###รุ่นลูกของเรื่องนางร้ายสื่อรัก 3p จ้าา
ณ เมืองหลวงแคว้นเจ้า:เมืองที่ปกครองด้วยฮ่องเต้ ‘เจ้าหย่งอี้’ ผู้มีพระชนมายุเพียง29ชันษา พระองค์ทรงมีฮองเฮาเคียงข้างกายเพียงหนึ่งเดียวที่พระองค์รักมั่นมาตั้งแต่วัยเยาว์ ฮองเฮาพระองค์นี้ทรงมีพระนามว่า ‘หวังป๋อหลิง’ ฮองเฮาบุรุษผู้มากวัยกว่าพระองค์ถึงห้าปี แต่เรื่องนี้ก็มิได้เป็นปัญหาในการปกครองบ้านเมืองแต่อย่างใด ในทางกลับกันฮองเฮาบุรุษผู้นี้ยังสามารถออกว่าราชการแทนพระองค์ได้ในยามที่พระองค์ทรงประชวรเสียด้วยซ้ำ กล่าวไปถึงองค์หญิง องค์ชายหรือที่เรียกขานกันว่าองค์รัชทายาททรงมีพระนามว่า ‘เจ้าอี้หลิง’ ในปัจจุบันมีพระชนมายุเก้าชันษา องค์หญิงใหญ่เจ้าอิงฮวาสิบสามชันษาและองค์หญิงเจ้าไป๋หลานกับเจ้าหลานฮวาสิบสองชันษาทุกพระองค์กำลังอยู่ในวัยศึกษาวิชาความรู้ ทั้งนี้ฮ่องเต้เจ้าหย่งอี้ยังมีพระอนุชาอีกสองพระองค์ที่ยามนี้พระองค์ทรงพระราชทานตำแหน่ง ‘ชินอ๋อง’(น้องชายลำดับที่1)ให้แก่เจ้าหย่งเจี้ยน ‘จวิ้นอ๋อง’(น้องชายลำดับที่2)ให้แก่เจ้าหย่งเซิงเนื่องจากทั้งคู่คอยช่วยงานราชการมีความสำคัญต่อราชสำนัก ส่วนน้องสี่องค์หญิงเจ้าหย่งซินน้องสาวคนสุดท้องได้แต่งออกไปยังแคว้นเว่ยเมื่อหลายปีก่อนและหาได้มีเรื่องให้ต้องกังวลเพราะนางกลับมาเยี่ยมเยียนที่วังหลวงบ่อยครั้งซึ่งนางพร่ำบอกว่านางสุขสบายดีอย่าได้เป็นกังวล ยามนี้แคว้นเจ้ามีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ไร้สงคราม ไร้ความแห้งแล้ง ผู้คนอยู่ดีกินดีจนหลายแคว้นมักจะส่งราชทูตเข้ามาศึกษาวิธีการปกครองอยู่เสมอ
๑-------------------๑
ตำหนักอู่หลง:ชินอ๋อง(07.30)
สองฝาแฝดเจ้าหยางหลงและเจ้าเฟิ่งเซียนในวัยแปดชันษา นอนฟังเรื่องเล่าจากท่านแม่จูเหม่ยเซียนพร้อมกับคำถามมากมาย
“ท่านแม่จากมาแสนไกล มิคิดถึงท่านตาและท่านยายหรือเจ้าคะ?” เฟิ่งเซียนถามคำถามที่กระทบใจท่านแม่จนนางน้ำตาร่วง ที่ที่นางจากมาช่างไกลแสนไกลยากจะหวนกลับไปได้
“ย่อมคิดถึง แต่ทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องของโชคชะตาหากแม่มิได้จากที่แห่งนั้นมา แม่ก็จะไม่มีพวกเจ้าทั้งสองคนรวมทั้งน้องสามของพวกเจ้าด้วย” จูเหม่ยเซียนลูบหัวสองฝาแฝดชายหญิงที่แสนน่ารักของนาง สายตาเหม่อมองออกไปยังสวนหน้าตำหนักมีเจ้าชินหลงในวัย4ชันษาบุตรชายคนสุดท้องวิ่งเล่นอยู่ “หากยามนี้แม่เลือกได้ แม่ก็จะอยู่กับพวกเจ้าไม่จากไปที่ใดอีก” ครอบครัวจากโลกนั้นมีจูเหม่ยเซียนตัวจริงอาศัยร่างของนางอยู่ ดังเช่นนางมาอยู่ในร่างของจูเหม่ยเซียนตัวจริง ยามนี้นางมีครอบครัวอยู่ที่นี่แล้ว มีสวามีเป็นอ๋องถึงสองพระองค์ มีบุตรอีกสามคนจะให้ละทิ้งพวกเขาไว้ก็คงทำมิได้..ทุกวันนี้นางทำได้เพียงมองหนังสือเล่มสีดำเพื่อให้จดจำไว้ว่านางคือใคร
เจ้าหยางหลงและเจ้าเฟิ่งเซียนเงยหน้ามองท่านแม่ผู้งดงามในวัย24ปีด้วยความรัก ถึงแม้เรื่องราวของท่านแม่นั้นเป็นเรื่องที่เด็กน้อยทั้งสองยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่พวกเขาก็ไม่อยากให้ท่านแม่จากไปไหน ทุกเรื่องราวที่ท่านแม่เล่าให้พวกเขาฟังล้วนเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น น่าเรียนรู้ ไม่ว่าจะเรื่องรถที่ไม่มีเทียมม้า เรื่องเครื่องบินที่สามารถบินบนท้องฟ้าได้รวดเร็วยิ่งกว่าวิชาตัวเบา เรื่องชุดแต่งกาย เรื่องการใช้ชีวิตในยุคสมัยของท่านแม่ สตรีและบุรุษนิยมการรักเดียวใจเดียว หน้าที่การงานที่สตรีเท่าเทียมบุรุษและอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่สองฝาแฝดจะต้องมาฟังก่อนเดินทางไปร่ำเรียนอ่านเขียนและฝึกยุทธ์
บ่อยครั้งที่เฟิ่งเซียนมาหาท่านแม่ นางมักจะเห็นท่านแม่อ่านหนังสือที่มี ‘ปกสีดำ' ด้านในมีตัวหนังสือที่นางอ่านไม่เข้าใจเพราะมันมิใช่ตัวหนังสือที่เด็กน้อยอ่านเขียนในทุกๆวัน (ภาษาจีน) เรื่องราวที่ท่านแม่เล่าส่วนหนึ่งอาจจะมาจากหนังสือเล่มนี้ก็เป็นได้ ความอยากรู้มีมากมายจนเต็มอก ท่านแม่เคยบอกว่า ‘ข้างในนี้มีเรื่องราวทั้งหมดของท่านแม่..เรื่องราวที่ท่านแม่มิได้เป็นผู้เขียน’ ถ้อยคำนั้นยิ่งกระตุ้นความอยากของเฟิ่งเซียนได้ดียิ่ง ‘เรื่องที่ท่านแม่มิได้เขียนจะเป็นไปได้อย่างไร?แล้วใครจะเป็นผู้เขียน'
“ท่านแม่” บุตรสาวตัวน้อยออดอ้อนท่านแม่ กระพริบตาปริบๆ
“ว่าอย่างไร?” จูเหม่ยเซียนยิ้มหวาน
“ลูกอยากให้ท่านแม่สอนลูกอ่านข้อความในหนังสือเล่มสีดำ” ชี้ไปที่หนังสือลึกลับ “ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ท่านแม่ผู้งดงามของเด็กน้อยนิ่งเงียบไปราวอึดใจ พร้อมกับลูบผมบุตรสาวและบุตรชายที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงองค์ชายน้อย คำถามของเฟิ่งเซียนทำนางใจเต้น ‘ลูกสาวของนางอยากเรียนภาษาไทย’ ความยินดีฉายชัดในแววตา
“แล้วหยางหลงอยากเรียนรู้ร่วมกันกับน้องรองหรือไม่?”
“ลูกย่อมอยากร่ำเรียนด้วยขอรับ” หยางหลงตอบรับเพราะตัวเด็กชายเองก็อยากรู้ไม่แพ้น้องสาว
“เช่นนั้น” ใบหน้างดงามครุ่นคิดถึงเวลาการสอน “ทุกๆวันหลังจากเรียนวิทยายุทธ์แล้วเสร็จ ในปลายยามเซิน(17.00)แม่จะสอนพวกเจ้าเขียนอ่าน ‘ภาษาไทย' หนึ่งชั่วยาม(2ชั่วโมง) ตั้งแต่เริ่มต้นจนอ่านเขียนและพูดเป็นดีหรือไม่?” สองฝาแฝดผงกหัว “แน่นอนว่า..ภาษาที่แม่สอนจะมิมีผู้ใดในที่นี้เข้าใจหรือรับรู้ ถือว่าเป็นความลับของพวกเรา”
“ความลับของพวกเราหรือเจ้าคะ?” เจ้าเฟิ่งเซียนยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกาย
“ใช่แล้ว ความลับของพวกเราที่เสด็จพ่อก็มิอาจรับรู้”
“ดียิ่งนักขอรับ ความลับของเราสามแม่ลูก” เจ้าหยางหลงกอดเอวท่านแม่แน่น
จูเหม่ยเซียนยิ้มเต็มใบหน้า อย่างน้อยเรื่องราวจากโลกเดิมที่นางจากมายังมีบุตรสาวและบุตรชายร่วมรับรู้ นับจากนี้นางจะตั้งใจสอนพวกเขาทุกอักษรให้พวกเขาพูดคุยกับนางได้ก่อนที่มันจะเลือนหายไปจากความทรงจำเมื่อเวลาผันผ่าน
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาองค์หญิงองค์ชายฝาแฝดในวัยแปดชันษาที่มักจะมาร่วมรับสำรับกับท่านแม่แล้วจะรีบพาตนเองเข้าไปฝึกเรียนเขียนอ่าน ‘สระ’ ในห้องทำงานของเสด็จพ่อทันที สองพี่น้องทั้งอ่านและเขียน ‘ภาษาไทย’ ทุกตัวอักษรซ้ำๆจนจำได้ขึ้นใจใช้เวลาร่วมสองเดือนกว่าท่านแม่ผู้งดงามถึงจะเริ่มสอนการสะกดคำให้เป็นประโยค
--------------๑-------------------
สามปีผ่านไป
วังหลวงแคว้นเจ้า ณ.ตำหนักอู่หลง(ชินอ๋องเจ้าหย่งเจี้ยน)
เด็กฝาแฝดในวัย11หนาวเริ่มอ่านเรื่องเล่าในหนังสือปกดำได้แล้วโดยที่ท่านแม่จูเหม่ยเซียนไม่ต้องสอนสิ่งใดอีก
“ท่านแม่” แฝดน้องเจ้าเฟิ่งเซียนมีใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ เมื่อนางอ่านบทแรกผ่านไป บทที่หญิงสาวนามว่าไอยรา ‘ตกบันได’ แล้วมาอยู่ในร่างของนางร้ายในนิยายซึ่งมีนามว่า ‘จูเหม่ยเซียน’ “เช่นนั้นพวกเราเป็นเพียงแค่คนในเรื่องเล่าหรือเจ้าคะ? เรามิมีชีวิตจริงๆหรือเจ้าคะ?..อึ่กๆๆ ฮืออออ” แล้วเจ้าเฟิ่งเซียนก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“หาใช่เช่นนั้นไม่ลูกรัก” นางลูบผมบุตรสาวในอ้อมกอดคล้ายปลอบประโลม “พวกเราทุกคนหาได้เป็นเพียงเรื่องเล่า..แต่เรื่องเล่าในนี้คือเรื่องที่เขียนมาจากชีวิตจริงๆของเราต่างหากเล่า”
“เช่นนั้น แม่นางจูเหม่ยเซียนตัวจริงได้เข้าไปอยู่ในร่างนั้นแทนท่านแม่หรือขอรับ”
“คงเป็นเช่นนั้น..เรื่องราวพิสดารที่เกิดขึ้นกับแม่เมื่อสิบสองปีที่ผ่านมาทำให้แม่ได้เป็นแม่ของพวกเจ้าในวันนี้..นั่นคือพรหมลิขิต”
“ท่านแม่!!/ท่านแม่!!” ฝาแฝดโผกอดรัดมารดาของตนเองพร้อมกับน้ำตานองหน้า
“ลูกจะอ่านทุกตัวอักษรในหนังสือเล่มนี้มิให้ตกหล่นแม้เพียงครึ่งคำ” เจ้าเฟิ่งเซียนสะอึกสะอื้นสีหน้ามุ่งมั่น
“ลูกก็เช่นกันขอรับ”
“ขอบใจพวกเจ้ามากที่อยากจะเข้ามารับรู้เรื่องราวของแม่”
เจ้าเฟิ่งเซียนยิ้มกว้างรีบบอกความประสงค์ของตนเอง “เช่นนั้นลูกขอยืมไปอ่านที่ตำหนักได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ได้สิ” ผู้ถูกร้องขอตอบรับ..แม้หนังสือเล่มนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดบันทึกเรื่องราวแต่นางก็ยินดีมอบให้บุตรสาวกับบุตรชายไว้อ่านเพื่อศึกษา “ให้อ่านเพียงในตำหนักและอย่าได้นำออกไปที่ใดนอกจากนำมันมาคืนแม่”
“เจ้าค่ะหากลูกอ่านใกล้จะถึงหน้าสุดท้ายแล้วลูกจะนำมาคืน” เจ้าเฟิ่งเซียนกอดหนังสือปกดำแน่น
“ไปเถิดกลับตำหนักได้แล้วอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จก็นอนพักผ่อนเสีย” นางบอกบุตรฝาแฝดทั้งคู่เมื่อยามซวี(18.40)มาถึง
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” ฝาแฝดรับคำแล้วเดินออกจากตำหนักไปโดยมีองครักษ์ในคราบบ่าวรับใช้เดินตามมากมาย
จูเหม่ยเซียนมองตามลูกรักทั้งสองด้วยรอยยิ้ม ท้องฟ้าในยามโพล้เพล้เช่นนี้ช่างเย็นสบายเสียจริง นางหันไปมองสาวใช้คนสนิททั้งสามคน เสี่ยวถงเป็นสาวใช้ที่ติดตามนางมาตั้งแต่เด็ก ลี่หงและอี้หงเป็นองครักษ์สตรีที่ท่านพี่ทั้งสองมอบให้กับนางเมื่อสมัยที่ยังเป็นคู่หมั้นกัน นางเข้าใจว่าทั้งสามคนมีความสนิทสนมกันมากจึงมีความคิดว่า…
หลายวันก่อนตู้ฟางซินสหายคนสนิทของนางที่ยามนี้อยู่ในเขตชายแดนกับผู้เป็นสามีซึ่งก็คือท่านแม่ทัพใหญ่ได้ส่งจดหมายมาบอกกล่าวว่าอยากจะร่วมเป็นหุ้นส่วนกับนางเปิดร้านขาย ‘ชุดชั้นใน’ ในเมืองหลวงซึ่งนางก็เห็นว่าเข้าท่าดี อืมมม…เช่นนั้น
“เสี่ยวถง”
“เจ้าคะ?” เสี่ยวถงดึงมือออกจากการกอบกุมของลี่หงแล้วเดินเข้ามาหาพระชายาใกล้ๆ
“ข้าอยากจะเปิดร้านขายชุดชั้นในร่วมกันกับฟางซิน ข้าจะให้เจ้า ลี่หง อี้หงไปเป็นคนเฝ้าร้านเมื่อร้านแล้วเสร็จ”
เสี่ยวถงตกใจทำตาโต “แล้วผู้ใดจะอยู่ดูแลคุณหนูเล่าเจ้าคะ” นางยังคงเรียกจูเหม่ยเซียนว่าคุณหนูเฉกเช่นในวันวาน
“คนดูแลข้ามีเยอะแยะ เจ้าคงลืมไปใช่หรือไม่ว่าสี่ปีที่แล้วท่านพี่ทั้งสองของข้ามอบขันทีน้อยมาสองคน” จูเหม่ยเซียนหันมองขันทีน้อยทั้งสองที่นางตั้งชื่อให้ว่า อาเป้าและอาเฉ่าขันทีน้อยในวัยสิบสามปีผู้คล่องแคล่วว่องไว ใช้สอยง่าย
“แต่ว่าบ่าวไม่อยากแยกกับคุณหนูนะเจ้าคะ” เสี่ยวถงทำสีหน้าจะร้องไห้
“ข้าก็ไม่ได้ให้เจ้าแยกไปเสียหน่อย เพียงแค่ไปดูแลร้านและนำบัญชีมาส่งข้าในทุกๆเจ็ดวันห่างกันเพียงแค่รั้ววังหลวงกั้น หรือเจ้าอยากจะมาหาข้ายามใดก็ย่อมได้”
คนถูกสั่งงานคล้ายไม่ยอมรับหน้าที่อย่างเต็มใจแต่ก็ไม่อาจขัดได้ หากเป็นเช่นที่คุณหนูบอกนางก็จะเข้าวังทุกวันเลย “เจ้าค่ะ” เสี่ยวถงรับคำด้วยสีหน้าเซื่องซึม
จูเหม่ยเซียนยิ้มหวาน “ร้านค้ายังมิได้ก่อสร้าง เจ้าจะเซื่องซึมไปใยเล่า” สาวใช้ทั้งสามเงยหน้ามองคุณหนูพร้อมกัน “พรุ่งนี้เจ้าสามคนออกไปหาทำเลที่ตั้งร้านและติดป้ายรับสมัครช่างเย็บปักเสื้อผ้าสตรีมาสักสิบคน หลังจากนี้เราค่อยว่ากัน”
“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ” ทั้งสามรับคำ