ตอนที่ 2 ลิขิต (2)

2590 Words
ตอนที่ 2 ลิขิต (2)       ในนิทานที่นางเคยอ่าน เมื่อหญิงสาวได้รับอันตรายก็สมควรที่จะมีชายหนุ่มมาช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ทว่านิทานไร้สาระเหล่านั้นกลับใช้ไม่ได้เมื่อนางกำลังตกลงมาในสุสาน สวรรค์! นางตกลงมาในห้องโล่งๆ ห้องหนึ่ง กลิ่นอับเหม็นหืนคละคลุ้งจนหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่มีชายหนุ่ม ไม่มีจอมยุทธ์ กระทั่งฟางสักกองรองรับยังไม่มี ครั้นเงยหน้ามองไปด้านบน ก็พลันรู้สึกเย็นวาบ แต่เดิมควรจะมีรูที่นางตกลงมา กลับพบว่าเป็นหินทึบประดับด้วยมุกราตรีเม็ดใหญ่ ภายในสุสานแม้ไม่มืดสนิท กระนั้นก็บอกได้ยากว่าสว่างไสว ไข่มุกราตรีที่ถูกฝังอยู่กลางเพดานหินสกัดเป็นเพียงต้นกำเนิดความสว่างเดียวในที่แห่งนี้ เซียวม่านหลิวมองรอบตัว สายตาเริ่มคุ้นชินกับความมืดมิดทีละน้อย พลันมองเห็นห้องขนาดใหญ่ ตามผนังสลักลวดลายนูนต่ำคล้ายกับบอกเล่าเรื่องราวในอดีตของเจ้าของสุสาน ด้านหนึ่งของห้องมีประตูบานใหญ่ตั้งตระหง่าน หน้าประตูคือรูปสลักหินของมนุษย์สูงใหญ่ราวสิบฉือ[1] ดวงตากลมรีขนาดเท่าไข่ห่านคล้ายกับจ้องมองนางตลอดเวลา ทั้งยังแผ่กลิ่นอายอันน่ากลัวบางอย่างออกมาจนชวนให้ขนลุกชูชัน เซียวม่านหลิวเผลอลูบผิวกายของตนเพื่อระงับความกลัว มือทั้งสองข้างพลันเจ็บแสบปวดร้าวจนน้ำตาเล็ด เมื่อส่องดูกับแสงสว่างจากไข่มุกราตรีก็ต้องเบิกตากว้าง แผลเป็นบนมืออันเกิดจากการตะกายดินตามสัญชาตญาณทำให้เลือดไหลซึมและเต็มไปด้วยเศษดินจำนวนไม่น้อย โบราณว่ายามเป็นแผล ไม่เห็นไม่รู้สึก ทว่าครั้นเห็นแผลเป็นบนมือของตน ก็ทั้งเจ็บทั้งปวดจนแทบจะร่ำไห้ หากเป็นยามปกติที่อยู่เฉินตู หลังจากได้รับแผลเช่นนี้ ท่านยายของนางจะต้องบ่นสักคำสองคำ ก่อนจะพาไปล้างมือแล้วค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดเศษหินเศษดินออกไปทีละน้อยแล้วทำแผลอย่างเบามือ พอคิดถึงท่านยายขึ้นมา นางก็น้ำตาซึม แต่แม้ว่านางจะอยากร้องไห้สักเพียงไหน ตอนนี้ก็มิใช่เวลาอันสมควรนัก หากไม่เพราะต้องกลับจวนของท่านพ่อเพื่อผ่านพิธีปักปิ่น นางคงไม่ยินยอมกลับมาที่ลั่วหยางอย่างแน่นอน เซียวม่านหลิวค่อยๆ เช็ดเศษหินออกจากบาดแผล ก่อนจะกลั้นใจฉีกชายเสื้อเพื่อนำมาพันกับมือเพื่อห้ามเลือด แต่แผลรอยหนึ่งบนมือขวากลับลึกยิ่ง เพียงแค่ครู่เดียวเลือดก็ไหลซึมออกมาจนชุ่มโชก นางกัดฟันกลั้นใจผลักประตูบานใหญ่บ้านนั้น มันกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย แม้ว่าสุสานของเชื้อพระวงศ์ส่วนใหญ่จะเป็นสุสานที่ปิดตาย กระนั้นแล้วก็ยังต้องมีทางออกเล็กๆ สำหรับช่างฝีมือที่ใช้หลบหนียามถูกฝังทั้งเป็น ดังนั้นย่อมมีทางออกสำหรับนางอย่างแน่นอน แต่นางไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ออกแบบสุสานแห่งนี้ ส่วนมากแล้วแบบผังของสุสานของราชวงศ์จะมีไม่กี่แบบที่แสดงเอกลักษณ์อันโดดเด่นของช่างหลวง อย่างน้อยก็จะมีลวดลายที่แสดงถึงตัวตนของผู้สร้าง น่าเสียดายที่นางศึกษาแผนผังจากบิดามาไม่น้อย กลับไม่คุ้นกับรูปแบบของที่นี่ เชื้อพระวงศ์โดยมาก สุสานจะถูกสร้างจากช่างมีฝีมือของลั่วหยาง แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปก็ยังมีผู้สืบทอดต่อๆ กันมา ทว่ายามนี้คิดไปก็เท่านั้น ยามนี้นางจึงต้องใช้มือทั้งสองข้างคลำตามผนังไปทั่ว พื้นผิวของผนังหินแผ่ไอเย็นเยียบแทรกซึมมาที่ฝ่ามือน้อยๆ ของนาง ปลายนิ้วเรียวมนกดคลำไปทีละชุ่น[2]อย่างใจเย็น สังเกตจากที่นางยังหายใจได้คล่องก็แสดงว่าที่แห่งนี้ยังมีรูระบายอากาศ นางจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ ทันใดนั้นปลายนิ้วของนางก็กดโดนรูปสลักนูนต่ำรูปหนึ่งจนได้ยินเสียงคล้ายแม่กุญแจถูกไข กึกๆๆ นางหันหลังกลับ ใบหน้าที่เครียดเคร่งพลันปรากฏรอยยิ้มโล่งใจขึ้น เซียวม่านหลิวกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังประตูที่ค่อยๆ เปิดอ้า โดยไม่ทันสังเกตว่าโลหิตของนางกำลังซึมหายไปในภาพสลักนูนต่ำของผนังหิน ใบหน้าขององครักษ์หินแกะสลักคล้ายปรากฏรอยยิ้มเย็นเยียบ เมื่อก้าวผ่านประตูบานใหญ่เข้าไปด้านใน คบเพลิงโดยรอบก็สว่างพรึบ เซียวม่านหลิวสะดุ้งน้อยๆ ทว่าสิ่งที่เห็นเบื้องหน้ากลับทำให้นางขนลุกชูชันไปทั้งตัว รูปปั้นคนขนาดเท่าตัวคนจริงๆ นับร้อยวางเรียงรายเต็มห้อง แต่ละตัวคนต่างก็สวมแพรพรรณชั้นดีซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในวังหลวง ลวดลายบางอย่างยังช่วยบ่งบอกสังกัดและยุคสมัยได้อีกด้วย รูปปั้นเหล่านั้นต่างก็ยืนโค้งอย่างสงบนิ่งโดยหันหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง คล้ายกับว่าจำลองการเคารพศพของเจ้านายอย่างไรอย่างนั้น ทว่าไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เซียวม่านหลิวคิดอยากรู้อยากเห็นเกินเหตุ เท้าทั้งสองข้างของนางค่อยๆ ก้าวไปยังจุดที่รูปปั้นเหล่านั้นทำความเคารพโดยที่ไม่อาจบังคับตัวเองได้ ตลอดรายทางที่นางก้าวไปทีละก้าว มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ยังสามารถกลอกมองสภาพในห้องทั้งหมด พลันพบว่ายิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งเห็นว่ามีกองสมบัติกองใหญ่ตั้งอยู่ที่สุดปลายทาง และในที่สุดก็มองเห็นแล้วว่าสิ่งที่อยู่ในกองสมบัติเหล่านั้นก็คือ… โลงศพ...ศพใครนางไม่รู้ เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่เห็นอัตลักษณ์ของเจ้าของสุสานเลยนอกเสียจากภาพสลักที่ปรากฏตามผนัง เซียวม่านหลิวสะท้านเยือกไปทั้งกาย นางพยายามขัดขืนไม่ให้ตนเองก้าวไปยังจุดนั้น ทว่าขัดขืนเท่าไรก็ไม่เป็นผล คล้ายกับว่านางเป็นเพียงวิญญาณที่สิงร่างของตนเองอยู่ ในหัวเริ่มคิดถึงอาถรรพ์ต่างๆ ในสุสานของราชวงศ์ในสมัยโบราณ มีไม่น้อยที่คนเหล่านั้นกักขังดวงวิญญาณข้าทาสบริวารเพื่อให้เฝ้าดูแลสมบัติในสุสาน ไม่นะ…ท่านพ่อ ท่านแม่ ช่วยด้วย ข้ายังไม่อยากตายนะ ข้ายังต้องแต่งงาน มีลูกสืบสกุล ไม่เอาแล้ว ใครก็ได้ช่วยข้าที หากออกไปได้ ต่อให้แต่งงานกับอวี่หยางข้าก็ยอม คำขอร้องของนางไร้ผล น้ำตาเริ่มคลอหน่วยตาอย่างไม่อาจบังคับตนเองได้ เริ่มจากหนึ่งหยด…สองหยด…สามหยด จนนางเริ่มสะอื้น กระนั้นแล้วก็ไม่อาจบังคับตัวเองให้หยุดเดินได้เสียที นางเข้าใจแล้วว่าความหวาดกลัวต่อการตายเป็นอย่างไร นางยังไม่อยากตาย! ร่างของเซียวม่านหลิวเคลื่อนเข้าหาโลงศพหินกลางกองสมบัติอย่างเลื่อนลอย ทว่าเจ้าของร่างกลับสะอึกสะอื้นอย่างหนัก มือทั้งสองข้างที่พันผ้าชุ่มเลือดค่อยๆ ลูบไล้ฝาโลงราวกับว่าไม่ได้มีความรู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป นางใช้แขนเสื้อสีเทาหม่นค่อยๆ เช็ดถูฝาโลงราวกับอาลัยอาวรณ์ ยิ่งร่ำไห้ก็ยิ่งโศกาอาดูรราวกับว่าในโลงนี้คือร่างของผู้ที่นางรักยิ่ง มารดามันสิ นางร้องไห้เพราะหวาดกลัว ไฉนจึงจะเป็นภาพเช่นนั้นได้! ทว่าฝาหินของโลงศพที่เปรอะเปื้อนโลหิตของเซียวม่านหลิวกลับสั่นไหวเบาๆ โลหิตซึมหายเข้าไปประหนึ่งเมื่อครู่มือของนางมิได้สัมผัส ทันใดนั้นฝ่าโลงก็เลื่อนหล่นไปอีกฝั่ง เซียวม่านหลิวสะดุ้งสุดตัวจนหัวใจเต้นระรัว นางหลับตาแน่น ทว่ามิอาจขยับเขยื้อนกายได้แม้แต่น้อย ในยามนี้ร่างกายของนางเย็นเฉียบ เพราะเสียเลือดไปมาก คล้ายกับว่าเรี่ยวแรงเหือดหายไปทีละน้อย ราวกับมีคนสูบพลังชีวิตของนางไปจนหมด ในชั่วอึดใจหนึ่งท่ามกลางเสียงก้องสะท้อนยามฝาโลงศพกระทบพื้น คล้ายกับมีเสียงลมหายใจของใครบางคนดังขึ้นใกล้ๆ ใบหู ลมหายใจเย็นเยียบรินรดตรงลำคอของนางอย่างแผ่วเบาจนขนลุกซู่ จากนั้นจึงคล้ายกับว่าร่างของนางถูกยกลอยขึ้นสูง แล้วตกอยู่บนก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่ง “อืม…นุ่มนิ่มยิ่งนัก” เสียงประหลาดดังขึ้นใกล้ใบหู นุ่มทุ้มแทรกซึมเข้าสู่จิตวิญญาณของนางจนอยู่ไม่เป็นสุข ร่างกายถูกอะไรบางอย่างโอบรัด ใบหน้าของนางสัมผัสกับบางสิ่ง กลิ่นหอมประหลาดกระทบนาสิกจนรู้สึกพิกลในช่องท้อง คราแรกนางหนาวเย็นจนสะท้านเยือก ทว่าผ่านไปเพียงชั่วครู่ สิ่งที่โอบรัดนางก็อุ่นขึ้นทีละน้อย เสียงของใคร? นางขยับกายไม่ได้ ทำได้เพียงลืมตาขึ้นมา ครั้นเหลือบมองสิ่งที่กำลังโอบรัดนางอยู่ก็ต้องตระหนกลนลาน กลับเป็นแผ่นอกของคนผู้หนึ่งซึ่งอยู่ใต้อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มปักเลื่อมพราย ทั้งยังมีลมหายใจและเสียงเต้นของหัวใจเป็นจังหวะมั่นคง เขาเป็นใครกัน? นางอยากพูดใจจะขาด ทว่ากลับไม่อาจทำอะไรได้ ยามนี้นางรู้สึกอ่อนล้าจนอยากจะหลับเสียอย่างนั้น น่าเสียดายกลับข่มตาไม่ลงเพราะความหวาดกลัวกำลังกัดกินจิตใจของนางราวกับพิษร้าย ร่างกายมีอาจเขยื้อน ทว่าหัวใจของคนเราไม่เคยโกหก นางกำลังหวาดกลัวจนหัวใจเต้นเร็วราวกับจะหลุดออกจากขั้ว “เป็นสตรีจริงๆ ด้วย” ใบหน้าหนึ่งเคลื่อนเข้ามาจนนางเผลอกลั้นหายใจ เซียวม่านหลิวอยากจะร้องไห้ อยากจะกรีดร้อง อยากจะอาละวาด ทว่าที่ทำได้ก็คือหวาดกลัวเงียบๆ จ้องมองดวงตาคมกริบคู่นั้นราวกับว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาต พลันรู้สึกตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิมเมื่อพินิจใบหน้าอันสมบูรณ์แบบของเขา ดวงตาคมกริบเรียวรีของเขารับกับเรียวคิ้วพาดเฉียงที่แฝงกลิ่นอายหยิ่งทะนง ปลายจมูกโด่งพอเหมาะรับกับริมฝีปากบางเฉียบ คล้ายกับว่าคำพูดทุกคำที่เปล่งออกมาจากปากเขาคือคำประกาศิต ในชีวิตนี้นางเคยพบเห็นคนที่มีลักษณะอย่างนี้เพียงคนเดียวในแผ่นดินต้าถัง องค์จักรพรรดิ ทว่าชายหนุ่มผู้นี้อายุน่าจะราวๆ ยี่สิบสองยี่สิบสาม น่าแปลกใจไม่น้อยที่มีลักษณะอันโดดเด่นเช่นนี้ ทันใดนั้นเขาก็ใช้ปลายนิ้วเย็นเฉียบเคาะหน้าผากของเซียวม่านหลิวเบาๆ ร่างกายของนางพลันอ่อนยวบ ตกอยู่ในอ้อมแขนของเขาจริงๆ แล้ว ลิ้นของนางแข็งทื่อ ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี บุคคลผู้มีกลิ่นอายสูงส่งเช่นนี้จะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร อยู่ที่นี่? เซียวม่านหลิวตัวแข็งทื่อ ทว่าอยากจะกระโดดหนีก็กระโดดไม่ได้ ได้แต่ร่ำไห้กับตนเองเงียบๆ ในใจ “เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรนะ” เขาถามเสียงเรียบ ดวงตาจับจ้องที่ใบหน้าของนาง ราวกับว่ามีอำนาจสืบค้นความจริงจากนางอย่างไรอย่างนั้น ชั่วแวบหนึ่งคล้ายปรากฏร่องรอยคลื่นลมจากนัยน์ตาคู่นั้นของเขา เซียวม่านหลิวไม่ตอบ ไม่ใช่เพราะนางหยิ่งหรืออะไร ทว่านางพูดไม่ออก จู่ๆ เมื่อสบตากับเขานางก็อยากร้องไห้ รู้สึกปวดหนึบในใจราวกับว่าตนเองกำลังจะขาดใจตาย “อา…สงสัยข้าสูบพลังเจ้าไปมากเกิน เช่นนั้นก็คงต้องคืนให้บางส่วนแล้ว” ชายหนุ่มพึมพำ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็พลันโน้มใกล้ ริมฝีปากเย็นเฉียบแนบลงบนริมฝีปากอ่อนนุ่มของนางเบาๆ ไร้ซึ่งการรุกล้ำ ทว่าใบหน้าของเซียวม่านหลิวกลับร้อนวาบ เรี่ยวแรงบางส่วนกลับคืนจนสามารถผลักหน้าของเขาออกไปได้แล้ว เมื่อร่างกายกลับมาอยู่ใต้คำสั่งของนางอีกครั้ง เซียวม่านหลิวจึงม้วนตัวออกจากอ้อมแขนแข็งแกร่งของเขา คราแรกนึกว่าจะโล่งใจแล้ว แต่นางกลับรู้สึกถึงรังสีกดดันจากทั่วสารทิศ ชายหนุ่มผู้นั้นนั่งชันเข่าอยู่ตรงบันไดตรงแท่นวางโลงศพ อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มขับเน้นให้ตัวเขาแลดูลึกลับและทรงอำนาจสะเทือนจิตใจผู้คน เส้นผมยาวดำขลับสยายทิ้งตัวปกคลุมใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาจนดูคล้ายกึ่งเทพกึ่งปีศาจ เซียวม่านหลิวรวบรวมความกล้า “ท่านเป็นใคร?” เขาเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มเย็นเยียบผุดพราย “เว่ยฉือหลี่หมิงคือชื่อของข้า” เซียวม่านหลิวตกใจไม่น้อย เริ่มแน่ใจแล้วว่าคนผู้นี้อาจจะมาจากในโลงศพนั้น ทว่ายังแสร้งทำเป็นจองหองถามต่อ “ท่านแซ่เว่ยฉือ มิใช่เป็นเชื้อพระวงศ์หรอกหรือ?” “นั่นย่อมใช่แน่นอน” เขาถูกฝังในสุสานของราชวงศ์มิใช่หรือ เซียวม่านหลิวเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาจับจิต หรือเขาจะไม่ใช่มนุษย์จริงๆ แต่กระนั้นนางก็ทำใจดีสู้เสือว่าเขาอาจยังไม่ตาย เพียงแต่ถูกขังไว้ในที่แห่งนี้ชั่วคราวเท่านั้น หรือเขาจะลอบเข้ามาในสุสาน? เว่ยฉือหลี่หมิง…หลี่หมิง ไม่ถูกต้อง “แต่ชื่อของท่านกลับผิดหลักการอยู่บ้าง ใบหน้าของท่าน ผิวพรรณของท่าน น้ำเสียงของท่าน อย่างไรก็ไม่เหมาะกับชื่อหลี่หมิง” “หมายความว่าอย่างไร” “ชื่อกลางของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันคือซิน ลำดับถัดมาคืออวี่ ท่านลำดับที่เท่าใดในสายสกุลเว่ยฉือกันเล่า” เว่ยฉือหลี่หมิงนิ่งอึ้งไป เขาลุกขึ้นยืน ร่างพลันแผ่กลิ่นอายน่าหวาดกลัวเพิ่มอีกส่วน ดวงตาที่จ้องมองนางคล้ายฉายประกายสีแดงเรื่อเรืองในความมืด “น้องชายของข้าคือเว่ยฉือหลี่จิ้ง ลูกชายของเขาคือเว่ยฉือเทียนหลาง เวยฉือเทียนเฟิง” “ทะ…ท่านตายไปแล้วไม่ใช่หรือ” “หึ…ตอนนี้ก็ฟื้นแล้ว” ครั้นได้ยินคำตอบของเขา สมองของนางก็บิดม้วน ขนลุกชูชันไปทั้งกาย “จักรพรรดิพระองค์ก่อนมีพระนามเดิมว่า…เว่ยฉือเทียนหลาง” เซียวม่านหลิวนับนิ้วของตัวเอง ไล่ลำดับรุ่นของเขาอยู่ในใจ สวรรค์ ศพมีชีวิตผู้นี้ถึงกับแก่กว่านางสามรุ่น เขาถือเป็นปู่ทวดของเว่ยฉืออวี่หยาง ทั้งยังแก่กว่านางตั้งมากโข ทว่าแทนที่จะตกใจกับคำตอบของนาง ชายหนุ่มกลับหัวเราะเย็นเยียบในลำคอ “ราชทินนามของข้าคือไท่หมิง องค์รัชทายาทลำดับที่หนึ่งซึ่งถูกแต่งตั้งในปีเสวียนจิ้งที่สิบแปด” สิ้นคำของเขา รอบด้านคล้ายมีเสียงอะไรบางอย่างเคลื่อนไหว เซียวม่านหลิวหันหลังขวับ ปรากฏว่ารูปปั้นหินจำนวนมากเริ่มกะเทาะตัวเองจนเห็นพื้นผิวภายใน คล้ายกับว่ากำลังจะลอกคราบเป็นมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น ในที่สุดความกลัวก็เอาชนะ ที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของนางในตอนนี้ก็คือเขา นางวิ่งสุดแรงเกิดไปหลบข้างหลังเว่ยฉือหลี่หมิงตามสัญชาตญาณ “หึ…ไม่กลัวข้าแล้วหรือ” นางส่ายหน้า เกาะแขนเขาแน่นจนลืมเจ็บมือ ในใจคิดแต่เพียงว่า ท่านมีคนเดียวยังพอรับมือได้ แต่กับรูปปั้นลอกคราบได้หลายร้อย ข้าต้องตายอยู่ที่นี่แน่ๆ   จบ(๒)       [1] เชียะ..ฟุต [2] 1 ชุ่น เท่ากับ 1 นิ้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD