ระหว่างนั้นเองเสียงเคาะประตูห้องของเขาก็ดังขึ้น
“รันต์ ตื่นหรือยังลูก” จากน้ำเสียงตื่นเต้นของแม่ ทำให้การันต์เดาได้ไม่ยากเลยว่า ท่านมีเรื่องอะไร นี่คุณป้าของเขาคงโทร.มาเล่าเรื่องที่นิสามีลูกแล้วแน่ๆ
ซึ่งก็จริง...
ขณะที่กำลังเตรียมตัวออกไปทานข้าวกลางวันนั่นเอง โทรศัพท์มือถือของนิสาก็ดังขึ้น หญิงสาวขมวดคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นว่าเป็นกวินภพ
“ค่ะ คุณวิน...มีอะไรเหรอคะ”
“สะดวกวิดีคอลป่าว”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ นิกำลังจะออกไปทานข้าวค่ะ”
“อยากเห็นหน้าคุณ...ผมคิดถึงคุณ”
“หือ?”
“นิ...ผมเคยรอคุณอยู่ที่บ้านใช่มั้ย รอด้วยความหวั่นใจว่าคุณอาจจะทิ้งคนไร้ตัวตนอย่างผมไป” เสียงเขาแผ่วลงและเต็มไปด้วยความสับสน
“นี่คุณจำได้แล้วเหรอคะ” เธอเองก็ถามกลับไปเสียงเบาเช่นกัน
“ผมยังจำไม่ได้ แต่เมื่อกี้ภาพนี้มันแวบเข้ามา...ตอบผมมาสิ ใช่มั้ย...อ้อ ตอบแบบวิดีโอคอลนะ เร็ว” คนเอาแต่ใจสั่งมาตามสาย นิสามองปุ่มรูปวิดีโออย่างชั่งใจ ว่าจะทำอย่างไรดี เพราะจริงๆ แล้ว เธอไม่ได้ต้องการให้ความทรงจำช่วงนั้นของเขากลับมา เขาควรอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความเป็นกวินภพ ไม่ใช่เรน หรือถ้าจะเป็นกวินภพ ก็ควรเป็นกวินภพที่ไม่มีใครอยู่เคียงข้างอย่างตอนนี้
“นิ ได้ยินผมหรือเปล่า” เสียงเขาดังขึ้นอีก
“นิจะไปกินข้าวแล้วค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ” เธอตัดสินใจตัดสายเขาทิ้ง เพราะไม่อยากให้สายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาต้องถูกถักทอขึ้นมาใหม่ผ่านการคุยที่ไม่ใช่เรื่องลูก แม้ว่าการทำแบบนี้จะเหมือนการตัดหัวใจตัวเองไปทีละนิดก็ตาม
กวินภพมองโทรศัพท์ด้วยความผิดหวัง ทำไมนิสาไม่ช่วยเขา ถ้าเธอช่วย เขาอาจจะรื้อฟื้นความทรงจำช่วงนั้นขึ้นมาก็ได้ เขาอยากจำได้ว่ามีความสุขกับเธอมากแค่ไหน
ความคิดของชายหนุ่มชะงักไป เมื่อประตูห้องทำงานเปิดออกโดยไม่มีการเคาะ พลอยปภัสร์เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มหวานที่ครั้งหนึ่งมันเคยบาดใจเขา แต่เวลานี้มันน่าขยะแขยงเหลือเกิน
“เที่ยงแล้ว กินข้าวกันนะคะ” เธอพูดจาปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่แม้แต่จะพูดถึงเรื่องเมื่อวานที่เขาหายตัวไปจากงานแต่ง
กวินภพยังคงนั่งนิ่ง หรี่ตามอง ‘นางเอกละคร’ ตรงหน้า
“ลุกขึ้นสิคะพี่วิน มิ้นหิวแล้ว’ เธอชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังฝืนยิ้มหวาน เขาถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่งแล้วจึงยอมลุกขึ้น หญิงสาวรีบสอดแขนเข้ากับแขนของเขาเหมือนอย่างที่ทำประจำ แต่ครั้งนี้กวินภพดึงแขนออก
พลอยปภัสร์หน้าเสียและหน้าชา แต่สุดท้ายต้องเดินแกมวิ่งตามเขาไป
เมื่อเข้ามานั่งในร้านอาหาร กวินภพก็กลายเป็นเขาคนเก่าที่เอาอกเอาใจ เทคแคร์เธออย่างดี จนทำให้พลอยปภัสร์สบายใจและคลายความวิตกกังวลลง บางทีเธออาจคิดมากไปอย่างที่การันต์ว่า
“อืม...พี่วินคิดยังไงกับเรื่องของรันต์กับนิสาคะ...เซอร์ไพร้ส์มากเลยนะคะ ไม่คิดว่าเขาจะรู้จักกันแล้วก็คบกันน่ะค่ะ” เธอถามเพื่อหยั่งเชิงความรู้สึกของเขา
“โลกนี้มันก็กลมแบบนี้แหละมิ้น” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “วันนี้ น้าศรีก็โทร.มาถามพี่ว่าเรื่องจริงหรือเปล่า”
“แล้วพี่วินตอบว่ายังไงคะ”
“พี่ก็ตอบความจริง ยังไง เราก็หนีความจริงไปไม่พ้น” ตอนที่พูดเขามองหน้าเธอ เธอเลยร้อนอกร้อนใจ แต่ก็พยายามทำหน้าปกติ
“แล้วน้าศรีจะรับสะใภ้แม่ม่ายได้เหรอคะ”
“รับได้”
“อะไรนะคะ” พลอยปภัสร์อุทานอย่างไม่อยากเชื่อ “เป็นไปได้ยังไง”
กวินภพยิ้มเยือกเย็น “ทำไมล่ะ ไม่ดีใจกับรันต์มันเหรอ”
“ดีใจ...ดีใจสิคะ แต่มิ้นแค่ไม่อยากเชื่อว่าน้าศรีจะไม่รังเกียจผู้หญิง...ที่มีลูกแล้ว แถมลูกติดยังเป็นลูกของหลานชายตัวเองด้วย ฟังๆ ก็ดูอลหม่านดี ไม่รู้คนนอกจะคิดยังไงนะคะ” เธอทำน้ำเสียงเชิงดูถูก
“แปลกตรงไหนถ้าญาติจะมีเมียคนเดียวกัน หรือมิ้นว่าแปลก”
พลอยปภัสร์ชะงักไปตามประสาวัวสันหลังหวะ
“เอ่อ...ก็...มันก็แปลกๆ นิดหนึ่งแหละค่ะ แต่ก็ช่างเถอะ จริงๆ มิ้นควรดีใจด้วยซ้ำที่นิสาคบกับรันต์ อย่างน้อยก็สบายใจที่เขาไม่พยายามจะแย่งพี่วินไปจากมิ้น” พูดจบเธอก็เอนกายพิงไหล่เขาอย่างประจบออเซาะ ซึ่งเมื่อก่อนเขามองว่ามันน่ารักนักหนา แต่ตอนนี้ขยะแขยงยิ่งกว่าอะไร
“นิสาเขาเคยจะแย่งพี่ด้วยเหรอ”
“ไม่แสดงออกว่าจะแย่ง แต่ในใจเขาคิดอยู่แน่ๆ ค่ะ ยิ่งเขามีลูกกับพี่ด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งคิด เพราะถือว่าตัวเองมีแต้มสูง มิ้นไม่เชื่อหรอกค่ะว่าเขาจะไม่อยากได้ตำแหน่งสะใภ้ไฮโซ ไม่อยากมีชีวิตที่สุขสบาย ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้ท้อง”
กวินภพรังเกียจเธอจนแทบอยากสะบัดแขนออก แล้วเดินออกไปจากชีวิตเธอตอนนี้เดี๋ยวนี้ แต่เขายังทำอย่างนั้นไม่ได้ เขาต้องหาหลักฐานเรื่องเธอกับการันต์ให้ชัดเจนกว่านี้ ไม่อย่างนั้นคนปากแข็งอย่างเธอไม่มีวันยอมรับผิด เหนืออื่นใด ถ้าหากบุ่มบ่าม เขามั่นใจว่าคนที่จะเดือดร้อนที่สุดก็คือนิสาและลูกของเขา
เย็นนั้น กวินภพไปถึงเนอสเซอรี่ลูกชายก่อนนิสา แต่ครูพี่เลี้ยงไม่อนุญาตให้เขาพาตัวเด็กออกมา เนื่องจากนิสาไม่ได้แจ้งไว้ว่าให้เขาพาออกได้ เขาจึงพาแกไปเล่นที่สนามเด็กเล่นรอเธอ
ครั้งหนึ่ง โทรศัพท์ของเขามีสายเข้า เขากดรับ หันมาอีกทีก็พบว่าลูกชายเพิ่งหกล้มไป
“พี่น้ำ!” เขาเรียกชื่อลูกด้วยความตกใจ กดตัดสายแล้ววิ่งไปหาทันที “เป็นไงบ้างลูก เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่เจ็บคับ นิดเดียว” พูดจบเด็กชายก็เดินไปที่ก๊อกน้ำใกล้ๆ นั้น จัดการถอดรองเท้าผ้าใบออก เปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างแผลให้ตัวเองทันที ล้างแผลเสร็จ เลือดที่หัวเข่ายังไม่หยุดไหล เด็กชายก็รีบล้างมือตัวเองให้สะอาด แล้วเดินไปนั่งที่ม้านั่ง ใช้มือป้อมๆ นั้นกดปิดปากแผลไว้
กวินภพมองลูกชายทึ่งๆ ลูกเขาเก่งขนาดนี้เลยหรือ และเขาก็ไม่เข้าไปช่วยแก เพราะไม่อยากทำให้แกต้องสับสนกับวิธีการปฏิบัติกับตัวเอง
“พี่น้ำ...” เขาแทบน้ำตาไหลกับความเป็นผู้ใหญ่ของลูก ไม่มีโวยวาย ไม่มีโอดโอย มีแต่ความเข้มแข็งและดูแลตัวเองได้
นิสาเก่งเหลือเกิน
เด็กชายเงยหน้ามาส่งยิ้ม เมื่อเห็นว่าคนตัวโตตาแดงๆ ก็เป็นฝ่ายปลอบเสียอย่างนั้น “ไม่เป็นไรคับ พี่น้ำไม่เจ็บ”
คราวนี้กวินภพน้ำตาไหลออกมาจริงๆ ลูกเอ๊ย ตัวเท่านี้เอง รู้จักปลอบใจคนอื่นแล้ว แถมคนนั้นยังตัวโตกว่าตัวเองมากด้วย
ตอนนั้นเองที่นิสาก็มาถึง “เป็นอะไรคับลูก”
“หกล้มคับแม่”
“ไหนแม่ดูหน่อย...” ไม่มีการตำหนิเขาที่ดูลูกไม่ดีหรือดุลูกที่ซน เธอทรุดกายลงนั่งคุกเข่าที่พื้น แล้วดึงมือลูกออก ก็พบว่าเป็นแผลใหญ่เหมือนกัน
“พาลูกไปหาหมอดีกว่านะคุณ ทิ้งไว้เดี๋ยวอักเสบ” กวินภพว่าพลางอุ้มเด็กชายขึ้น นิสารีบเก็บรองเท้าและกระเป๋าของลูก แล้วเดินตามเขาไป
กวินภพพาลูกเข้าโรงพยาบาลเอกชนใกล้ๆ นั้น ซึ่งใช้เวลาไม่นาน เขาก็อุ้มลูกออกจากห้องหมอ โดยมีนิสาถือถุงยาเดินอยู่ข้างๆ
“หิวยังคับ”
“หิวมากคับ”
“งั้นถามคุณแม่สิครับ อยากกินอะไร” บอกลูก แต่เขาก้มหน้ามาใกล้เธอ
“กลับไปกินที่บ้านดีมั้ยคะ นิทำแป๊บเดียวก็เสร็จ” เธอเงยหน้าตอบด้วยความเสียดายของแห้งของสดในตู้เย็น
“นิทำน่ะแป๊บเดียว แต่กว่าจะฝ่ารถติดไปถึงบ้าน ลูกก็หิวตายพอดี...”
หญิงสาวเห็นด้วย เธอก็ลืมนึกถึงข้อนี้ไป แต่ก็ไม่วายบ่นอุบ “อย่ากินนอกบ้านบ่อยนะคะ เดี๋ยวแกติดใจ นิไม่มีเงินพาแกมากินบ่อยๆ หรอก”