ช่วงเวลานี้นี่...เกิดอุบัติเหตุ

2557 Words
หลายวันกับการหายตัวไปของเขา เหลือเพียงข้อความที่ติดต่ออยู่ไม่ขาดสาย ซีนีนไม่ได้ตอบตกลงชี้ชัดความกระจ่างกับคำถามในตอนนั้น แต่เธอยังตอบข้อความของเขาอยู่ตลอด จนกระทั่งเขากลับมา เธอออกมาส่งเขาที่มีเจตนาแค่แวะมาหาแล้วจะไปทำงานต่อ เป็นจังหวะเดียวกับช่วงลูกค้าว่างพอดี “ตกลงเราเป็นแฟนกันแล้วใช่ไหมคะ” ทันทีที่ขึ้นไปนั่งข้างคนขับ เขาก็หันมาถาม พร้อมรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย “แล้วคิดว่าไงคะ” หญิงสาวย้อนกลับ “เอาจริงมันง่ายขนาดนั้นเลย?” “แล้วเราจะทำให้เป็นเรื่องยากไปทำไมละคะ” เธอมองใบหน้านั้น ใบหน้าที่หล่อเหลาสะอาดสะอ้าน ไร้แม้แต่ขี้แมลงวัน หรือไฝเม็ดเล็กๆ เหลือบมองไปยังคิ้วที่หนาเข้ม เส้นขนเรียงฟู ราวกับจงใจสร้างขึ้นมาให้เข้ากับเบ้าตาคู่คมกริบ มองดวงตาที่มีขนตาเรียงเป็นแพ มองเลยลงมายังจมูกรูปทรงสวยเด่น โด่งคมสันแบบพอดีๆ เหมาะกับเบ้าหน้าฟ้าประทานทั้งหน้า สุดท้ายเธอลากสายตาลงมายังริมฝีปากที่ไม่ได้บางเฉียบ แต่ก็เป็นกระจับอมชมพูดูสุขภาพดี เขาดูดีซะจนเธอดูต่ำต้อย และวิตกกังวลไปถึงอนาคตว่าอาจจะต้องอกหัก ด้วยมือที่สามโฉบไปสักวัน แต่แล้ว ระบบความคิดกับหัวใจในนาทีนี้ เหมือนจะสวนทางกันโดยสิ้นเชิง สาวเจ้าก้มหน้าลง เผลอทำหน้าเศร้า ความจริงคือ เธอชอบเขาเข้าแล้ว แล้วก็มากด้วย “เราจะเลิกกันในสักวันไหมคะ” “คะ?” “หนูจะเจ็บปวดกับรักครั้งนี้ไหม” “ทำไมหนูถามแบบนี้” “พี่จะทิ้งหนูไหมคะ” “นีร..” วรุตเอียงคอมองหน้าสาวเจ้าอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็เลือกที่จะยิ้มให้ พร้อมหยิบมือบางขึ้นมากุมแล้วบีบแน่น “ทำไมต้องกังวลไปก่อน พี่เชื่อว่าเราจะอยู่ด้วยกันได้ ตราบใดที่หนูไม่เหมือนภรรยาเก่าพี่ มันจะไม่มีวันนั้น ไม่มีเกิดขึ้นหรอกค่ะ” “ภรรยาเก่าพี่? หมายถึง จะเอาหนูไปแทนที่เขาเหรอคะ” “ไม่ใช่อย่างนั้น” “ไม่มีใครแทนที่ใครได้หรอกนะ” “พี่รู้ ฟังก่อนดิ..” ดวงตาคู่นั้นที่เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์อยู่แล้ว พอเหลือบมองเธอเสมือนต้องการหยุดความคิดไปเองที่กำลังจะเลยเถิดไปไกลก็ยิ่งมีเสน่ห์เข้าไปใหญ่ “ถ้าไม่เป็นแบบนั้น เราจะไม่มีทางทะเลาะกัน จุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกอย่างต้องพังลงระหว่างพี่กับภรรยาเก่าคือสิ่งนี้ค่ะ” ทันทีที่เขาใช้โทนเสียงเข้มขึ้น ซีนีนก็ชะงักงันไป ความมั่นใจเพิ่มพูน ความรู้สึกสับสนในตอนแรกมลายหายสิ้น ประหนึ่งมีมือเขายื่นมาหยิบมันออก เธอไม่ใช่คนงี่เง่า และไม่ใช่คนที่จะคิดเล็กคิดน้อยอะไรด้วย ความเป็นจริงคือมันท้าทาย หากเขาใช้แค่เรื่องนี้วัดคนสองคน เธอคิดว่าเธอชนะ จึงยิ้มกว้างกลับคืนให้ แล้วพยักหน้าลง “ถ้างั้นก็..โอเคค่ะ” “โอเคนี่คือ..” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง “เราเป็นแฟนกันแล้วใช่มะ..” ก่อนค่อยๆคลี่ยิ้มกว้าง หลังเธอทำท่าเขินอาย “งี้พี่กอดได้แล้วสิ?” และเขินอายเข้าไปอีก ตอนเขาโน้มตัวเข้ามา เธอใช้ฝ่ามือดันแผงอกเขาไว้ ขณะมองออกไปนอกรถ “คนเห็น” “ไม่เห็นหรอกค่ะ ติดฟิล์มออกจะหนา” คนไม่เชื่อฟังยังไงก็ไม่ทำตาม วรุตมีความปรารถนาที่จะกอดหญิงสาวอย่างสุดล้น บวกกับกำแพงของเธอที่ไม่ได้สูงมากนักตั้งแต่แรกพังทะลายลง ทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างแยบยล เพียงแต่วรุตไม่มีทางรู้ว่าอ้อมกอดนี้ที่เธอได้ ได้แสดงประสิทธิภาพเกินกว่าที่ควรจะเป็นแล้ว เหตุเพราะซีนีนเป็นผู้หญิงที่ขาดความรักและความอบอุ่นตั้งแต่เด็ก อ้อมกอดที่เกิดจากความเต็มใจระหว่างคนสองคน จึงง่ายดายต่อการเติมเต็ม ความรู้สึกในห้วงนาทีของซีนีนคงจะตราตรึงอยู่ในก้อนเนื้อที่แข็งแกร่งตรงอกข้างซ้าย และเป็นภาพจำในสมองส่วนดี ถึงขนาดสามารถลบล้างความโดดเดี่ยวที่มีผ่านมาได้ “เป็นแฟนพี่แล้ว หนูอย่าดื้อนะคะ” ไหนจะประโยคทิ้งท้ายนี้อีก “สรุปเลือกคนนี้?” เสียงถามจากคนนั่งตรงข้าม ซีนีนที่กำลังใช้ส้อมจิ้มขนมปังชุบไข่ชะงักกึก ช้อนตามองเบสขณะจ้องเขม็ง แล้วยิ้มมุมปาก วางช้อนในมือ เปลี่ยนเป็นดูดชามะนาวหวานน้อยจากแก้วข้างกันแทน ไม่คิดว่าการตอบคำถามง่ายๆ จะกระอักกระอ่วนใจขนาดนี้ “อืม” “คิดดีแล้วเหรอ เร็วไปปะ” คิ้วที่ไม่ได้ผ่านการแต่งแต้มด้วยดินสอ แต่ก็เข้มพอให้มองเห็น ขมวดเข้าหากันอย่างลืมตัว คนตรงหน้ามีสิทธิ์ที่จะพูด? “ก็ไม่นะ” “นีร เขาเพิ่งจะหย่ากับเมีย แถมมีลูกติดที่ยังเล็กมาก เขาอาจจะใช้แกเป็น..” “รู้” “แล้ว?” “มันไม่ทุกคนปะวะ” ดวงตาหญิงสาวแปรเปลี่ยนเป็นคมเข้มทันที “มันยังไม่เกิดอะ ถึงขนาดต้องสบประมาทกันเลย?” ซีนีนเองก็รู้ ตนนั้นใช้ลักษณะท่าทางและคำพูดที่แรงไป แต่คนตรงหน้าเองที่เป็นฝ่ายพูดไม่เข้าหู จึงกลายเป็นแบบนี้ “เออ ก็แล้วแต่แก” บรรยากาศหลังจากนั้นเริ่มเปลี่ยน ต่างฝ่ายต่างเอาแต่ก้มหน้าก้มตากิน ใช้เวลานานหลายอึดใจ ถึงจะเปลี่ยนเรื่องคุยใหม่ เป็นเรื่องที่ชอบและอยากทำร่วมกันในอนาคต “มีคาเฟ่เปิดใหม่ แกหยุดวันไหน” “เสาร์ไง” “มีเลิกเร็วสักวันปะ” “มี แต่ต้องไปรีดผ้า” ทันทีที่เธอพูดจบ เบสถึงกับมองบน “สรุปออกนอกลู่ได้แค่วันเสาร์? งั้นเสาร์นี้ปะ” “ถ้าไม่ไปหาลูกอะนะ” เบสเกลือกตามองบนอีกครั้ง ทว่าซีนีนกลับเห็นเป็นหน้าตลก จังหวะเหลือบมาเห็นเธอหลุดหัวเราะ “งั้นก็แล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิตละกัน” “ไปศาลเจ้าดีกว่า รู้สึกอยากทำบุญ” ซีนีนลองเปลี่ยนสถานที่และเป็นฝ่ายชวนบ้าง เบสเงียบไปอึดใจ ก่อนจะพยักหน้า “ก็ได้นะแก” “สรุปก็แค่อยากเที่ยว อยากผลาญสรรพยากร?” “โอโห ศัพท์แรงเว่อร์” หญิงสาวเบ้ปากมองเบสล้อเลียน จังหวะใช้หลอดคนน้ำแข็งในแก้ว ก่อนใช้ปลายหลอดเกี่ยวขึ้นมาใส่ปาก “วันเสาร์นะ ถ้าเป็นไปได้” “เป็นไปได้แหละ ถ้าแกไม่เอามันไปใช้กับผู้ชาย” “คงไม่..” หัวคิ้วของเธอหย่อนเข้าหากันอีกครั้ง “เขาคงไปหาลูกของเขา ส่วนฉันเองก็ไปหาลูกเหมือนกัน” พร้อมกับการเงียบไปของอีกฝ่าย วันเสาร์ การตื่นแบบอิสระที่มีเพียงครั้งเดียวในหนึ่งอาทิตย์ สาวเจ้าจะใช้วันเสาร์เป็นการจัดการทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการซักผ้า เก็บบ้าน หรือเรียบเรียงงานนิยาย เมื่อเสร็จทุกอย่างจึงจะเดินทางกลับบ้าน โดยใช้จักรยานยนต์คู่ใจในเวลาจวนบ่าย “โน่นไง แม่มาแล้ว” “แม่หวัดดีค่ะ” ทันทีทีเธอเดินเข้าบ้าน สิ่งแรกที่จะต้องเห็นคือแม่กับลูก แม่ของเธอเป็นแม่ค้าขายข้าว ขนม และของกินเล่น ทั้งสามอย่างแบ่งขายเป็นช่วงเวลา แต่ทั้งวัน โดยใช้หน้าบ้านที่ติดกับถนนตรอกซอยเป็นที่ตั้งขาย ความโชคดีของทำเลนี้ อยู่ที่ตรงข้ามกันเป็นรั้วมหาลัย ลูกค้าจึงมีอยู่ต่อเนื่อง รวมถึงขาจร แต่เห็นเป็นเช่นนั้นรายได้ก็ใช่ว่าจะพอ เมื่อครอบครัวของเธอมีหนี้เยอะ รายได้พอกิน แต่ไม่พอใช้ “ทำไมวันนี้แม่มาช้าจัง” เสียงห้าวแหบของเด็กกำลังจะแตกหนุ่มถาม หลังเดินเข้ามาหา ทันทีที่เจอทั้งคู่จะสวมกอดกันทุกครั้ง “วันนี้ตื่นสายค่ะ งานบ้านก็เยอะกว่าทุกวัน” “ครับ” “น้องกินข้าวรึยัง” “ยังครับ” “งั้นไปกินข้าวกัน ร้านไหนดี” “ใกล้ๆนี่ก็ได้ครับ” ซีนีนละสายตาจากลูกชายไปยังแม่ตัวเอง พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “แม่กินรึยัง” “ไปกันเถอะๆ” “งั้นเอาอะไรไหม จะซื้อใส่กล่องมา” “อะไรก็ได้เอามาเหอะ” จากนั้นจึงพยักหน้า เดินกอดคอลูกชายออกไป ร้านอาหารใกล้บ้าน และเพราะใกล้มหาลัยด้วยรอบตัวเลยเต็มไปด้วยนักศึกษา “ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้างคะ” ซีนีนเปิดบทสนทนาขณะนั่งรอข้าว อาร์มหรือวัชราส่ายหน้า นั่งตัวตรง “ดีครับ” “เพื่อนล่ะ โอเคไหม มีเพื่อนคนไหนที่ทำน้องอึดอัดบ้างไหม” “ก็..มีบ้างครับ แต่ไม่เป็นไร เราไม่ได้สนิทกันอยู่แล้ว” “อย่างนั้นเหรอ?” สาวเจ้าพยักหน้า มองดูลูก จังหวะนั้นเม้มริมฝีปาก หล่อนต่างหากที่กำลังอึดอัด ไม่ใช่เขา “น้องแน่ใจนะ” “ครับ แล้วแม่ละฮะเป็นไงบ้าง” “แม่เหรอ..” เลิกคิ้วสูง เงียบไปพักหนึ่ง ในใจครุ่นคิด จะบอกเรื่องของวรุตกับลูกดีไหม..ทว่า “ดีค่ะ ราบรื่นดี” กลับเลือกที่จะปกปิดไว้ไม่เปิดเผย เนื่องจากกลัวบรรยากาศที่ดีอยู่ในตอนนี้จะหายไป สายตาของวัชราสดใส แลดูมีความสุขมากที่ได้อยู่กับแม่ หล่อนจึงไม่กล้าพอที่จะดึงบุคคลที่สามเข้ามาในตอนนี้ และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อาหารมาเสิร์ฟพอดี ทั้งคู่จึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องเกมแทน กิจวัตรประจำวันหยุด ไม่ได้มีแค่การใช้เวลาอยู่กับลูกต่อเนื่องจนถึงห้าโมง แต่จะต้องพาแม่ไปตลาดด้วย เรียกได้ว่าทุนในการซื้อวัตถุดิบมาขายในวันพรุ่งนี้ของแม่ แม่ไม่ได้ควัก ซึ่งนั้นจะเกิดขึ้นอาทิตย์ละครั้ง และแน่นอนแม่เธอจะต้องซื้อตุน “โอเค แม่รออยู่นี่ก่อนนะ” “เอ้า ทำไม” หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถาม แต่ใช้ภาษากายแทน โดยการมองสลับกันระหว่างถุงมากมายที่หิ้วอยู่ในมือ กับหน้าของแม่ตัวเอง “หรือแม่จะเพิ่มนิ้วให้นีรก็ได้” ทันทีที่หล่อนเห็น ถึงกับหัวเราะลั่นขำลูก ส่วนนีรส่ายหน้าถอนหายใจ “หมดยัง? ไปรอที่รถแล้วนะ” “แกไปก่อนเลย เหลืออีกสองสามอย่างเดี๋ยวแม่ตามไป” “ได้ เร็วๆนะ” ทันทีที่ได้รับคำตอบ เธอก็เดินตัวปลิวหายไปเลย ทิ้งแม่ให้ยืนเท้าสะเอวพร้อมริมฝีปากขมุบขมิบตามลำพัง ส่วนเธอหลังจากเดินมาถึงรถและถ่ายของที่หิ้วอยู่ในมือไปเกี่ยวไว้ตรงคันเร่งแทนแล้ว หลังเห็นสภาพนิ้วมือก็บ่นพึมพำไม่แพ้กัน “ซื้อเอาจริง โอโห เกือบห้อเลือด” พลางส่ายหน้าเอือมระอาปนขำ ติ้ง! R: หายไปเลย อยู่ไหนคะเนี่ย ที่สำคัญนิ้วล็อคซะจนจิ้มแป้นตอบข้อความแทบไม่ได้ N : ตลาดค่ะ เธอตอบเพียงสั้นๆ ก่อนจะหย่อนโทรศัพท์ลงใส่ช่องหน้ารถ กะว่าให้ถึงบ้านก่อนจึงจะติดต่อใหม่ แต่แล้ว.. ด้วยความยุ่งที่มีมากมายในวันหยุด บวกกับเธอประสบอุบัติเหตุรถล้มระหว่างเดินทางกลับ จึงขาดการติดต่อกับเขา และยกเลิกนัดที่จะไปศาลเจ้ากับเพื่อนไปโดยอัตโนมัติ (เป็นไงบ้างนีร) “ไม่เป็นไรแม่ ถึงห้องละ” (เจ็บมากไหม) “ไม่มากแม่ ขี่รถกลับมาได้” (แล้วไม่ได้แวะหาหมอเหรอ) “ไม่อะแม่ ไม่ได้เป็นอะไรมากไง” (แล้วรถล่ะ) “ก็พังเยอะแหละ แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปซ่อม” (เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่กับพ่อไปหา ลางานแล้วใช่ไหม) “ไม่เป็นไรหรอกแม่ มันไกล รถก็ติด จะขับรถมาทำไม” (อ่าวนีรอย่าพูดแบบนี้ ทีนีรยังขี่มอเตอร์ไซค์มาหาแม่ได้) “ไม่เหมือนกัน พ่อหูตาไม่ดีแล้ว จะให้ขับรถอีก มันอันตราย นีรไม่เป็นไรจริงๆแม่ เชื่อกันหน่อยสิ” (เออๆ ไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไร แต่ต้องลางานนะ พรุ่งนี้จะได้นอนพัก ถ้าให้ดีไปเอ็กซเรย์สมองด้วย เผื่อกระทบกระเทือนตรงไหนจะได้รักษาทัน) “ทราบจ้า” (มีอะไรโทรมานะ) “จ้าแม่ แค่นี้นะ” หลังวางสายจากแม่ เธอที่เพิ่งจะถึงหอพักและกำลังสำรวจรถในตอนแรกก็ทำต่อ ใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์ มองเฟรมที่ฉีกขาดออกจากไฟท้ายอย่างช่างใจ ต้องการให้มันกลับเข้าที่ด้วยการเคาะไม่กี่ครั้ง “อ่าวนีร ทำอะไรน่ะ” เสียงสามีพี่วี เพื่อนร่วมตึก และเป็นผู้จัดการอีกสาขาถามขึ้น ขณะจะเดินขึ้นห้อง เธอละสายตาจากรถไปยังเขาแล้วยิ้มเจื่อน “รถล้มมาค่ะพี่ติน” “อ้าว แล้วเป็นไงบ้างเนี่ย ไปหาหมอรึยัง” “ยังอะ นีรไม่เป็นไร แต่รถนี่ดิ ไฟท้ายแตก เฟรมฉีกเลยอะ พี่ตินพอจะมีอะไรมาเคาะๆให้หน่อยไหม” คนมาใหม่พยักหน้า ก่อนเข้ามาเป็นกำลังเสริม ช่วยซ่อมอีกแรง “ติดสก็อตเทปไปก่อนละกันเนอะ แล้วพรุ่งนี้เอาเข้าศูนย์” “ได้ๆพี่” “โชคดีนะที่พังแค่ตรงนี้ ว่าแต่นีรไม่เป็นไรจริงนะ ไปหาหมอไหม” “ไม่เป็นไรจริงๆพี่ ล้มไม่แรงมาก” “อ่านะ แต่รถท้ายพังยับ” “แฮ่ๆ” กว่าจะเสร็จและตั้งสติตอบกลับข้อความที่ค้างคาได้ก็ปาไปเกือบห้าทุ่ม แน่นอนคนปลายสายคงหลับไปแล้ว N : พี่ หนูรถล้ม” เช้าในวันต่อมา.. 06.30น. ติ้ง! R: เจ็บมากไหมคะ 08.30น. R: หยุดงานเลยนะ 09.40น. R: ??? 10:00 น. N: ขอโทษค่ะ เพิ่งตื่น สาวเจ้าตื่นสายเพราะเป็นไข้ สาเหตุระบบจากการบาดเจ็บรถล้มเมื่อวาน เธอยังคงนอนเปื่อยอยู่บนเตียง แม้จะตื่นลืมตาขึ้นมาได้สักสิบนาทีแล้ว ติ้ง! R: ค่ะ แล้วรถล้ม ไปหาหมอรึยังคะ N: หนูไม่เป็นไรมากค่ะ R: ลางานแล้วใช่ไหม N: ใช่ค่ะ บ่ายๆว่าจะเอารถไปซ่อม เธอพิมพ์ด้วยมือข้างซ้ายที่ไม่ถนัด หลังข้อมือขวารู้สึกเจ็บ ขยับไม่ได้ “ซี๊ด..” เมื่อได้นอน แบบร่างกายไม่ได้ขยับเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ถึงจะได้รู้สึกต่อจุดที่บาดเจ็บว่ามีตรงไหนบ้าง เธอรู้สึกถึงแขนที่หนักอึ้ง หลังใช้ค้ำฟูกหวังลุกขึ้นมาจากการนอนเพื่อจะนั่งพิง “เจ็บเหมือนกันนี่หว่า หรือควรไปหาหมอ” คนในช่องแชทหายไปพักหนึ่ง เดาได้ว่าเขาอาจกำลังยุ่ง เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์ และก็จริงด้วย ติ้ง! R: กำลังจะไปหาลูกค่ะ มือซ้ายที่ถือโทรศัพท์อยู่ถึงกับชะงัก วินาทีนั้นไม่รู้ตัวเองเป็นอะไร รู้เพียงว่าอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ ซึ่งนั้นเป็นเพียงแวบแรกที่คิด ไม่นานรอยยิ้มบางๆก็ผุดขึ้น ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป N: ขับรถดีๆค่ะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD