บทที่1 อ้วนแล้วไง? 30%
อ้วนแล้วไง?
"ฮือ ๆ ไปตายซะ ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ไอ้ผู้ชายหลอกลวง มึงบอกว่ากูใส่กางเกงเจเจแล้วสวย กูเลยใส่แต่กางเกงเจเจ ฮือ ๆ กว่าจะรู้ตัวว่าอ้วนมันก็สายไปแล้ว เอวกางเกงมันยืดไม่รู้ตัวว่ามันอ้วน...ฮือ ๆ ๆ ไม่น่าหลวมตัวเชื่อมันเลยจริง ๆ ฮือ ๆ" เสียงคร่ำครวญจาก ‘เพียงแสง’ หญิงสาวร่างอวบเกินระยะสุดท้ายไปหลายขุม มองไปก็ละม้ายตุ่มสามโคก นอนร้องไห้กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ที่ทำให้เตียงนอนขนาดคิงส์ไซซ์ดูเล็กไปลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
"มึงบอกว่าถึงกูอ้วนมึงก็รัก แล้วเป็นไงล่ะ กูอ้วนแล้วไง อ้วนแล้วมึงก็ทิ้งกูไปหาผู้หญิงคนใหม่...ฮือ ๆ ๆ ๆ" คร่ำครวญไปพลางกัดช็อกโกแลตแก้เครียดไปพลาง น้ำตาไหลทะลักราวทำนบแตกมาร่วมชั่วโมง คิดถึงประวิทย์คนรักซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกันแล้วยิ่งช้ำใจ ตอนนั้นเขาเรียนปริญญาโท ปีสุดท้าย ในขณะที่เธอเพิ่งเข้าเรียนปี 1 คบกันตั้งแต่อายุสิบแปดตอนนั้นเธอแค่อวบนิดหน่อย จนตอนนี้เธออายุยี่สิบห้า เจ็ดปีแล้วสำหรับเวลาแห่งความรักที่เพิ่งจะพังไม่เป็นท่า ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า น้ำตาก็ยิ่งไหลบ่าอย่างไม่ยอมหยุด
“พูดมาได้ยังไงว่าไปกันไม่ได้ มาบอกทำไมตอนนี้ ทำไมไม่บอกตอนที่ยังไม่อ้วน...ทำไมเพิ่งมาบอกว่ายังมีคนดีกว่ามึงอีกเยอะ ฮือ ๆ อ้วนแบบนี้จะมีคนดี ๆ ที่ไหนเขามาเอากู ไอ้บ้า ไอ้ประวิทย์ ไอ้คนลวงโลก” เมื่อคิดถึงน้ำหนักของตัวเองที่ปาเข้าไปเกือบร้อยกิโลอยู่รอมร่อก็อดคับแค้นใจไม่ได้ เพียงแสงร้องไห้คร่ำครวญจนหมดแรงแล้วก็หลับไปพร้อมกับแท่งช็อกโกแลตที่ถือไว้ในมือ เธอเคยอ่านเจอในหนังสือว่าช็อกโกแลตช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้ แต่คราวนี้มันแทบไม่ช่วยอะไรเลย เธอหลับไปพร้อมกับความซาบซึ้งในรสขมของช็อกโกแลตที่ซ่อนไว้ในความหวานละมุนนั่น เฉกเช่นเดียวกับความรักของเธอที่เคยหวาน แต่สุดท้ายมันก็ซ่อนความขมขื่นไว้ภายใน
เสียงเคาะประตูในห้องทำงานดังขึ้น กาวินชายหนุ่มร่างสูงรูปร่างกำยำ ผิวขาว ใบหน้าหวานสไตล์หนุ่มเหนือเดินไปเปิดประตู แล้วเดินกลับเข้ามานั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานของเขาอย่างอิดโรย เขาเอามือนวดขมับของตัวเองที่เครียดจนเส้นเลือดแย่งกันขึ้นปูด
เมื่อคืนนี้เขาโต้เถียงกับภรรยาและเป็นเหตุให้นอนไม่หลับมาจนถึงตอนนี้ เขาระเห็จตัวเองจากห้องนอนมาอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อคืน คิด คิด แล้วก็คิดว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตที่กำลังจะกลายเป็นพ่อม่ายลูกติดที่จะเริ่มต้นขึ้นในวันนี้
หญิงสาวร่างระหงใบหน้าสวยงามสะดุดตาที่ฉาบด้วยเครื่องสำอางยี่ห้อดังหิ้วกระเป๋ามาวางไว้หน้าห้องแล้วเดินไปยืนตรงหน้าโต๊ะทำงานของเขา
"ฉันจะมาบอกว่า ฉันจะไปแล้ว ส่วนเรื่องลูก ฉันยกให้คุณดูแลอย่างที่คุณต้องการ" เธอบอกอย่างไม่อินังขังขอบกับความเป็นแม่ที่สามารถทิ้งลูกสาววัยสามเดือนไปได้อย่างง่ายดาย
"ทำไมต้องไป สิตา คุณไม่ห่วงลูกเหรอ...คุณไม่คิดถึงความรักของเรา ก็เปลี่ยนใจมาคิดถึงลูกหน่อยได้มั้ย เขายังเด็กเกินไปที่จะถูกพรากไปจากอกแม่" หญิงสาวอึ้งนิดหนึ่ง ดวงตาฉายแววสลดแต่เพียงชั่วครู่แล้วก็หายวับ
"ฉันไม่อยากอยู่ที่ไร่นี่ มองไปทางไหนก็มีแต่ความเงียบ เงียบ และก็เงียบ พื้นที่กว้างใหญ่จนฉันวังเวง ฉันอยากมีเพื่อน อยากไปเห็นสิ่งใหม่ ๆ บ้าง ฉันเกิดและโตที่กรุงเทพฯ ที่นี่มันแตกต่างจากที่ฉันเคยอยู่ลิบลับ ฉันทนอยู่มาถึงสองปี มันก็นานเกินไปแล้ว หวังว่าคุณคงจะไม่อยากเอาเปรียบฉันมากไปกว่านี้ ที่จะให้ฉันต้องอยู่อย่างตัดขาดจากโลกภายนอก" เธอร่ายยาวในสิ่งที่ได้บอกเขาไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน
ใช่! ไร่ที่กว้างใหญ่ร่วมสองร้อยไร่ แถมเป็นไร่ที่ถูกทิ้งร้างมานานตั้งแต่พ่อของเขาเสียชีวิตไป แม่ของเขาก็ป่วยออด ๆ แอด ๆ แล้วก็ทิ้งเขาไปอีกคน ปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพังมาตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยยังไม่จบ ให้เขาอยู่กับยายที่แก่ชราแต่ยังพอดูแลตัวเองได้ เขาเรียนจบก็ทำงานที่กรุงเทพฯ เพิ่งจะกลับมาอยู่ที่บ้านเมื่อสองปีที่ผ่านมา เนื่องจากได้ลาออกจากงานเพราะอยากกลับมาอยู่ที่บ้านฟื้นฟูไร่ที่ถูกทิ้งร้างไว้เป็นสิบปี และดูแลยายที่แก่ชรา กับเงินทุนที่มีเหลือเพียงไม่มาก
จนป่านนี้ผ่านมาสองปีแล้ว ไร่กว้างใหญ่ก็ยังมีพื้นที่ที่บุกเบิกทำไปไม่ถึงร้อยไร่ แถมยังไม่มีอะไรที่ออกดอกออกผลพอที่จะได้ผลกำไรงอกเงย เพราะทุนที่น้อยจึงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป มีแต่เอาเงินจมลงไปกับมันทุกวัน
เธอต้องการสินค้าแบรนด์เนม ต้องการเฉิดฉายท่ามกลางเพื่อนฝูงในงานปาร์ตี้อย่างที่เคยมี แต่เขายังมีให้ไม่ได้ในตอนนี้
“ผมคงรั้งคุณไว้ไม่ได้ งั้นก็ขอให้คุณโชคดี” ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกที่สุดแล้วค่อย ๆ ผ่อนมันออกมา ก่อนที่จะหลุดคำพูดประโยคนี้ออกไป เธอมองเขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเดินออกไปหยิบกระเป๋าที่วางไว้หน้าห้องแล้วเดินจากไปโดยไม่แม้จะหันกลับมามอง
กาวินนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้นด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง สมองของเขาทึมทึบไปหมด มันตันและเหมือนไร้ทางออก ราวติดอยู่ในปลายอุโมงค์ที่มืดมิด
ลูกสาวที่อายุเพียงสามเดือนยังไม่หย่านม ไร่ที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง ไหนจะยายที่ทำได้แค่ตักข้าวกินเองและพยุงพาตัวเองเดินเหินได้เพียงระยะใกล้ ๆ เท่านั้น ทุกอย่างมันประเดประดังกันลงมาที่เขาคนเดียว ไหนจะต้องหุงหาอาหาร ให้นมลูก ซักรีดเสื้อผ้า แล้วไหนจะงานในไร่ และอีกมากมาย
โอ๊ย! คิดแล้วเขาแทบบ้า แค่เรื่องงานในไร่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่เรื่องลูกกับคนชราเป็นเรื่องหนักหนาที่สุด เขาอยากจะร้องไห้ แต่มันไม่มีเวลาสำหรับหลั่งน้ำตาอีกแล้ว เขาต้องทำอะไรสักอย่าง… เขาต้องค้นหาแสงสว่างท่ามกลางปลายอุโมงค์ที่มืดมิดไร้ทางออกนั่นให้เจอ!