ตอนเย็น เมื่อนิสาไปรับลูก ครูพี่เลี้ยงก็แจ้งว่าลูกมีปัญหาเล็กน้อย ซึ่งก็เป็นปกติเด็กที่เพิ่งห่างจากครูและเพื่อนที่สนิทกันนั่นละ เธอมองไปที่เขา เห็นหน้าเศร้าๆ ก็สงสาร จึงพาเขาไปผ่อนคลายด้วยการกินไอติมที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ๆ นั้น เพราะเขาหายป่วย ตัวไม่ร้อนแล้ว
เด็กชายธารามีสีหน้าดีขึ้น จ้วงไอติมกินจนปากเลอะดูน่าเอ็นดู เห็นแล้ว นิสาก็สะท้อนใจ ไม่บ่อยนักที่เธอพาลูกมากินไอติมในห้าง ส่วนมากเป็นไอติมรถเข็น ทั้งแบบมียี่ห้อและแบบตัก เนื่องจากต้องประหยัดเงิน
“แม่คับ ลุงคนนั้นไม่มาอีกเหรอคับ”
“ลุงคนไหนคับลูก”
“ลุงที่จะให้พี่น้ำขี่คอน่ะคับ”
นิสาอึ้งไปเล็กน้อย นี่คงเป็นสายใยระหว่างพ่อลูก เขาถามถึงกวินภพบ่อยเหลือเกิน
“เขาจะไม่มาหาเราแล้วคับลูก พี่น้ำลืมเขาไปได้เลย”
“ทำไมล่ะคับ”
“ก็เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเราเลยไงคับ...”
“แล้วเมื่อไหร่พ่อจะมาหาพี่น้ำให้พี่น้ำขี่คอล่ะคับแม่ พ่ออยู่ไกลมากเลยเหรอคับ ทำไมมาไม่ถึงบ้านเราซักที”
นิสาขอบตาร้อนผ่าว มองแววตาใสเหมือนลูกแก้วของลูกด้วยความสงสารสุดหัวใจ พ่อมาแล้วลูก แต่เขาไม่สามารถเป็นพ่อของลูกได้
“แม่คิดว่าพ่ออาจจะเดินมาก็ได้นะลูก ก็เลยช้าไปหน่อย หรือไม่ก็อาจจะเดินมาไม่ถึง ถ้าเป็นอย่างนั้นพี่น้ำโอเคมั้ยคับลูก”
“ไม่โอเคคับ” เขาส่ายหน้าเร็วๆ “ถ้างั้นพี่น้ำจะเก็บเงินซื้อรถ จะได้ขับรถไปหาพ่อ”
คำพูดประสาซื่อทำเอานิสากลั้นน้ำตาไว้แทบไม่ไหว เธอมองเมินทางอื่นเพื่อกรีดน้ำตาทิ้ง แล้วจึงหันมาส่งยิ้มให้เขา
“คับ ถ้างั้นพี่น้ำก็ต้องตั้งใจเรียนนะคับ”
“คับ ได้คับ” รับคำมั่นเหมาะ “คุณแม่ว่าคุณพ่อจะดีใจมั้ยคับ ถ้าได้เจอพี่น้ำ”
“ต้องดีใจสิคับ...ป่ะ รีบกินติมกันดีกว่า ละลายหมดแล้ว”
กวินภพชวนพลอยปภัสร์มาทานอาหารเย็นที่บ้าน โดยมีการันต์ที่แกล้งบังเอิญผ่านมาพอดีมาทานด้วย แต่บรรยากาศก็ดูตึงเครียดโดยอัตโนมัติ เพราะทุกคนต่างมีเรื่องอยู่ในใจ
“เออ วิน อาทิตย์หน้างานแต่งไอ้พอลนะเว้ย อย่าลืม” การันต์เตือน กวินภพพยักหน้า มือหนึ่งถือช้อน มือหนึ่งถือโทรศัพท์ รอข่าวจากนักสืบ
“ชุดของพี่วินเรียบร้อยแล้วนะคะ เดี๋ยวมิ้นให้เขามาส่งที่บ้านเลย ส่วนชุดมิ้นยังต้องแก้อีกนิดหน่อย” พลอยปภัสร์เอ่ยขึ้นบ้าง
ชายหนุ่มทำเสียงรับทราบในลำคอ แต่ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น พลอยปภัสร์หน้าชา เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แต่ไหนแต่ไรเขาจะใส่ใจคำพูดของเธอเสมอ
“ไปงานแล้วรับช่อดอกไม้ให้ได้นะมิ้น เผื่อจะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไป” การันต์ทำหน้าที่ชงอย่างที่นัดแนะกันไว้ พลอยปภัสร์ยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบอะไร ส่วนกวินภพ ดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของการันต์เสียด้วยซ้ำ
พงษ์ศักดิ์กับพิสมัยได้แต่มองตากันด้วยความกังวลกับท่าทีของลูกชาย
ดังนั้นเอง เมื่อพลอยปภัสร์กับการันต์กลับไปแล้ว ทั้งคู่จึงขอคุยกับกวินภพ
“วินรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำเรื่องให้มันยุ่งยากมากขึ้น”
“ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ต้องทำเท่านั้นเอง นิสาเขาเป็นเมียผมและเขาก็มีลูกให้ผม เด็กคนนั้นเป็นลูกผมเป็นหลานคุณพ่อคุณแม่นะครับ”
“หนูมิ้นต่างหากที่เป็นว่าที่ภรรยาของลูก และเป็นภรรยาเพียงคนเดียวเท่านั้น” พิสมัยเอ่ยเสียงเด็ดขาด “แม่จะไม่ยอมให้วินมีเมียน้อยหรอกนะ”
“ไปไกลแล้วครับแม่ ผมไม่ได้จะรับนิสาเป็นภรรยา แต่ผมต้องการดูแลลูก แม่ต้องเห็นตาหนู แกน่ารักมากนะครับ”
“แล้วคุยกับหนูมิ้นเขาหรือยัง”
“คุยแล้วครับพ่อ มิ้นยังรับไม่ได้หรอกครับ แต่ผมเชื่อว่าวันหนึ่งเธอจะรับได้ เพราะนี่มันคือความจริง ยังไงเราก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้”
วันรุ่งขึ้น นิสาแต่งตัวสวยออกจากบ้านไปส่งลูก เพราะวันนี้เธอมีสอบสัมภาษณ์งานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับนำเข้าส่งออกสินค้าตกแต่งบ้าน และเธอก็ได้งาน โดยจะเริ่มทำในวันพรุ่งนี้
หญิงสาวเดินหน้าบานเข้าบ้าน ก่อนจะชะงักกึก เมื่อเห็นเงาคนวูบวาบอยู่ข้างในนั้น
ใครกัน นอกจากเธอกับพลอยปภัสร์แล้วก็ไม่มีใครมีกุญแจ?
เธอตัวเกร็ง พลางก็มองหาอาวุธที่อาจจะพอช่วยได้ แล้วก็ได้ส่วนประกอบของราวตากผ้า ซึ่งเป็นเหล็กบางๆ ขึ้นสนิม ปลายทั้งสองข้างโดนสนิมกัดเซาะ
เอาวะ ตีไม่ได้ ก็แทงเอาก็ได้
บอกตัวเองแล้ว เธอก็ค่อยๆ เดินเข้าไป มือกำอาวุธแน่น แต่ยังไม่ทันจะเดินถึงประตู คนข้างในก็เดินออกมาก่อน
กวินภพ!
“อ้อ กลับมาแล้วเหรอคุณ ผมรอตั้งนานแน่ะ”
“นี่คุณมาได้ยังไง”
“ขับรถมา” เขาตั้งใจกวนตีน “ทำไมต้องพาลูกหนีผมด้วย”
นิสาไม่ตอบในทันที เพราะไม่อยากให้คนข้างบ้านได้ยิน เธอเดินเข้าไปข้างใน แล้วจึงหันมาเผชิญหน้าเขา
“ฉันเคยบอกคุณไปแล้วว่าไม่อยากให้คุณกับคุณมิ้นต้องลำบากใจ”
“แต่มันคือความจริงไง จะลำบากใจ จะทุกข์ใจ จะโกรธจะแค้นยังไง เราก็หนีความจริงไม่พ้น ผมขอเจรจาตรงๆ เลยก็แล้วกัน ผมจะรับผิดชอบลูก ให้ลูกใช้นามสกุลผม และผมจะพาลูกไปอยู่ที่บ้านผม แกจะต้องมีชีวิตที่ดี ได้ใช้เสื้อผ้าดีๆ กินของดีๆ อร่อยๆ”
“แล้วฉันล่ะคะ ต้องไปอยู่ที่ไหน” เธอถามเสียงติดจะเยาะ