“บาส มึงหาเด็กสักคนที่ไว้ใจได้ ขับรถเป็นให้กูได้ไหม ออ แบบไม่เมาด้วย”
ลืมบอกว่าตอนนี้เราอยู่ห้องวีไอพีของผับที่พี่ชายของไอ้บาสเป็นเจ้าของ เป็นแหล่งที่พวกผมมักจะนัดรวมตัวกันประจำ
“มึงอย่าบอกนะว่าจะพาสาวไปที่ห้อง แมงมุมอยู่ห้องไม่ใช่เหรอ” ไอ้บาสดักคออย่างรู้ทัน
“เออ กูเพิ่งนึกได้ว่าทำแบบนี้แมงมุมอาจจะโมโหแล้วย้ายออกจากห้องกูเลย”
ไอ้บาสกับไอ้ฟอนต์ส่ายหน้า แต่ผมก็พอจะจำเด็กในร้านมันได้ ออ ที่เรียกว่าเด็กจริงๆ ก็อายุมากกว่าผมนะ
ไอ้บาสไม่คิดจะขยับตัว ผมก็เลยลุกไปบอกเด็กหน้าห้องให้ตามผู้หญิงคนหนึ่งให้ จากนั้นก็กลับมานั่งดื่มต่อ
“มึงเอางี้จริงดิ”
“อืม กูว่าน่าจะเห็นผลไวกว่าจะให้พวกมึงไปจีบแมงมุม”
“ทำแบบนี้คือเปลี่ยนใจไม่อยากให้แมงมุมไปมีแฟนในเร็วๆ นี้ว่างั้น” ไอ้ฟอนต์ดักคอ ไม่คิดว่าตัวเองจะพลาดให้มันย้อนเอาได้ แต่ผมก็ไหวไหล่เหมือนไม่สะทกสะท้านอะไร
“อันนั้นมันเรื่องของเขา จะไปมีแฟนตอนไหนไม่เกี่ยวกับกู แต่เอาให้ไวที่สุดตอนนี้ให้เขาทนกูไม่ได้น่าจะไวกว่า”
“อ้าว แล้วทำไมแมงมุมจะทนมึงไม่ได้วะ ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ มึงไม่ชอบเขา เขาไม่ชอบมึง” ไอ้บาสถามแบบหน้าโง่ๆ ที่ไม่รู้ว่าสงสัยจริงๆ หรือกวนผมกันแน่...เป็นคำถามที่ทำให้ผมต้องคิดเล็กน้อย เพราะเอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้ความรู้สึกเธอ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะให้คนอื่นมารู้ด้วยอยู่ดี
“อย่างน้อยๆ ต้องมีรำคาญ มีอารมณ์ไม่พอใจบ้างแหละมั้ง ถึงจะไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ แต่แม่กูก็แปะคำว่าคู่หมั้นไว้บนหน้าผากแล้ว มันไม่น่าจะใช่เรื่องจะยอมกันง่ายๆ หรือเปล่า”
ก็เลยต้องพยายามหาเหตุผลร้อยแปด ซึ่งก็ดูไม่เข้าท่าอยู่ดี
“เออ ลองดู...แต่จริงๆ มึงลองคบกับแมงมุมดูจริงๆ น่าจะเวิร์กกว่า” แล้วก็กลับมาแซวผมอีกจนได้ อย่างว่าแหละ มันก็คิดว่าผมกับ แมงมุมเป็นมากกว่าเพื่อนมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ไอ้พวกนี้มันไม่เชื่อหรอกว่าผู้ชายกับผู้หญิงจะเป็นเพื่อนสนิทกันได้ เพิ่งจะมาเชื่อจริงๆ ก็หลังๆ มานี้เอง
แต่ผมกับแมงมุม มันรู้จักและอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ จำความได้ผมก็เห็นน้าผึ้งกับแมงมุมเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แม่มักจะเอาแมงมุมมาเลี้ยงที่บ้านเวลาน้าผึ้งต้องไปทำงานต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ เพราะเธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว
น้าผึ้งทำงานหลายอย่าง หลังๆ มาเริ่มชวนแม่ผมมาทำธุรกิจด้วย แล้วพอแกเสียตอนผมกับแมงมุมอยู่มอห้า แม่ก็ดูแลธุรกิจพวกนั้นต่อ แบบที่แม่ชอบอ้างนั่นแหละว่าน้าผึ้งมีบุญคุณกับครอบครัวเรา...แน่นอนว่าแม่ก็ต้องดูแลแมงมุมแทนน้าผึ้ง
ตอนเด็กๆ เราก็เข้ากันได้ดี แต่พอวัยรุ่นมันก็เริ่มมีความรู้สึกไม่เข้ากันบ้าง มันก็มีอารมณ์แบบเด็กๆ ที่ผมรู้สึกว่าแม่กับแมงมุมเข้ากันดีเหลือเกิน ชอบให้เธอมาวุ่นวายกับชีวิตผมจนน่ารำคาญบ้าง แต่เราดีกันบ้างตีกันบ้างไปตามเรื่องราว
จนถึงช่วงหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าผมไม่มีความจำเป็นต้องสนิทสนมกับแมงมุมขนาดนั้น...ก็ช่วงที่ผมรู้สึกชอบพี่พลอยนั่นแหละ
ไม่คิดเลยว่าตอนนี้เราจะสนิทกันกว่าที่ผ่านๆ มาเสียอีก แบบย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันเลย ซึ่งผมไม่อยากให้มันยืดเยื้อ...ยังไงผมก็ไม่คิดว่าผมจะชอบเธอได้
เราเคยเป็นเพื่อนที่สนิทใจแม้จะตีกันบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่ามันมีกำแพงบางอย่างขึ้นในใจ รำคาญที่เธอวุ่นวายไม่เข้าเรื่อง โกรธที่เธอทำให้พี่พลอยเข้าใจผมผิดบ่อยๆ หมั่นไส้เวลาแม่พูดเรื่องบุญคุณอะไรนั่น ทุกอย่างมันน่าหงุดหงิดไปหมด และผมก็ไม่อยากคิดหาเหตุผลให้ปวดหัว แค่รู้สึกว่าไม่ต้องมาอะไรกันมากมายมันดีอยู่แล้ว
“กูเห็นด้วยกับไอ้บาสนะเบส มึงเลิกคิดเรื่องจะไปแย่งพี่พลอยเถอะ ลองคบกับแมงมุมดูอาจจะดีก็ได้”
“ดีกับผีสิ พวกมึงเลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว เรื่องกูกับแมงมุมมันไม่มีวันเป็นไปได้หรอก” ผมตอบเพื่อนด้วยความมั่นใจ แบบที่คิดว่ามั่นใจเรื่องนี้มาตลอด ตั้งแต่ที่เริ่มมองสายตาเธอออก...จนแม่มาบอกว่าให้หมั้น...ใจมันบอกว่ายังไงก็ไม่ได้ ถ้ามันจะได้มันควรได้ตั้งนานแล้วหรือเปล่า
“เบสให้คนไปตามเกลหรือเปล่าคะ”
เราจบบทสนทนาเรื่องแมงมุมลงทันทีที่ผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในห้อง แล้วเดินมานั่งเบียดข้างๆ ผม หยิบแก้วเหล้าอีกใบมาวางไว้ตรงหน้า
“ดื่มมาแล้วเหรอครับ”
“ยังๆ ทำไมเหรอ”
“งั้นอย่าเพิ่งดื่มได้ไหมครับ จะรบกวนไปส่งที่ห้อง”
“ออ ได้สิ จะให้ไปส่งทุกวันก็ได้” เจ้าตัวเกาะแขนแล้วเอนหัวซบอย่างออดอ้อน...ผมเคยดื่มกับเธออยู่บ่อยครั้ง แต่ยังไม่เคยชวนขึ้นห้อง เอาจริงๆ ผมไม่ชอบความสัมพันธ์แบบวันไนต์ไปทั่ว ถ้าถูกใจอาจจะปักหลักสักเดือนสองเดือนแบบนั้น
“แป๊บหนึ่งนะ สักสี่ทุ่ม” พวกผมออกจากมหาวิทยาลัยก็มาผับเลย นั่งมาตั้งแต่ยังไม่หนึ่งทุ่มดีนัก...กลับสี่ทุ่มก็ไม่ถือว่าเร็วเกินไปหรอกใช่ไหม
แต่ละเรื่องที่คิดได้นะเบส คนดีๆ เขาไม่น่าคิดได้ ถถถ