต้องห่วง เงินทองแทบไม่รั่วไหลไปไหน ไม่ใช่ผู้ชายเหลาะแหละเจ้าชู้มากรัก แต่เป็นคนทำมาหากิน จึงเป็นคนที่นางไม่อาจมองข้ามไปได้เลยเมื่อลูกสาวกลับมาโสดอีกครั้ง
“วันอาทิตย์ปลายเดือนนี้ฤทธิ์ว่างไหม” พี่เจี๊ยบละสายตาจากลูกน้องที่กำลังรับส่งส้มโอด้วยการโยนต่อๆ กัน มาที่ชายหนุ่ม ขณะที่เจ้าของส่วนนิ่งไปอึดใจ ก่อนตอบอีกฝ่าย
“ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน พี่เจี๊ยบมีอะไรหรือเปล่า”
พี่เจี๊ยบยิ้มกริ่มพลางตอบหนุ่มหล่อตรงหน้า
“พี่จะทำบุญบ้าน เลยอยากชวนฤทธิ์ไปร่วมงานด้วย ไปนะ อยากให้ไปให้ได้” พี่เจี๊ยบยิ้มขณะตอบ ทำให้เรืองฤทธิ์ปฏิเสธไม่ออก จึงพยักหน้าตอบรับอีกฝ่าย
“ตกลงพี่”
แม่ค้าคนกลางยิ้มแฉ่ง คุยกันอยู่เกือบชั่วโมงลูกน้องตะโกนบอกนายจ้างว่าเรียบร้อยแล้ว จึงดึงเงินออกมานับแล้วส่งเงินสดให้เจ้าของสวนหนุ่มหล่อ รอจนฝ่ายนั้นนับเงินเรียบร้อยจึงเอ่ยลาพร้อมกำชับ
“ไปให้ได้นะฤทธิ์”
เรืองฤทธิ์เดินไปส่งอีกฝ่ายที่รถกระบะ ใบหน้าคมคายแต้มยิ้ม
“จะไปแต่เช้าเลยพี่ ขอบคุณมากนะครับ”
พี่เจี๊ยบยิ้มกว้าง ก่อนจะบอกลูกน้องให้ออกรถ เรืองฤทธิ์ส่งยิ้มก่อนหมุนตัวกลับเข้าบ้าน แต่ใจกระหวัดไปถึงลลิตา ยังคงหวังว่าหล่อนกับแม่จะไม่ปฏิเสธคำชวนของเขา
ขายาวๆ ก้าวขึ้นไปตามขั้นบันได เสียงกระดานลั่นออดแอดก่อเกิดความวังเวงใจชั่วขณะหนึ่ง ร่างสูงไปหยุดที่ชานเล็กๆ ของบ้านไม้ยกพื้น อันเป็นมรดกตกทอดจากบิดามารดา เจ้าของหน่วยตากว้างและคมกริบกวาดมองลงไปยังสวนส้มโอด้วยความพอใจ เป็นอีกปีที่เขาสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มาก ดูจะมากกว่าปีที่ผ่านมาด้วยซ้ำไป แม้ราคายังคงทรงตัว แต่ผลผลิตที่มากขึ้นกลับทำให้เขาได้กำไรมาเป็น กอบเป็นกำ จนบางครั้งเขารู้สึกว่ามันมากจนเกินไปเพราะไม่มีใครมาช่วยใช้ ไม่มีใครให้เขาบอกเล่าถึงความสำเร็จ
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกเมื่อหันไปมองข้างหลัง วูบหนึ่งเขามองเห็นเงาลางๆ ของใครบางคนที่อาจจะมีโอกาสให้เขาได้ต้อนรับ และสักวันอาจจะเดินไปเดินมาบนเรือนของเขา มีเสียงบ่นเบาๆ นั่นนี่ไปพลางเมื่อเขาทำบ้านรก
ใบหน้าหมองคล้ำที่อมยิ้มนั้นสั่นเบาๆ บอกตนเองว่าเป็นเอามาก มายืนเพ้อเจ้ออะไรอยู่ตรงนี้ แค่เห็นบ้านรกนิดหน่อยก็คิดไปไกล ทั้งที่ยังมองไม่เห็นอนาคตเลยสักนิดว่าคนที่มีความหวังด้วยนั้นจะเออออห่อหมกกับเขาหรือไม่...
แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังคงหวังไว้ว่า...หัวใจของเขาและหล่อนอาจจะตรงกัน