นับตั้งแต่ขอยุติความสัมพันธ์ในวันนั้น เขาก็ไม่ได้เจอกับเธออีกเลย ผู้หญิงที่เป็นหลานสาวของแม่บ้านจนได้มาเป็นคนในความลับของตนเอง ตอนนี้มินตราจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
คุณหมอวศินนอนอยู่บนเตียงพร้อมกับครุ่นคิดถึงใบหน้าของคนที่ไม่ได้เจอกันนานถึงห้าเดือนเต็ม ตอนนั้นทำไมเขาถึงเอ่ยปากชวนเธอมาเป็นผู้หญิงบนเตียง ทั้งที่เธอเข้ามาขอความช่วยเหลือเรื่องเงิน แต่เขากลับยื่นข้อเสนอให้เธอเอาตัวเข้าแลก แล้วเธอก็ยอมสุดท้ายเราสองก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูที่ดังอยู่หน้าห้องนอนทำให้นายแพทย์หนุ่มที่ไม่ทำงานเพราะลาป่วยต้องหันไปมอง ครู่เดียวแม่บ้านก็เดินเข้ามาบอกว่าท่านประชาผู้ซึ่งเป็นปู่ของเขาเรียกหา
หลานชายคนเล็กของบ้านที่นานๆ ครั้งจะกลับมานอนที่บ้านใหญ่ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมา แล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเพราะคิดว่าปู่ต้องพูดเรื่องแต่งงานแน่นอน ท่านอยากให้เขากับพี่ชายมีครอบครัวใจจะขาด แต่ไม่มีหลานคนไหนตามใจ
“อ้าว พี่วินก็อยู่ด้วยเหรอ นึกว่ามีแค่คุณปู่”
น้องชายทักขึ้นมาหลังจากเปิดประตูเข้ามาแล้วเห็นพี่ชายนั่งอยู่ข้างท่านประชา นาวินเห็นน้องชายหน้าซีด แถมยังโทรมไม่ต่างจากคนป่วยจึงเอ่ยทักด้วยความห่วงใย ปกติเขาไม่เคยเห็นวศินอยู่ในโหมดนี้เลย
“สภาพพพ แกเป็นหมอยังไงถึงได้ดูโทรมขนาดนี้” ตาโหล หน้าตอบ ซีดเซียวเหมือนคนป่วยหนัก ทำให้สองปู่หลานพากันแสดงความเป็นห่วงโดยเฉพาะคนแก่อย่างท่านประชา
“นั่นสิเจ้าวา เป็นอะไรรึเปล่า ปู่ว่าแกดูป่วยนะ” ชายชรามองหน้าหลานชายคนเล็กพลางพิจารณา
“ผมเป็นหมอนะครับคุณปู่ คนไข้เยอะจะตาย วันๆ กว่าจะทำงานเสร็จเหนื่อยมาก ก็ต้องป่วยกันบ้างแหละ”
ใครบอกว่าอาชีพหมอนั้นดี ทำงานแทบไม่ได้พักผ่อน โชคยังดีที่เขาลาออกจากโรงพยาบาลของรัฐแล้วมาทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนแทน หากยังทำงานอยู่ที่เดิมเกรงว่าแม้แต่เวลาจะกลับมาหาปู่ก็คงไม่มี
“ปู่บอกให้แกลาออกมาช่วยงานปู่ แกก็ไม่ยอม รั้นจะเป็นให้ได้เลยอาชีพหมอ”
ท่านประชาเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ตอนนี้บริษัทกำลังต้องการคนรุ่นใหม่มาช่วยทำงาน แต่หลานชายทั้งสองคนกลับไม่สนใจ คนหนึ่งเป็นหมอ อีกคนเป็นตำรวจ
“แล้วทำไมคุณปู่ไม่บังคับพี่วินบ้างล่ะ พี่วินก็หลานคุณปู่เหมือนกัน” คนเป็นน้องบุ้ยปากไปทางพี่ชายที่ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับความต้องการของปู่
นาวินเป็นพวกที่ไม่ชอบเรื่องธุรกิจจึงไม่สนใจสานต่องานของท่านประชา อีกอย่างเขาก็ชอบงานที่กำลังทำตอนนี้มากด้วย แตกต่างจากน้องชายที่เป็นหมอตามเพื่อน ไม่ได้ชอบจากใจจริง
คนแก่หันมองหน้าหลานที่กำลังฟาดฟันกันทางสายตาแล้วถอนหายใจออกมาอย่างคนปลงตก ชีวิตเขาเป็นของเขา ท่านเข้าใจในเมื่อหลานไม่อยากทำงาน ท่านก็จะไม่บังคับ ยกเว้นเรื่องชีวิตคู่เพราะท่านอยากเห็นหน้าเหลนก่อนสิ้นลมหายใจ
“ปู่จะไปบังคับใครได้ เอาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ ปู่แล้วแต่พวกแกจะสบายใจ” ถึงจะบังคับไปสองหลานหัวแข็งก็ไม่ยอมทำตามคนแก่อย่างเขาหรอก สู้ไปบังคับเรื่องอื่นดีกว่า มุมปากของชายชรายกยิ้มขึ้นมาไม่ต่างจากตัวร้าย ทำให้หลานชายคนเล็กต้องเอ่ยถามพลางแสดงสีหน้าสงสัย
“คุณปู่ยิ้มแบบนั้นหมายความว่ายังไงครับ” นายแพทย์วศินหรี่ตาจับผิดก่อนจะหันไปมองทางพี่ชายที่กำลังจ้องมองคนเป็นปู่เหมือนกัน
“นั่นสิครับ คุณปู่เรียกผมกับไอ้วามาหาทำไม” นาวินตั้งคำถาม ก่อนจะหันไปสบตาน้องชาย ถ้าให้เขาเดาคงเป็นเรื่องคู่ครอง
“ปู่เรียกพวกแกมาคุยเรื่องแต่งงาน ไหนใครจะแต่งงานก่อน” ถามมาก็ตอบไป ชายชราไม่พูดอ้อมค้อมแม้แต่น้อย เพราะคิดว่าตนเองต้องจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาด สองหลานถึงกับทำหน้าเมื่อย
“ผมยังโสดครับ อีกอย่างตอนนี้ผมกำลังตามทำคดีเรื่องค้ามนุษย์ยังไม่สะดวกจะแต่งงาน คุณปู่ให้ไอ้วาก่อนแล้วกัน” นาวินเอาเรื่องงานมาอ้าง ก่อนจะผายมือไปทางน้องชายที่ดูแล้วน่าจะเหมาะสมกับเรื่องแต่งงานมากกว่าตนเอง
คุณหมอวศินถึงกับเลิ่กลั่ก อยู่ๆ หวยก็มาตกลงบนตัว พี่ไม่สะดวกแต่งงานแล้วเขาสะดวกเหรอ ชายหนุ่มถึงกับเดือดพล่านไม่ต่างจากปลาโดนน้ำร้อนลวก
“โห่ ไอ้พี่วิน เล่นโยนมาให้งี้เลยเหรอ ผมเองก็โสดไม่สะดวกจะแต่งงานเหมือนกันครับคุณปู่” แต่ไม่รู้ทำไมใบหน้าของมินตราถึงได้ลอยเข้าในสมอง อดคิดไม่ได้ว่าหากเจ้าสาวคือเธอจะเป็นอย่างไร
“ก็ปู่อยากมีเหลนแล้ว อีกอย่างปู่นัดน้องมุกไปกินข้าวด้วยกันเสาร์นี้ แกในฐานะหลานที่ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องด่วนอะไรต้องไปกับปู่ มันคือคำสั่งห้ามขัดเด็ดขาด”
“เสาร์นี้! ก็อีกสองวันน่ะสิ โธ่คุณปู่ ไม่รอให้ผมตอบรับก่อนล่ะครับ เผื่อผมยุ่ง ไม่ว่างคนไข้เยอะ”
หลานชายคนเล็กโอดครวญราวกับเป็นเด็กชายวศินอายุห้าขวบ นาวินเห็นว่าเรื่องแต่งงานแบบคลุมถุงชนนี้ควรให้น้องชายรับผิดชอบจึงรีบสำทับชายชรา
“ถ้ารอแกตอบชาติหน้าปู่ก็ไม่ได้คำตอบ ใช่ไหมครับคุณปู่”
“เจ้าวินพูดถูก แกต้องไปกับปู่ เพราะมันคือคำสั่ง เรื่องงานปู่ตามใจแก เพราะฉะนั้นแกต้องตามใจปู่ แต่งงานมีเหลนให้ปู่”
นายแพทย์หนุ่มรูปงามโอดครวญได้ไม่เท่าไรก็ต้องวิ่งออกจากห้องแล้วตรงดิ่งไปยังห้องน้ำเพราะเกิดอาการเวียนหัวอยากอาเจียนขึ้นมากะทันหัน พี่ชายอย่างนายตำรวจนาวินซึ่งมียศเป็นถึงพันตำรวจตรีรีบวิ่งมาดูอาการของน้องชายอย่างเป็นห่วง
“ป่วยขนาดนี้ ไปตรวจร่างกายบ้างเถอะไอ้วา” สีหน้าของน้องดูแย่กว่าก่อนหน้านี้มากทำให้เขาเริ่มกังวล กลัวคุณหมอเอาแต่ตรวจคนไข้จนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง
“ผมไม่เป็นไรหรอกน่า ว่าแต่บ้านนี้มีมะม่วงเปรี้ยวไหม ผมอยากกินมากเลยพี่วิน” อยู่ๆ ก็คิดถึงของเปรี้ยวเช่นมะม่วงไม่ก็มะขาม หรือมะยม ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้อยากกินของเปรี้ยวขนาดนี้ แค่คิดก็น้ำลายสอจนต้องกลืนน้ำลายลงคอดังอึก
“พูดเหมือนคนท้องเลย ถ้ามีเมียพี่เข้าใจว่าแกแพ้ท้องแทนเมียนะไอ้วา” เพราะเขาเคยเห็นเพื่อนร่วมงานแพ้ท้องแทนเมีย อาการเหมือนอย่างที่วศินเป็น แต่ประเด็นคือน้องชายยังไม่มีเมียแล้วจะแพ้ท้องได้อย่างไร สุดท้ายก็คงไม่พ้นเรื่องป่วย
“ท้องเหรอ! จะเป็นไปได้ยังไง” นั่นสิ เพราะเขาไม่ได้นอนกับใครมาหลายเดือนแล้ว อีกอย่างกับมินตราก็ใช้ถุงยางตลอด เธอจะท้องได้ยังไง ถ้าท้องจริงเธอก็ต้องบอกเขาอยู่แล้ว
หลังจากอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง นายแพทย์วศินก็บอกให้แม่บ้านช่วยหาของเปรี้ยวๆ มาให้ตนเองกิน อะไรก็ได้ที่เป็นของเปรี้ยว ยิ่งเปรี้ยวยิ่งดี มะนาวจิ้มเกลือก็ไม่ว่า เขาอยากกิน
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังยุ่งวุ่นวายกับของเปรี้ยว ทางด้านหญิงสาวก็กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำขนมเพื่อส่งขายตามออร์เดอร์ที่ร้านสั่ง ตั้งแต่ถูกยุติความสัมพันธ์เธอก็เลือกจะกลับมาอยู่บ้านเดิมซึ่งอยู่ในจังหวัดอยุธยา
บ้านหลังเล็กหลังนี้ ครั้งหนึ่งเคยอบอุ่นอยู่แล้วมีความสุข แต่สุดท้ายก็กลายเป็นแค่อดีต เพราะพ่อกับแม่ตัดสินใจแยกทางกัน แล้วโยนลูกสาวให้ญาติๆ เลี้ยงดู โชคดีที่ญาติห่างๆ ของมารดาเอ็นดูจึงคอยอุ้มชูเธอแทนพ่อแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบ
“หนูมินอยู่ไหมลูก ป้ามีของมาฝาก” เสียงดังตรงประตูบ้านทำให้คนท้องที่มีอายุครรภ์หกเดือนแต่ดูไม่เหมือนคนท้องต้องรีบวางมือจากสิ่งที่ทำแล้วเดินออกมาหา
“อยู่ค่ะ ป้าศรีหอบอะไรมาเยอะแยะ” เธอเห็นป้าศรีซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกำลังถือข้าวของพะรุงพะรังก็รีบเข้าไปถามด้วยความสนใจ
ป้าศรีอาศัยอยู่ในบ้านตรงข้าม ถึงปากจะดูร้ายแต่น้ำใจงาม
“ก็ของบำรุงทั้งนั้น เจ้ากล้ามันฝากมาด้วย”
ป้าศรีหมายถึงลูกชายที่มีชื่อว่า หาญกล้า รายนั้นดูจะถูกอกถูกใจมินตราไม่น้อย ถึงแม้ป้าศรีจะไม่ค่อยเห็นด้วยที่ลูกชายจะชอบมินตรา แต่ก็ไม่กล้าขัดใจลูก อีกอย่างมินตราเองก็นิสัยดี ติดอยู่เรื่องเดียว เธอท้อง!
“โธ่ เกรงใจแย่ ไม่น่าลำบากกันเลย”
“ลำบากอะไร เรื่องแค่นี้สบายมาก แล้วแพ้ท้องบ้างไหม”
“ไม่เลยจ้ะป้าศรี ถ้ามีก็แค่อาการง่วงนอน”
“งั้นก็ดีแล้ว อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย หนูมินจะเลี้ยงลูกคนเดียวจริงเหรอ”
นั่นไงอาการคันปากอยากจะถามเรื่องคนอื่นกำเริบจนได้ มินตราไม่โกรธป้าศรีเพราะเข้าใจถึงความหวังดี
“ค่ะ มินเลี้ยงได้ ป้าศรีไม่ต้องห่วง” ลูกคนเดียวเองทำไมเธอจะเลี้ยงไม่ไหว แม่เลี้ยงเดี่ยวบางคนยังเลี้ยงลูกตั้งหลายคนพร้อมกันได้เลย เธอมีลูกแค่คนเดียวยังไงก็ต้องไหว
“เฮ้อ ป้าก็แค่สงสาร ถ้ามีผัวคอยช่วยเหลือจะดีกว่า” พูดตามความจริงป้าศรีอยากให้มินตรากลับไปคืนดีกับผัว ลูกชายจะได้มองหาผู้หญิงคนใหม่
“มินกับเขาเลิกกันแล้ว ต่างคนต่างไป อย่าไปพูดถึงเขาอีกเลยค่ะ มินไม่อยากให้เขาลำบากใจ”
“โธ่หนูมิน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มินดูแลลูกได้”
“ป้าจะช่วยหนูมินอีกแรง”
“ขอบคุณค่ะ”
“ถ้ามีอะไรก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณป้าศรีมากนะคะ”
หญิงสาวยกมือขึ้นมาพนมไหว้อย่างซาบซึ้งใจ ถึงป้าศรีจะชอบถามนั่นถามนี่ แต่แกไม่ได้มีพิษมีภัย ดีเสียอีกที่มีป้าข้างบ้านอย่างป้าศรี เกิดเธอเป็นอะไรขึ้นมาจะได้มีคนมาช่วยเหลือทัน
หลังจากป้าศรีเดินกลับบ้าน ว่าที่คุณแม่ก็อดคิดถึงพ่อของลูกไม่ได้จึงยกโทรศัพท์ขึ้นมา หมายจะกดเข้าไปดูความเคลื่อนไหวของเขาผ่านโลกโซเชียล แต่คิดว่าอย่าดีกว่า เพราะถ้าทำแบบนั้นเธอจะตัดเขาออกจากใจไม่ได้
“ลูกจ๋า เราอยู่กันสองคนแม่ลูกก็พอเนอะ แม่จะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้ลูกเอง”