กวินภพในชุดสูทหรูของอาร์มานี่ เดินลงบันไดด้วยท่าทีรีบเร่ง ด้านหลังมีเด็กรับใช้ถือกระเป๋าเอกสารตามมา
เมื่อเข้าไปในห้องครัว เขาก็ยิ้มพอใจกับอาหารที่เรียงรายบนโต๊ะ มีทั้งยำปลากระป๋อง ผัดมาม่า และผัดผักรวมมิตรสีสันสดใสน่าทาน
“วันพรุ่งนี้งดมาม่าปลากระป๋องนะ” นั่งลงแล้ว เขาก็สั่งแม่ครัว ซึ่งก็รีบพยักหน้ารับ ส่วนพิสมัยกับพงษ์ศักดิ์นั้นยิ้มพอใจ
ลูกเบื่ออาหารแบบนั้นแล้ว กลับมาเป็นคนเดิมที่ทานแต่อาหารชั้นดี ปรุงจากวัตถุชั้นดีแล้ว
“ทำผัดผักแบบนี้” นิ้วเรียวแต่แข็งแรงชี้ไปยังจานผัดผัก “แต่ขอผักกะหล่ำ แครอท ต้นหอม แค่นั้นพอ”
“เราใส่ผักที่มีประโยชน์เพิ่มลงไปอีกหน่อยมั้ยลูกเช่นบร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก ข้าวโพดอ่อนส่วนกะหล่ำปลีแม่ไม่ค่อยอยากให้ทาน”
“นานๆ กินทีครับแม่” เขาตัดบทแล้วตักกะเพราปลากระป๋องใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย สองผัวเมียได้แต่หันสบตากันด้วยความเหนื่อยใจ
ขณะเดียวกัน ในบ้านหลังน้อยของนิสา เธอก็เพิ่งจะวางจานผัดผักซึ่งประกอบด้วยกะหล่ำปลี แครอท และต้นหอมลงตรงหน้าลูกชาย ซึ่งตอนนี้อยู่ในชุดแต่งกายอย่างเตรียมพร้อมออกนอกบ้าน ประแป้งลายพร้อยที่หน้า ดูน่าเอ็นดู
“มาแล้วค้าบ ผัดผักที่เก็บจากสวนของเหล่าอเวนเจอร์” เธอพูดพลางถอดเสื้อกันเปื้อนออก แล้วนั่งลงตรงข้ามเขา
“รอบนี้ใครเป็นคนปลูกคับ” เด็กชายถามกลับด้วยท่าทีตื่นเต้น
นิสายิ้ม มองเขาด้วยแววตารักใคร่สุดหัวใจ ลูกชายเธอไม่ชอบกินผัก เธอจึงต้องหลอกเขาทุกครั้งว่าผักเหล่านี้ มีเหล่าฮีโร่ที่เขาชอบเป็นคนปลูก
“อืม แม่คิดว่าน่าจะเป็นแอนท์แมนนะ เพราะเขาสามารถย่อตัวเองให้เล็กลง เอาเมล็ดลงไปฝังใต้ดินได้ หรือพี่น้ำคิดว่าใครครับ”
เด็กชายทำท่าคิดแล้วตอบ “น้ำชอบเดอะฮักส์ น้ำว่าเดอะฮักส์ต้องมาช่วยแอนท์แมนแน่ๆ เลย”
“แต่แม่ว่าอาจจะเป็นสไปเดอร์แมนก็ได้นะ เขาพ่นเมล็ดผ่านใยลงมาจากตึกเลยไง”
เด็กชายหัวเราะเสียงสดใสโชว์ฟันน้ำนม ก่อนจะลงมือทานผักอย่างไม่อิดออด นิสามองลูกแล้วภาพ ‘พ่อของลูก’ ก็ซ้อนทับเข้ามา
‘ผักมีแค่นี้หรือคุณ บร็อกโคลี่ กะหล่ำดอก ถั่วลันเตา ไม่มีเหรอ’
‘ที่ห้างมีขาย แต่ฉันไม่มีเงินซื้อ นี่ก็ซื้อแบบที่เขาแพ็คผักขายเป็นถุงๆ ถุงละ 20 บาท ก็ได้แค่นี้แหละ’
‘ก็น่าจะใส่ผักอื่นเพิ่มมาหน่อย ซักสองสามชิ้นก็ได้’ เขาบ่นอุบ
‘ถุงละ 20 จะเอาอะไรมากล่ะ...จริงสิ คุณลองนึกดูหน่อยมั้ยว่า อาหารที่คุณชอบทานน่ะ มีอะไรบ้าง และทานที่ไหนกับใคร เผื่อจะปะติดปะต่อความทรงจำคุณได้ไง’
‘จำไม่ได้อ่ะ’
“อิ่มแล้วค้าบ” เสียงเด็กชายธาราดังขึ้น ก่อนร่างอวบนั้นจะยกน้ำดื่ม แล้วลุกเอาจานของตัวเองไปวางที่อ่างล้างจาน เธอสอนให้ลูกช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เล็กๆ เพราะอยากให้เขาโตเป็นเด็กที่สามารถดูแลตัวเองได้
ส่งลูกไปเนอสเซอรี่แล้ว นิสาก็นั่งสองแถวสีแดงจากตรงนั้น ไปยังที่ทำงาน ซึ่งยังคงเป็นห้างขายของสร้างบ้านและแต่งบ้านครบวงจรที่เคยทำเมื่อสี่ปีก่อน
วันนี้เมื่อเริ่มงานได้ไม่ถึงสิบนาที เจ้านายก็เรียกเธอเข้าไปพบ พร้อมยื่นซองเอกสารสีขาวมาให้
“อะไรคะ” นิสาถามเสียงตระหนก
“มีคำสั่งให้ย้ายนิไปที่สาขาใหญ่ พร้อมตำแหน่งและเงินเดือนที่สูงขึ้น” เจ้านายสาวของเธอส่งยิ้มเอ็นดูมาให้ นิสาเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ ใจหนึ่งนั้นเธอดีใจนัก ที่จะได้เลื่อนตำแหน่งเพราะหมายถึงเงินเดือนที่เพิ่มมากขึ้น แต่อีกใจก็ไม่สบายใจ
“สาขาใหญ่ ไกลบ้านมาก นิกลับมารับลูกไม่ทันแน่ๆ นิไม่อยากย้ายลูกไปอยู่ในเมืองเลย...ว่าแต่ทำไมนิถึงได้ย้ายล่ะคะ”
“พนักงานดีเด่นสามปีซ้อนอย่างนิ บริษัทไม่เพิกเฉยหรอกจ้ะ พี่เป็นคนเสนอชื่อนิไปเองแหละ”
“ขอบคุณนะคะ...เอ่อ แล้วนิมีสิทธิ์ปฏิเสธมั้ยคะ”
“โอกาสมาถึงแล้ว อย่าปล่อยให้มันหลุดมือไป ส่วนเรื่องลูก พี่คิดว่าต้องมีทางออก ถ้าจำเป็นต้องย้ายเขาเข้าไปในเมืองก็ต้องย้าย คนเราจะย่ำอยู่กับที่ไม่ได้นะจ๊ะ”
นิสานิ่งเงียบด้วยท่าทีครุ่นคิดหนัก นี่เธอควรตัดสินใจอย่างไรดี
ที่สุด นิสาก็ต้องย้ายเข้าไปทำงานที่สาขาใหญ่ ซึ่งอยู่กลางใจเมือง แต่ยังพักอาศัยอยู่ที่เดิมและให้ลูกอยู่เนอสเซอรี่เดิมไปก่อน โดยจ้างป้าข้างบ้านให้ไปรับและช่วยดูแลแกก่อนเธอจะกลับ
โต๊ะทำงานของเธออยู่ในห้องรวมกับพนักงานในแผนก แต่อยู่มุมห้อง เป็นสัดส่วนและมีโต๊ะที่กว้างกว่าคนอื่น พอถึงเวลาเริ่มงาน หัวหน้าก็แนะนำเธอกับบรรดาลูกน้อง เธอก็ฝากเนื้อฝากตัวกับทุกคนด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน
“เดี๋ยวอีกสิบนาที บอสจะมาถึงออฟฟิศ นิเข้าไปพบท่านและรายงานตัวกับท่านด้วยนะ”
“ให้นิเข้าไปคนเดียวเหรอคะ” เธอออกอาการประหม่า
“กลัวอะไร ถึงบอสจะดุไปซักหน่อย แต่ไม่ใช่คนดุพร่ำเพรื่อหรอก ท่านเป็นคนมีเหตุผล เอาเรื่องงานเป็นที่ตั้ง เอางี้ เดี๋ยวพี่เข้าไปด้วยก็ได้”
“ขอบคุณค่ะ” นิสายิ้มออก แล้วก็นั่งรอเวลาด้วยความตื่นเต้น เธอรู้อยู่แล้วว่าเจ้าของบริษัทชื่อพงษ์ศักดิ์ แต่ไม่เคยพบท่านตัวเป็นๆ สักครั้ง เห็นผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ธุรกิจบ้าง ในโลกโซเชี่ยลบ้าง พร้อมกันนั้นข่าวเรื่องความเฮี้ยบ การทำงานจริงจังของท่านก็เป็นที่เลื่องลือ เธอจึงอดกลัวไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรผิด
พอถึงเวลา หัวหน้าก็เรียกเธอ “ท่านมาถึงชั้นล่างแล้ว เตรียมตัวนะ”
“ตื่นเต้นมากเลย ขอเข้าห้องน้ำไปตั้งสติก่อนได้มั้ยคะ”
หัวหน้าหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “ท่านไม่ใช่เสือไม่ใช่สิงห์นะ เอ้า รีบไปรีบมาก็แล้วกัน”
เธอรับคำ แล้วรีบเดินเร็วๆ เข้าห้องน้ำ พอกลับออกมา ก็พบว่าหัวหน้าหายไปแล้ว แต่ฝากบอกให้เธอตามไปที่ห้องของท่านได้เลย
เมื่อมาถึงหน้าห้อง เธอก็สูดลมหายใจยาวๆ แล้วจึงผลักประตูเข้าไป เป็นจังหวะเดียวกับที่ด้านนอก เกิดฟ้าร้องฟ้าแลบ และเนื่องจากห้องของประธานเป็นกระจก ไม่ได้รูดม่านปิด แสงฟ้าแลบจึงสะท้อนผ่านกระจกเข้ามา แถมนิสายังรู้สึกว่ามันใกล้มากด้วย เพราะอยู่ชั้นสูง หญิงสาวหลับตาลงโดยอัตโนมัติ ร้องออกมาเบาๆ ร่างก็สั่นเล็กน้อย
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงห้าวทุ้มของใครคนหนึ่งถามขึ้น พร้อมกับวงแขนที่โอบรอบร่างเธอเอาไว้ นิสารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดและหายหวาดกลัวขึ้นมา จึงลืมตาและเงยหน้ามองเจ้าของแขนเพื่อจะขอบคุณ แล้วเธอก็ต้องเบิกตากว้าง เหมือนโดนผีหลอกตอนกลางวัน!
“เรน!” เธอคิดว่าตัวเองตะโกน แต่เสียงที่ลอดผ่านริมฝีปากกลับแผ่วเบา
กวินภพเองก็ชะงักนิ่งไปกับใบหน้าที่อยู่ห่างเขาไม่ถึงคืบ ทั้งเพราะความสวยและเพราะคุ้นหน้าเธอนั่นเอง ที่ร้ายกว่านั้นคือ มีภาพคล้ายๆ กันนี้วาบผ่านเข้ามาในความคิดของเขา ภาพที่ผู้หญิงคนหนึ่งหวาดกลัวเสียงฟ้าร้องและเขาก็มีโอกาสได้กอดปลอบเธอ
“คุณ...เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าอะไรนะ”
นิสากะพริบตาปริบๆ คล้ายไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน แต่ความตื่นเต้นดีใจที่ได้พบเขาก็ทำให้เธอเอาแต่มองหน้าเขา ไม่ตอบไม่พูดอะไรสักคำ
“นิ...เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงหัวหน้าของเธอดังขึ้น นิสาชะงักไป แล้วจึงเห็นว่าภายในห้องนั้น ไม่ได้มีแค่เธอกับ ‘เรน’ แต่ยังมีหัวหน้าเธอ และสาวสวยอีกคน ซึ่งน่าจะเป็นเลขาของท่านประธาน
นิสาถอยห่างจากชายหนุ่มเล็กน้อย ก่อนกล่าว “ขอบคุณนะคะ”
กวินภพรู้สึกใจหายกับการถอยห่างของเธอ เขารู้สึกอยากโอบกอดเธอเอาไว้ตลอดไป นี่เขาเป็นอะไรไป ความรู้สึกแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“นิจ๊ะ คุณกวินภพ ท่านประธานของเราจ้ะ บอสครับ คุณนิสาเป็นพนักงานที่ย้ายมาจากสาขาฝั่งธนครับ” หัวหน้างานของนิสาเอ่ยแนะนำ เธอเคยได้ยินชื่อนี้ว่าเป็นลูกชายของท่านประธาน แต่ไม่เคยเห็นหน้า เพราะกวินภพไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็ก
“สวัสดีค่ะ ท่านประธาน” นิสายกมือไหว้เขา
“สวัสดีนิสา” กวินภพยกมือไหว้ตอบเธอ ตายังไม่ละจากใบหน้าสวยหวานนั่น...