อีกด้าน
“ห่าอะไรวะเนี่ย อีเจ๊แม่งเป็นเจ้ามือทีไรกูถูกแดกทุกที” เสียงหนึ่งในวงเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสียพร้อมทิ้งไพ่ในมือลง ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ที่เริ่มหัวเสียเช่นกันเพราะถูกเจ้ามือกินเรียบ เล่นตั้งแต่เช้ายันเย็นก็ยังไม่ดีขึ้น มีแต่ควักตังออกจากกระเป๋าจนจะหมดอยู่แล้ว บางคนถึงขั้นฉีกกระเป๋าหาเงินก็ไม่มีเหลือ
“ของแบบนี้จะมาโทษฉันได้ไงพี่หมอน พี่ดวงไม่ดีเองช่วยไม่ได้” มือบางกวาดเงินที่วางอยู่ต่อหน้ามาไว้ในผ้าถุงสีแดงแจ๊ดแจ๋ไม่ต่างจากสีเสื้อ ปากกระจับยิ้มน้อย ๆ อย่างสุขใจ ดูท่าวันนี้จะหมานเฮงรวยปัง ชาบูหมูกระทะต้องเข้าแล้วล่ะงานนี้
“มึงอย่าปากดีอีเจ๊ มึงนั่นแหละดวงแข็งเกินไป” สมรยังบ่นหัวเสีย แต่ก็ควักตังออกมาจากกระเป๋าเหมือนเดิม ตาไม่วายหรี่มองหน้าเจเจ้เจ๊ใหญ่แห่งซอยผีผ่านอย่างจับผิด
“มึงไม่ได้โกงพวกกูหรอกใช่ไหม” เพียงเท่านั้นทั้งวงก็หันมามองเจเจ้เป็นตาเดียว ส่งความกดดันช่วยกันอย่างชัดเจน แต่คนเป็นเจ้ามือก็ยังไหวไหล่ทำหน้าไม่ยี่หระไม่รู้ไม่ชี้
“ฉันจะโกงพวกพี่ยังไงถามหน่อย นั่งล้อมหน้าล้อมหลังแบบนี้เอาอะไรมาโกงได้” คนไม่โกงทำหน้าจริงจังส่งไปให้คนในวงได้เห็น ก่อนจะตั้งท่าลุกขึ้นยืนแสดงละครอย่างแนบเนียน
“ถ้าพวกพี่คิดว่าฉันโกงก็พอแค่นี้ก็ได้ ฉันจะได้ไปขายก๋วยเตี๋ยวต่อ”
“เห้ย ๆ ไม่โกงก็ไม่โกงสิวะ ไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนั้นเลย” อีกคนจับให้เจเจ้นั่งลงที่เดิม “ได้แล้วจะชิ่งเหรอมึง เล่นต่อ!”
“ก็แค่นั้น” เจเจ้นั่งลงเหมือนเดิมพร้อมหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาสับอย่างชำนาญด้วยลีลาระดับเทพ เสียงสับดังก้องไปทั่วทั้งห้องก่อนที่ใบต่าง ๆ จะแจกจ่ายไปทั่วทิศทางภายในวง แต่ยังไม่ทันได้มีใครได้จับเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นซะก่อน
“อีเจ๊ซวยแล้วโว้ยยยยยย!!!!! พ่อมึงมา! ตำรวจมา!!!!”
“ตำรวจมา!!!!!” ทั้งวงร้องขึ้นพร้อมกันก่อนที่จะแตกซะไปคนละทาง ด้วยความที่เจเจ้นั่งอยู่ข้างในสุดจึงยากต่อการลุกหนี ดวงตากลมโตมองหาทางหนีทีไล่ในขณะที่มือยังกอบกำเก็บเงินที่ได้จากวันนี้ใส่ถุงมัดใส่ผ้าซิ่นไว้แน่น แล้วรีบเผ่นไม่ต่างกัน
ปี๊ดๆๆๆๆๆๆๆ
“เห้ย ๆ อย่าหนีนะเห้ย!”
ปี๊ดๆๆๆๆๆๆๆ
“อยู่ให้โง่เหรอค๊า” เจ้ามือวงไพ่กระโดดออกทางหน้าต่างเมื่อหน้าบ้านเต็มไปด้วยตำรวจ กะว่าจะวิ่งไปอีกทางแต่เห็นร่างสูงใหญ่กำลังตรงมาทางนี้ก็ทำให้เธอเลือกทางใหม่ มือถลกผ้าถุงขึ้นสูงเผยให้เห็นกางเกงวอร์มอยู่ข้างใน ถอยหลังเล็กน้อยแล้ววิ่งร้อยเมตรกระโดดสูงข้ามลวดหนามท่ามกลางตาคมที่มองอย่างอึ้ง ๆ เพราะไม่เคยเห็นผู้หญิงทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้งในชีวิต
พร้อมสมองกลั่นออกมาว่า… นาตาชาโรมานอฟปลอมตัวมาหรือไงวะ!
แต่ถึงอย่างนั้นผู้กองหนุ่มก็วิ่งตามอยู่ดี เพราะความชำนาญในภาคสนามทำให้เขาทำอะไรอย่างกระฉับกระเฉงว่องไว ขนาดเจเจ้ที่คิดว่าตัวเองวิ่งมาไกลแล้วยังหนีไม่พ้น ขาเพรียววิ่งสับร้อยเมตรท่ามกลางเสียงหมาเห่าตามเป็นสาย รองเท้าที่ใส่เริ่มปริขาด ดวงตากลมโตเหลือบมองข้างหลังเมื่อเห็นตำรวจวิ่งตามมาก็รีบจ้ำเท้าให้ไวกว่าเดิม ก่อนจะสะบัดรองเท้าเจ้าปัญหาทิ้งไป
“ตามมาทำไมวะ!” ปากกระจับแหกร้องลั่นซอย “เล่นได้แค่สามร้อยก็ยังจะจับเนาะ!”
“ไม่อยากโดนจับก็หยุด!”
“ไม่หยุดโว๊ย!!!! อยากจับก็วิ่งตามให้ทันเด่คุณตำรวจ!” ร้องใส่เท่านั้นคนที่ชำนาญทางก็วิ่งเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีบ้านผู้คน ซึ่งแน่นอนว่ามันลำบากคนที่ไม่รู้เส้นทางอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีความได้เปรียบเพราะดนุวัศถูกฝึกฝนมา แถมขาก็ยังยาวกว่า วิ่งก้าวครั้งหนึ่งได้สองก้าวของเจเจ้ก็ว่าได้
พร้อมกันนั้นเพียงเสี้ยววิแผ่นหลังบอบบางก็หายไปจากสายตา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยพลางตากวาดมองไปรอบบริเวณ ก่อนจะหยุดอยู่ตรงชายผ้าถุงที่หลุดรอดออกมาจากซอกบ้านหลังหนึ่งให้เห็น เห็นเช่นนั้นก็เดินอ้อมไปอีกทางทันที
ทางด้านเจเจ้ก็ไม่ได้รู้เลยว่าคุณตำรวจได้ทำการแผนซ้อนแผน ใบหน้าสวยชะเง้อออกมองในขณะที่มือกำเงินที่มัดในผ้าถุงช่วงเอวไม่ห่าง ดวงตากลมโตพิจารณามองช้า ๆ ก็เห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้ว ปากเล็กยกยิ้มเหมือนได้รับชัยชนะแล้วลุกขึ้นยืน ปากไม่วายเอ่ยออกมาอย่างได้ใจ
“โถ้เอ๊ย! นึกว่าจะแน่!”
“แน่อยู่แล้ว”
“เห้ย!!!!!” คนตัวเล็กสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มอยู่ข้างหลัง ตาเบิกกว้างอย่างตกใจพลางขากำลังจะสับวิ่งก้าว แต่ช้าไปเสียแล้วเพราะดนุวัศคว้าตัวเธอไว้ทันไม่เหลือจังหวะที่จะหนี เพียงเสี้ยววิกุญแจมือก็ถูกคล้องในแขนเรียวหนึ่งข้างทันที
“ตามทันแล้วยังไงต่อ” คิ้วเข้มยกขึ้นกวนประสาท ปากระบายยิ้มเย้ยหยันใส่คนตัวเล็กที่กำลังมองเขาอย่างแตกตื่นตกใจ “เข้าคุกดีไหม?”
“คุณตำรวจจับฉันทำไม ฉันทำอะไรผิดหรือไง!” แม้จะกลัวเพราะนี่คือครั้งแรกที่ถูกตำรวจจับ แต่คนปากดีก็ยังปากดีอยู่วันยังค่ำ ใบหน้าสวยเชิดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “จับข้อหาอะไรมิทราบค้าคุณตำรวจ!”
“แล้วทำผิดอะไรล่ะคุณผู้หญิง” ปากว่าส่วนมือก็จับแขนอีกข้างของเจเจ้มาใส่กุญแจรวมกัน “คงไม่จับเพราะพิศวาสหรอกมั้ง”
“ใครจะรู้ คุณตำรวจอาจจะจับเพราะพิศวาสฉันก็ได้” ใบหน้าสวยยังเชิดขึ้นเหมือนเคย “เห็นแบบนี้ฉันก็สวยนะ หนุ่ม ๆ จีบตรึม”
“เว้นผมไว้คนนึงก็แล้วกัน”
“เห๊อะ! ตัวเองหล่อตายแหละ” เจเจ้เบ้ปากไม่มีความพิศวาสอีกฝ่ายเช่นกันแม้จะหล่อมากก็ตาม “แล้วตกลงจับข้อหาอะไรมิทราบคะ?”
“ต้องให้พูด?” ดนุวัศว่าพลางดึงปมผ้าถุงที่ถูกมัดเป็นก้อนกลม ๆ ออกโดยที่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว เพียงเท่านั้นถุงเงินก็ร่วงลงพื้นทันที “หลักฐานคาตา”
คนที่เพิ่งทำผิดมากลืนน้ำลายลงคอ สมองคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ตากลอกไปมาใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง
“ที่จริงไม่กี่บาทไม่เห็นต้องจับกันเลยนี่จ๊ะ” เมื่อคิดออกก็พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ทำตาปริบ ๆ ส่งไปให้คุณตำรวจที่อยู่ในชุดเต็มเครื่องแบบราวกับมาจับมนุษย์ต่างดาว
“ได้หนึ่งบาทก็จับ”
“โถ่… คุณตำรวจขา” ดวงตากลมโตกระพริบปิ๊ง ๆ ส่งไปถี่รัว “นะจ๊ะ อย่าจับเลยนะ”
“ถ้าไม่อยากโดนจับก็อย่าเล่นอีก” ฝ่ามือหนาจับแขนเรียวดันให้เธอออกเดิน เจเจ้อิดออดไม่ยอมเดินแต่ก็ต้องทำเพราะแรงของอีกฝ่ายมากกว่า เหมือนช้างกำลังลากกิ่งไม้เล็ก ๆ อย่างไรอย่างนั้น
“เหอะ! พวกทำผิดกฎหมายหนัก ๆ ไม่เห็นไปจับ กับอีแค่วงไพ่เล่นได้ไม่กี่ร้อยดันจับเป็นจริงเป็นจัง”
“…”
“หรือจับได้แค่ลูกตาสีตาสาค๊า!”
“เดี๋ยวจะโดนอีกกระทงข้อหาหมิ่นประมาทเจ้าหน้าที่” ใบหน้าคมคายก้มไปใกล้แต่ไม่มาก คิ้วยกขึ้นน้อย ๆ “อยากโดน?”
“เห๊อะ!”
“เดิน”
สุดท้ายแล้วเจเจ้ก็ถูกคุมตัวกลับไปที่รถปฏิบัติการอย่างเลี่ยงไม่ได้ โชคร้ายไปมากกว่านั้นคือเพื่อนร่วมวงไม่มีใครโดนจับเลย นอกจากเธอคนเดียว