19

1381 Words
จวนอ๋องใหญ่ “เรียกป้าหวังมาพบข้าด้วย” เกาหรงซานบอกกับสาวใช้ที่นำน้ำชากับอาหารว่างมาให้ “เจ้าค่ะ” สาวใช้ถอยหลังไปสามก้าว แล้วหมุนตัวเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วอย่างไร้สุ้มเสียงของฝีเท้า ไม่นานแม่บ้านใหญ่ก็เดินเข้ามา “ท่านอ๋องต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ” “นางเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าได้ข่าวของนางบ้างหรือไม่” “อ๋องใหญ่หมายถึงพระชายาหรือเจ้าคะ” ความเงียบของเจ้านายคือคำตอบว่านางเข้าใจถูกต้อง นางจึงล้วงเข้าไปในอกเสื้อ หยิบกระเป๋าผ้าขนาดเท่าฝ่ามือออกมาเปิด เอากระดาษที่พับเอาไว้อย่างดียื่นให้เขา “นางฝากสิ่งนี้ไว้ให้ท่านก่อนจากไปเจ้าค่ะ ส่วนเวลานี้นางสบายดี ข้าเพิ่งถามกับสาวใช้ของนางวันนี้เองเจ้าค่ะ” อ๋องใหญ่คลี่กระดาษออกมาดู จึงรู้ว่าเป็นหนังสือหย่าที่ตนเขียนทิ้งไว้ในห้องหอ ก่อนที่จะเดินทางไปสู้ศึกที่ชายแดนทางใต้เมื่อเกือบสามปีก่อน เนื้อความที่เขียนทิ้งไว้ก็คือคำว่าหนังสือหย่าเพียงสามคำเท่านั้น เพราะไม่สามารถหาข้อบกพร่องใดๆ เขียนลงไปได้นั่นเอง และตอนนี้ในกระดาษแผ่นนี้ก็มีลายนิ้วมือประทับเพิ่มมาอีกหนึ่งแห่ง เพียงแค่เขาเขียนชื่อลงไปพร้อมกับข้อความบางประโยคก็จะกลายเป็นหนังสือหย่าที่สมบูรณ์ “เอาหมึกกับพู่กันมาให้ข้า” เขาบอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง “เจ้าค่ะ” ป้าหวังรับคำ เก็บความรู้สึกผิดหวังเอาไว้ในอก “ท่านอ๋อง” จวงเล่ยเดินเข้ามาในเวลาเดียวกับที่ป้าหวังกำลังจะออกไป “ข้าจะเรียกเจ้าใหม่อีกครั้ง” อ๋องใหญ่บอกกับป้าหวังที่ยืนนิ่งรอฟังคำสั่งอย่างรู้ธรรมเนียม แล้วบอกกับรองแม่ทัพคู่ใจ “นั่งสิ” “ขอบคุณท่านอ๋อง” จวงเล่ยรับน้ำชาที่เจ้านายรินให้มาดื่มจนหมดโดยไม่สะท้านกับความร้อนของมัน เขาวางถ้วยลงแล้วเริ่มเปิดปากเล่าเรื่องที่ได้รับคำสั่งให้ไปทำโดยไม่รอฟังคำถาม “นางคือพระชายาต้าชวี่ขอรับ” เขาเองก็แปลกใจไม่น้อยที่รู้ว่าสตรีงามปานล่มเมืองคนนั้น เป็นคนเดียวกับสตรีรูปร่างอ้วนใหญ่ที่ได้แต่งงานกับเจ้านายของตน “เฟิ่งต้าชวี่พระชายาของข้าคนนั้นหรือ!” น้ำเสียงมั่นคงดุดันเจือความแปลกใจชัดเจน “เจ้าแน่ใจหรือ” ถึงแม้จะมั่นใจในตัวรองแม่ทัพคนนี้แต่เขาก็ยังถาม “แน่ใจขอรับท่านอ๋อง ข้าแอบเข้าไปในจวนของใต้เท้าเฟิ่งแล้วยังแอบตามไปที่ร้านเถ้าแก่เต้าด้วยขอรับ” ร้านเถ้าแก่เต้าถ้าจะพูดให้ถูกต้องแล้วก็คือร้านอาหารที่อ๋องใหญ่เป็นเจ้าของนั่นเอง แต่ก็ปกปิดเป็นความลับเอาไว้ ส่วนสาเหตุที่ต้องปิดเป็นความลับก็เพราะต้องการให้ร้านแห่งนี้เป็นแหล่งข่าวที่ยังไม่ได้กรองจากทุกสารทิศนั่นเอง เพราะจุดประสงค์นี้เขาจึงเปิดให้บริการในราคาที่ถูกแสนถูกจนคนระดับยาจกก็ยังมานั่งกินได้ ความรู้สึกอย่างหนึ่งวิ่งชนเข้าที่หน้าอกข้างซ้ายของอ๋องใหญ่เกาหรงซานอย่างแรง เมื่อรู้ว่าหญิงสาวนางนั้นคือพระชายาที่เขาไม่ต้องการ มิน่าเล่าถึงรู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน อย่างน้อยก็ยังยืนยันได้ว่าความจำของเขายังดีอยู่ เพราะเขาเคยเจอนางครั้งหนึ่งในวังหลวง วันที่เขาถูกราชโองการบังคับให้แต่งงานกับนางนั่นเอง ตอนนั้นใบหน้าของนางกลมแป้นอย่างกับซาลาเปานึ่งสุก รูปร่างที่สูงใหญ่กว่าสตรีทั่วไปเต็มไปด้วยเนื้อหนังส่วนเกิน เรียกได้ว่าทั้งใหญ่ทั้งอ้วน แถมยังดูเซ่อๆ โง่ๆ ไร้แววฉลาดเฉลียว เวลานางกระมิดกระเมี้ยนด้วยความเขินอายช่างคล้ายกับแป๊ะยิ้มในวรรณกรรมเรื่องแปดเซียนไม่มีผิด เวลานั้นเขาโกรธน้องชายที่เป็นฮ่องเต้จนควันออกหู เมื่อมีกำหนดวันแต่งงานลงมาจากเบื้องบน เขาจึงแก้แค้นด้วยการออกเดินทางไปปราบกบฏที่ชายแดนทางใต้ตั้งแต่วันแรกที่ต้องเข้าหอ และทิ้งหนังสือหย่าหยามน้ำใจนางไว้อีกหนึ่งแผ่น แต่เวลานี้เขากลับรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เมื่อรู้ว่านางพิมพ์นิ้วมือลงบนหนังสือหย่าเรียบร้อยแล้ว เขายอมรับอย่างไม่อายว่ากำลังหลงรักพระชายาของตนเอง นางสวยหยาดเยิ้ม นางรูปร่างดีขึ้น แต่ก็ไม่พอที่จะทำให้เขารักได้ สิ่งที่ทำให้เขาหลงรักนางก็คือนิสัยที่เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคนจากเดิมต่างหาก นางกล้าทำเป็นไม่รู้จักเขา พูดจาฉะฉาน ฉลาดทันคน และยังรู้จักยั่วยวนด้วยท่าทางที่ชวนให้ใจสั่น สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้เขาหลงรักนาง “นางไปกับใคร” “นางไปกับครอบครัวขอรับ” “เจ้าไปได้แล้ว พักผ่อนให้เต็มที่พรุ่งนี้เราจะเดินทางกันแต่เช้า” “ขอรับท่านอ๋อง ข้าขอลา” จวงเล่ยลุกขึ้นแล้วโค้งคำนับก่อนเดินออกไป แม่ทัพผู้เกรียงไกรอ๋องใหญ่เกาหรงซานยกถ้วยชาขึ้นมาจิบให้ความชุ่มชื้นแก่ลำคอ หลังจากนั้นจึงเดินออกไปจากห้อง ใช้วิชาตัวเบาเร้นกายหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็มาแฝงกายอยู่ในจวนของพ่อตา ใช้วิชาตัวเบาพลิ้วกายไปมาในจวนอันกว้างใหญ่จนพบกับเป้าหมายที่สวนหย่อม “หนาวจังเลยพี่อู๋ซื่อ” เฟิ่งต้าชวี่กอดอกให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย “เจ้าหนาวหรือ” เห็นน้องสาวพยักหน้ารับก็รีบถอดเสื้อคลุมขนห่านป่าออกจากกายเพื่อจะห่มให้อีกชั้น “ไม่ต้องหรอก ข้ารู้ว่าท่านก็หนาวเหมือนกัน” นางรีบร้องห้ามชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงโปร่งค่อนข้างบอบบาง “แต่ข้าทนหนาวได้ดีกว่าเจ้า” เขาดึงเสื้อคลุมออกจากตัว “ถ้าอย่างนั้นเราก็มาห่มด้วยกันดีกว่า” แล้วเธอก็ขยับเข้าไปโอบกอดเขาไว้แน่น “ทีนี้เราก็ห่มด้วยกันได้แล้ว” “เจ้าอ้อนเก่งขึ้นรู้ตัวไหม” หงอู๋ซื่อผูกผ้าคลุมเข้าที่เดิมแล้วกางผ้าคลุมตัวให้นางพร้อมกับโอบให้ความอบอุ่น “เพราะต้าชวี่รักท่านมากนี่เจ้าคะ” ถึงแม้ภพนี้เขาจะเป็นแค่พี่ชายบุญธรรมแต่จากภพที่จากมาเขาคือพี่ชายแท้ๆ ของนาง นางจึงรักเขาได้อย่างสนิทใจ “ข้าก็รักเจ้ามากเช่นกัน ต่อไปนี้เจ้าต้องรักข้าคนเดียวเท่านั้น ข้าไม่อนุญาตให้เจ้ารักชายใดได้อีกแล้ว” อู๋ซื่อหยอกเย้าน้องสาว ไม่รู้เลยว่าคำพูดของตนบันดาลโทสะใครคนหนึ่งที่แอบดูอยู่บนต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ นั่น ถึงขนาดกระแทกฝ่ามือใส่กิ่งไม้เพื่อระบายโทสะ “กรี๊ดดดด...” เสียงกลั้วหัวเราะเปลี่ยนเป็นกรีดร้องด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ดีๆ กิ่งไม้ขนาดใหญ่กิ่งหนึ่งก็หักโค่นลงมาอย่างรวดเร็ว “เกิดอะไรขึ้นพี่อู๋ซื่อ อยู่ดีๆ ทำไมกิ่งไม้ถึงหักลงมาได้ล่ะ” “ข้าก็ไม่รู้ รีบเข้าจวนกันดีกว่า” บัณฑิตหนุ่มผู้ไม่รู้เรื่องบู๊รู้สึกแปลกๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงรีบชวนน้องสาวกลับเข้าไปด้านในเพื่อความปลอดภัย คนที่หักกิ่งไม้ใหญ่ไปหนึ่งกิ่งออกจากที่ซ่อน มองตามแผ่นหลังบอบบางที่ถูกโอบด้วยแขนแห้งๆ แขนหนึ่งด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “อีกไม่เกินหกเดือนข้าจะมารับเจ้าคืน ระหว่างนี้ข้าจะให้เวลาเจ้ามีความสุขอยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกันพระชายาของข้า” เขาฝากคำพูดไปกับสายลมอันหนาวเย็นแล้วพลิ้วกายหายไป “มีอะไรหรือ” อู๋ซื่อถามน้องสาวที่หยุดเดินกะทันหัน “ข้าได้ยินเหมือนเสียงคนพูดเลยท่านพี่” “เจ้าหูฝาดแล้ว ไม่มีใครอยู่แถวนี้หรอกนอกจากเราสองคน” “ข้าคงหูแว่วไปเอง สงสัยจะเป็นเสียงลมมากกว่า” เมื่อมั่นใจว่าเป็นดังนั้นจึงก้าวเท้าเดินต่อ แต่ขนกายของเธอกลับลุกชันด้วยความกลัวอย่างไร้เหตุผล
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD