เช้าวันต่อมา
วันนี้ บรรยากาศในห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงกรี๊ดวี๊ดว๊ายของสาว ๆ ที่พากันตื่นเต้นกับเจ้าของร่างสูงใหญ่ เบ้าหน้าฟ้าประทานที่ปกติจะเดินเข้าห้องสายจนแทบชนขาอาจารย์ วันนี้กลับมาก่อนเวลา แถมยังนั่งลงที่โต๊ะตัวเองอย่างสงบเสงี่ยม ท่าทางแตกต่างไปจากทุกวัน ราวฟ้ากับเหว
เป็นภาพที่หาดูได้ยาก ไม่ได้พูดเกินจริง!
เพราะปกติหนุ่มหล่อคนนี้ ถ้าไม่นอนฟุบหลับก็เอนกายเอกเขนกอย่างเกียจคร้าน แต่ไม่มีสักครั้งที่จะดูเหมือนตั้งใจเรียนแบบนี้และมันก็สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคนในห้องราวกับว่าโลกนี้กลับตาลปัตรไปแล้ว
สาว ๆ หลายคนพากันชะเง้อแอบมองเขาตั้งแต่ก้าวเข้ามาจนถึงตอนที่เขานั่งตัวตรงแน่ว! ไม่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ไม่นอนฟุบหลับ ไม่ทำตัวขี้เกียจแบบทุกวัน ที่สำคัญสายตาคมกริบของเขากลับจับจ้องไปที่หน้าห้องอย่างจริงจัง มือก็ถือปากกาเตรียมจดเลคเชอร์ราวกับเป็นนักศึกษาตัวอย่าง
What the Fu*K
"!!!"
ทุกคนมองเขาแทบตาถลน คิดว่าตอนนี้โลกน่าจะกำลังถล่มลงมาแน่ ๆ
ถ้าใครสังเกตดี ๆ จะเห็นว่า แม้แต่อาจารย์ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้อง ยังถึงเกือบสะดุดเท้าตัวเองเมื่อเหลือบเห็นภาพตรงหน้า ก่อนที่เขาจะจับขาแว่นตาขยับเล็กน้อย แล้วเพ่งสายตาไปยังจุดที่หนุ่มหล่อนั่ง เหมือนจะเห็นดวงตาภายใต้กรอบแว่นเบิกกว้างเล็กน้อยคล้ายจะตกใจ
เพราะอะไรน่ะเหรอ?
ก็ไม่ใช่แค่นักศึกษาในคลาสเท่านั้นที่ชินกับพฤติกรรมเข้าเรียนเพื่อเช็กชื่อของหนุ่มปลื้ม แม้แต่อาจารย์เองก็ชิน
เรียน ๆ หลับ ๆ หรือไม่ก็นั่งเล่นโทรศัพท์ นั่นแหละสไตล์ของหนุ่มหล่อเขาล่ะ
แต่วันนี้เขากลับดูตั้งใจราวกับเป็นคนละคน ถ้าไม่มีใครสังเกตอีกหน่อย คงคิดว่ามีร่างแฝดปลอมตัวมาเรียนแทนแน่ ๆ
เพราะทุกคนมักจะชินกับพฤติกรรมมาสาย นั่งหลับ กลับก่อนจารย์ ตกเย็นไปร้านเหล้า
อย่าว่าแต่เพื่อนในคลาสและอาจารย์ที่เห็นความผิดปกติ ผักกาดที่ปกติเป็นคนจดเลคเชอร์ให้เขาตลอดยังมองไปที่เขาด้วยความแปลกใจ
อะไรเข้าสิง!
เธอเหลือบมองเพื่อนด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามออกไปอย่างอดไม่ได้จริง ๆ
"วันนี้มาไม้ไหน ทำไมอยู่ ๆ ถึงขยันเรียนขึ้นมา"
ปลื้มหันมามองเธอด้วยแววตาขี้เล่น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับมุมปากก่อนจะตอบเสียงกลั้วหัวเราะ
"อะไร ก็แค่อยากเก่งแบบเธอบ้างไง"
คำพูดแค่ประโยคเดียวแต่กลับทำให้หัวใจของผักกาดเต้นผิดจังหวะ รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างห้ามไม่ได้ แล้วท่าทางแอบยิ้มกริ่มแก้มแดงของผักกาดก็ไม่รอดพ้นสายตาของธาวินกับคิงที่นั่งมองอยู่ด้านหลังทั้งสองคน
ทั้งสองแอบแปะมือใต้โต๊ะสบตากันแวบหนึ่งก่อนที่คิงจะกระซิบกับธาวินเบา ๆ "ติดกับแล้วว่ะ"
"เออ แต่หวังว่ามันจะติดกับตัวเองด้วยนะ" ธาวินตอบเสียงเรียบพลางเหลือบมองปลื้มอย่างจับผิด โดยที่ปลื้มเองก็รู้ว่าเพื่อน ๆ สังเกตตัวเองอยู่แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่ในใจนั้น...
'เดี๋ยวได้เป็นเบ๊กูแน่'
เมื่อถึงเวลาพักกลางวัน ปลื้มที่ปกติจะไปกินข้าวกับสาว ๆ หรือเพื่อนกลุ่มอื่นกลับเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผักกาด ทำเอาเธอที่กำลังก้มเก็บของต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตางง ๆ มองหาเพื่อนอีกสองคนก็ไม่เห็นแล้ว แสดงว่าพวกนั้นออกไปนานแล้ว
"ไปกินข้าวกัน"
"หืม...ไปไหนนะ" ผักกาดถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อกี้ฟังไม่ผิดใช่มั้ยนะ ปลื้มชวนเธอไปกินข้าวเนี่ยนะ
"ไปกินข้าวที่ห้างข้างมอไง " ปลื้มตอบสั้น ๆ
เธอกะพริบตาปริบ ๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตา ปกติปลื้มไม่เคยชวนเธอไปกินข้าวด้วยกันสองต่อสองเลยสักครั้ง ส่วนใหญ่เขาจะไปกับสาว ๆ หรือไม่ก็นั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อน ๆ แต่วันนี้กลับเป็นเธอที่เขามาชวน
แม้จะยังไม่เข้าใจเหตุผลของเขามากนัก แต่การที่เขาชวนเธอไปกินข้าวด้วยก็ทำเอาเธอดีใจจนเผลอยิ้มออกมาและรีบพยักหน้าตอบตกลงทันทีราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ
"ไป ๆ"
ปลื้มพาผักกาดขึ้นรถขับตรงไปยังห้าง โดยไม่มีพูดอะไรมากนัก มีเพียงเสียงเพลงที่ดังคลอเบา ๆ จากเครื่องเสียงภายในรถ แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับผักกาดแล้วเสียงเพลงก็ยังดังไม่เท่ากับเสียงหัวใจของเธอที่เต้นโครมครามอยู่ตอนนี้
เธอพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็น แค่เขาชวนไปกินข้าวเองไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่ใจเจ้ากรรมก็ดันไม่รักดี อดไม่ได้เลยที่จะลอบมองเสี้ยวหน้าคมของเขาแม้จะเห็นแค่เพียงเสี้ยวด้านข้าง แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าลมหายใจติดขัดขึ้นมาซะอย่างนั้น
มือหนาที่มีเส้นเลือดปูดโปนจับพวงมาลัยด้วยมือเดียว ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าที่เคย
โคตรกร้าวใจเลย!
ผักกาดขยับตัวเล็กน้อย ลอบกลืนน้ำลายพลางพยายามเบือนหน้าหนี หวังว่าถ้าไม่มองเขา หัวใจของเธอคงจะสงบลงได้บ้าง แต่ก็เหมือนโชคไม่เข้าข้างเพราะเสียงทุ้มของเขาที่ดังขึ้น ในขณะที่รถจอดติดไฟแดง
ดวงตาคมกริบเหลือบคนตัวเล็ก ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ
"เป็นอะไร นั่งเกร็งเชียว"
ผักกาดสะดุ้ง รีบหันไปหัวเราะกลบเกลื่อน "เปล่า ไม่มีอะไร"
ปลื้มกระตุกยิ้มมุมปากเหมือนรู้ว่าเธอเป็นอะไร "แน่ใจ?"
"แน่ใจสิ!" เธอรีบตอบ ก่อนจะหันออกไปมองนอกหน้าต่าง พยายามควบคุมตนเองไม่ให้มีพิรุธ แต่ถึงจะพยายามแค่ไหน แต่ไอ้ใบหน้าแดง ๆ ที่ปรากฏออกมาก็ไม่เล็ดลอดสายตาคมกริบของปลื้มไปได้
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่หัวเราะในลำคออย่างพอใจ ก่อนจะเร่งเครื่องเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว
เมื่อมาถึงร้านอาหารหรู ปลื้มไม่พูดพร่ำทำเพลง จูงมือผักกาดเดินตรงเข้าไปข้างในราวกับเป็นเรื่องปกติ
ซึ่งมันไม่ใช่เลย มันไม่ปกติ
ผักกาดก้มมองมือของตัวเองที่ถูกเขากอบกุมไว้แน่น ความอบอุ่นจากฝ่ามือหนาของเขาส่งผ่านเข้ามา ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น เรื่อย ๆ และเธอเองก็ไม่แม้แต่จะดึงมือกลับ
จนกระทั่งเขาพาเธอมาถึงโต๊ะและปล่อยมือเธอ ความอุ่นซ่านจางหายไปแต่รอยยิ้มของเธอยังคงมีอยู่
"วันนี้ฉันเลี้ยงเอง" เขาพูดขึ้นขณะเปิดเมนูอาหาร ผักกาดเงยหน้ามองเขาอย่างแปลกใจ แล้วถามขึ้น
"เลี้ยงทำไมอ่ะ?"
ปลื้มละสายตาจากตัวหนังสือในมือ เขาสบตาเธอแล้วตอบด้วยน้ำเสียงนุ่ม ดวงตาพราวระยับ "ก็อยากตอบแทนที่เธอทำอะไรดี ๆ ให้ฉันมาตลอดไง"
แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ผักกาดใจฟูจนหุบยิ้มไม่ได้ เธอพยายามเก็บทรงทำตัวให้เป็นปกติ แต่ถึงจะพยายามแค่ไหน มือที่จับช้อนส้อมก็ยังสั่นน้อย ๆ โดยไม่รู้ตัว
ดวงตาคู่คมเหลือบมองอาการของเธอแวบหนึ่งก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจก่อนจะยกมือเรียกพนักงานมาสั่งอาหาร
ขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งกินข้าวด้วยบรรยากาศที่ดีเกินไป ควีนที่บังเอิญแวะมาทานข้าวที่นี่พอดี ในตอนที่เดินผ่านหน้าร้านสายตาก็เหลือบไปเห็นภาพนั้นเข้า เธอชะงักฝีเท้า มองทะลุกระจกเข้าไปเห็นเพื่อนสาวของเธอนั่งอยู่ตรงข้ามกับหนุ่มหล่อที่ดูคุ้นตา
รอยยิ้มของผักกาดสดใสจนควีนที่ยืนอยู่นอกร้านยังรับรู้ได้ชัดเจน ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ทันทีว่าผู้ชายคนนั้นคือน่าจะเป็น 'เพื่อนคนพิเศษ' ที่ผักกาดเคยพูดถึง
ริมฝีปากสวยกดลึกเล็กน้อย คล้ายรอยยิ้มที่เจือไว้ด้วยอารมณ์บางอย่าง แต่ไม่มีใครรู้ว่าในใจของเธอคิดอะไรอยู่ ควีนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเงียบ ๆ
ในขณะเดียวกันอีกมุมหนึ่งของร้าน บริเวณโต๊ะที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งสนทนากับลูกค้า เขามีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายปลื้มจนแทบแยกไม่ออก และในระหว่างที่พูดคุยอยู่ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างเข้าพอดี
ไอ้ปลื้ม...?