บทที่ 1 จุดเริ่มต้น

1669 Words
บทที่ 1 จุดเริ่มต้น “แนะนำตัวได้เลยค่ะ” หญิงสาวในชุดสูทสีกรมผายมือให้กับมีเข้าสัมภาษณ์ตรงหน้าก่อนจะส่งสัญญาณให้แนะนำตัวด้วยน้ำเสียงเรียบ “สวัสดีค่ะชื่อนางสาวชลาชลปัญญาเหมชื่อเล่นลำนำอายุ 24 ปี จบจากมหาวิทยาลัยU คณะอักษรศาสตร์สาขาวิชาภาษาฝรั่งเศส” เธอแนะนำตัวเพียงสั้น ๆ เพราะหวังจะเปิดโอกาสให้ทางคณะกรรมการสัมภาษณ์ได้ตั้งคำถาม ความมั่นใจของหญิงสาวซึ่งเป็นเด็กจบใหม่ส่งผ่านไปทางเสียงและท่าทางเธอพร้อมที่จะทำงานอย่างมากรวมทั้งความสามารถของเธอก็มากพอสำหรับการทำงาน “ในเรซูเม่บอกว่าเคยฝึกงานที่บริษัทG มาแล้วสี่เดือนที่แผนกส่งออกทำไมถึงไม่ได้ทำงานที่นั่นต่อคะบริษัทเขาก็ใหญ่” หนึ่งในคณะกรรมการท่านหนึ่งถามขึ้นเธอจ้องมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความสนใจเพียงแค่อ่านประวัติย่อและเห็นภาพรวมของบุคลิกภาพก็ถือว่าผ่านไปแล้วหนึ่งก้าวจากคนอื่น ๆ ที่เรียกเข้ามาสัมภาษณ์ “อ๋อ” หญิงสาวลากเสียงยาวกับคำถามนี้เล็กน้อย “พอดีว่าที่นั่นเขาไม่ได้ขาดบุคลากรตรงส่วนนี้น่ะค่ะ ก็เลยไม่ได้รับเข้าทำงานต่อ” เธอตอบอย่างมั่นใจดวงตากลมโตใต้คิ้วดกดำเรียงเส้นสวยนั้นเต็มไปด้วยไฟของนักศึกษาจบใหม่ที่บริษัททั้งหลายต่างโหยหา “แล้วพูดได้ 4 ภาษาอืม... ไทย อังกฤษ จีน เกาหลีแล้วก็...ฝรั่งเศสแบบนี้มัน 5 สิ” กรรมการผู้ชายท่านหนึ่งพูดขึ้นบ้าง เรซูเม่ได้รับการทำสำเนาและแจกจ่ายให้กับกรรมการทุกท่าน เพื่อประกอบการให้คะแนนกับผู้เข้าสัมภาษณ์มันน่าสนใจพอที่คณะกรรมการจะเอ่ยถามความสามารถของเธอนับว่ามากมายจริง ๆ หากได้มาร่วมงานก็จะเป็นประโยชน์กับบริษัท “ไทยไม่นับสิคะ” ชลาชลตอบ “นั่นสินะ อืม ๆ ๆ ใช้โปรแกรมพื้นฐานไมโครซอฟท์ออฟฟิศได้อยู่มั้ง” ผู้ชายคนอีกหนึ่งเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้างเขาจับตามองเธออย่างให้ความสนใจ “ได้ค่ะได้หมดเลยเวิร์ดเอ็กเซลพาวเวอร์พอยท์Photoshop เขียนโค้ดพื้นฐานก็ได้แล้วก็...สร้างเว็บได้ด้วยค่ะเอ่อ...ในพอร์ตมีใบประกาศที่รับจากการชนะการแข่งขันด้วยนะคะ” เธอตอบก่อนจะผายมือไปทางแฟ้มประวัติของตัวเองเพื่อเป็นการแนะนำ เหล่ากรรมการสัมภาษณ์ต่างมองหน้ากันและพยักหน้าเป็นสัญญาณ ว่าสนใจในตัวเธอคนนี้มากเป็นพิเศษชลาชลเองก็พอจะรู้สึกได้ว่าทุกคนพอใจในตัวเธอแต่เรื่องการจบใหม่และไม่มีประสบการณ์ก็รู้ดีว่าเป็นปัญหาหลายที่เลือกที่จะไม่รับเพราะไม่อยากที่จะสอนงาน “เกรดก็ดีด้วย แต่....ยังไม่มีประสบการณ์ทำงาน” นั่นไง!ผู้ชายอีกคนที่เพิ่งเปิดดูพอร์ตฟอลิโอกล่าวขึ้นสิ่งที่ได้รับฟังทำให้หญิงสาวรู้สึกเซ็งในอารมณ์ไม่น้อยแต่ก็ไม่ทำให้เธอแสดงความหวั่นไหวหรือประหม่าออกมา ผิดกับคนถามที่กำลังครุ่นคิดเพราะแผนกที่เธอต้องเข้าไปทำงานนั้นค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องประสบการณ์ทำงานเป็นอย่างมากแต่พิจารณาความสามารถของเธอแล้วก็คิดว่าอาจจะเอาไปลบล้างข้อบกพร่องตรงนี้ได้จากการสัมภาษณ์น่าจะได้รับการยอมรับจาก ‘เจ้าถิ่น’ ไม่ยาก “เพิ่งเรียนจบค่ะเลยยังไม่ได้ทำงานที่ไหน” เธอรู้ข้อด้อยของตัวเองข้อนี้เป็นอย่างดีเพราะหลายบริษัทใหญ่ที่เธอยื่นใบสมัคร ต่างปฏิเสธเธอทั้งสิ้น พวกเขามองข้ามความสามารถทั้งหมดที่เธอรวบรวมมาเรียกคะแนนอย่างไม่ไยดีจนชลาชลต้องหันไปพึ่งการบนบานศาลกล่าวจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเปิดทางให้เธอได้งานเสียที ‘ก็ถ้าไม่รับเข้าทำงานเมื่อไหร่จะมีประสบการณ์เล่า’ เธอคิดว่าในใจแต่กระนั้นก็ยังแสดงความมั่นใจในตัวเองออกมา “ชื่อจริงกับชื่อเล่น...แปลกดีนะแปลว่าอะไรเหรอคะ” ผู้หญิงคนแรกที่ตั้งคำถามแทรกขึ้นมาอีกครั้งดูเป็นคำถามที่ผ่อนคลายและไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงานสักนิด “ชื่อจริงชะ ลา ชล แปลว่าน้ำค่ะส่วนลำนำจริง ๆ แม่จะตั้งให้ว่าลำน้ำแต่พ่อเรียกเพี้ยนเป็นลำนำคนก็ดันเรียกตามพ่อคราวนี้ก็เลยกลายเป็นลำนำที่แปลว่ากลอนไปเลย” หญิงสาวยังคงตอบอย่างฉะฉานและมั่นใจ แม้ว่าเธอจะตื่นเต้นมากก็ตาม “เกิดธาตุน้ำเหรอคะ” คนถูกถามยิ้มแห้ง ๆ เธอชักสงสัยว่าคำถามพวกนี้มันเกี่ยวกับการสัมภาษณ์งานตรงไหน แต่ความจริงแล้ว กรรมการสัมภาษณ์ ต้องการถามเพียงเพื่อดูบุคลิกของเธอก็เท่านั้นนอกเหนือจากเรื่องความสามารถในการทำงานการมีประสบการณ์อีกหนึ่งอย่างที่ต้องมีคือเรื่องบุคลิกภาพที่เจ้าถิ่นดูเหมือนจะเน้น “เปล่าค่ะเกิดธาตุไฟแต่แม่กลัวจะเป็นคนใจร้อนก็เลยพยายามตั้งชื่อให้เป็นน้ำเพื่อแก้เคล็ด” เธอก็ตอบกลับได้อย่างมั่นใจ และยังคงรักษาบุคลิกสาวมั่นมีไหวพริบไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ “โอเค...เท่าที่คุยกันวันนี้ส่วนตัวรู้สึกชอบความคิดทัศนคติ แล้วก็บุคลิกน้องนะคะงั้นเดี๋ยวไปคุยกับฝ่ายบุคคลเรื่องเงินเดือนแล้วจะเริ่มงานวันไหนก็บอกกับทางฝ่ายบุคคลได้เลย” หญิงสาวคนแรกในคณะกรรมการสัมภาษณ์เอ่ยพูด “นะ...นี่หนูได้งานแล้วเหรอคะ” เธอแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองกี่บริษัทกันแล้วที่ปฏิเสธเด็กจบใหม่ผู้ไร้ประสบการณ์แบบเธอกี่บริษัทแล้วที่ทำให้เธอต้องผิดหวังเพราะคำว่าไม่มีประสบการณ์ของเธอ “ใช่ค่ะ ยินดีด้วยนะคะ” หนึ่งในคณะสัมภาษณ์บอกก่อนจะยิ้มให้กับเธอ ‘มีงานทำแล้วโว้ย! ’ ชลาคิดในใจเธออยากจะลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นใจแทบขาดแต่ทำได้เพียงนั่งนิ่งยิ้มสวย ๆ กับยกมือขึ้นจับผมทัดที่หูวันนี้คงต้องมีการฉลองกับเพื่อนเล็กน้อยกับการได้งานทำเสียทีหลังจากที่ไปหลายบริษัทเพื่อสัมภาษณ์ อีกด้านหนึ่งในพื้นที่บริษัทส่วนของโรงงานกำลังวุ่นวายด้วยแผนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเท่าตัวจากออเดอร์ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องทำให้อัตราของการผลิตไม่สมดุลกับความต้องการของตลาด “ที่ดินที่ติดกับโรงงานเรา พ่อจัดการให้คนไปตกลงซื้อมาเรียบร้อยแล้วคิดว่าถ้าทุกอย่างเรียบร้อยจะจัดการประชุมชี้แจ้งอีกที” ชายมีอายุเดินมาหยุดที่ริมกำแพงรั้วกั้นเขต ก่อนจะหันไปบอกกับลูกชายคนโตที่เดินมาด้วยกันสายตาของเขากว้างไกลและกำลังวางแผนอนาคตที่บริษัทจะเจริญไปข้างหน้า “ทำไมเขาถึงยอมขายให้เราง่าย ๆ ก็ไหนว่ามีเรื่องมีราวกันถึงขนาดจะขึ้นโรงขึ้นศาล” ฝ่ายลูกชายถามอย่างสงสัย เขารู้ดีว่าเจ้าของที่ดินติดโรงงานนั้นหยิ่งยโสเสียยิ่งกว่าอะไรไม่ว่าจะพยายามเข้าหาด้วยวิธีไหนก็ไม่เคยเป็นผลเลยสักครั้งแต่ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้ยอมง่าย ๆ มันไม่แปลกไปหน่อยหรืออย่างไร “เงินมันหอมหวานน่ะซัมเมอร์” ผู้เป็นพ่อหันมาบอกกับลูกชายชื่อซัมเมอร์เป็นชื่อเล่นที่น้อยคนนักจะได้เรียกมีเพียงแค่คนในครอบครัวเท่านั้นที่จะได้เอ่ยชื่อเล่นของ ‘คิมหันต์กนกอัมพร’ “หมดไปเท่าไหร่ถึงได้ซื้อของจากคนแบบนั้นมาได้” ทั้งคู่ออกเดินอีกครั้งไปพร้อมกับการสนทนาอย่างเป็นกันเอง สำหรับคนเป็นพ่อก็คงมีแค่ลูกชายคนโตเท่านั้นที่สามารถพึ่งพาได้ตอนนี้ทั้งที่มีลูกชายอีกคนที่เป็นถึงดอกเตอร์ *‘เหมันต์กนกอัมพร’ ผู้มากความสามารถแต่เขาก็ชอบทำงานด้านวิทยาศาสตร์มากกว่า “เท่าที่ปรึกษากับหุ้นรายใหญ่เขายินดีจะทุ่มเงินตรงนี้เพื่อขยายโรงงานเศรษฐกิจแบบนี้ที่อื่นพากันปิดตัวหมด แต่เราโชคดีที่ส่งออกเป็นส่วนใหญ่เลยไม่กระทบมากเท่าไหร่เรายืนได้ขนาดนี้ใครก็อยากเข้าหาเราทั้งนั้นพ่อเลยมองว่าการลงทุนครั้งนี้มันจะยิ่งตอกย้ำความมั่นคงของเรานะ” “แล้วแต่พ่อก็แล้วกันผมรับผิดชอบดูแลแค่ส่วนการส่งออกตอนนี้ก็มีแต่ปัญหา วุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน พนักงานก็ไม่พอเขียนขอบุคลากรไปเป็นเดือนยังไม่ได้คนใหม่เสียที” ลูกชายกล่าวอย่างหัวเสีย เหตุที่ยังไม่ได้คนนั้นไม่ใช่เพราะไม่มีใครมายื่นใบสมัครในตำแหน่งที่กำลังว่างนี้แต่เพราะ ’คิมหันต์’ เองที่ยังไม่พอใจใครสักทีต่อให้พนักงานผ่านด่านฝ่ายบุคคลมาได้ก็ต้องมาตายที่หัวหน้าแผนกอย่างคิมหันต์อยู่ดียิ่งเขาเป็นถึงลูกชายประธานบริษัทมีหรือใครจะขัดเขาได้ เขาคือ ‘เจ้าถิ่น’ ที่ต้องสมบูรณ์ที่สุดเท่านั้นที่จะอยู่ต่อไปได้ “มาตรฐานแกมันสูงเกินไปหรือเปล่าเบาได้ก็เบา ๆ ลงบ้างสมัยนี้ใครเขาก็เปิดใจรับเด็กจบใหม่กันทั้งนั้นแหละค่าแรงก็ไม่แพงไอ้เรื่องงานมันก็สอนกันได้จบใหม่ ๆ จะยิ่งมีไฟในการทำงานด้วย” คนเป็นพ่อกล่าวต่อ ทุกคนในที่ทำงานรู้ดีถึงกิตติศัพท์ของคิมหันต์ดี! “ผมไม่เกี่ยงเรื่องค่าแรงถ้าทำงานให้ผมได้ตามที่ผมต้องการผมไม่อยากรับคนทำงานไม่เป็นมาทำงานมันเสียเวลา กว่าจะสอนกว่าจะแก้งานที่ทำผิดอีกได้เหนื่อยเป็นสองเท่าสิ” ลูกชายจอมอคติยังคงพูดต่อ คนเป็นพ่อทำได้เพียงแค่มองดูลูกชายแล้วส่ายหัวเบา ๆ ‘ลูกคนนี้นี่มันจริง ๆ เลย’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD