ดอกเหมยที่แสนงดงามกำลังผลิดอก นั่นหมายถึงเหมันต์ฤดูกำลังจะลาลับ ดรุณีน้อยยืนอยู่ใต้ต้นดอกเหมยที่บานสะพรั่ง ใบหน้าที่แสนงดงามนั้นกำลังขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อเนื่องจากอากาศที่เหน็บหนาว
มือของฟางหรงนั้นถือถุงหอมที่เธอบรรจงปักมันขึ้นมาเพื่อรอคอย...สิ่งที่เรียกว่าคำมั่นสัญญา
เนื่องจากเกิดเป็นลูกสาวคนรองจึงมิต้องทำตัวอยู่ในระเบียบมากเท่าไหร่นัก ฟางหรงจึงมักปีนกำแพงจวนเสนาบดีฝูออกมาเที่ยวเล่นเป็นประจำ
และนิสัยที่ซุกซนของฟางหรง นั่นทำให้นางพบเจอกับหนิงหลง....
"เจ้ามาช้า!!"
"...ขอโทษด้วยฟางหรง ข้ามัวแต่ไปรอคิวซื้อแป้งทอดร้านของป้าจางมาให้เจ้า"
"อ่า นี่เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร ถึงได้เอาของกินเช่นนี้มาล่อ คาดหวังให้ข้ายกโทษให้อย่างนั้นหรือ"
กลีบดอกเหมยนั้นโปรยปรายลงมาพร้อมกับหิมะที่ตกลงมาจางๆ หนิงหลงหยิบกลีบดอกเหมยที่ติดอยู่บนผมของฟางหรงออกอย่างแผ่วเบา
นางเป็นสตรีที่ไม่สมเป็นสตรีสักเท่าไหร่ แต่ทว่านั่นกลับทำให้เราเข้ากันได้อย่างประหลาด เพราะเขาคือลูกชายคนเดียวของแม่ทัพหนิง
เรารู้จักกันตั้งแต่เขาอายุได้สิบสอง ส่วนฟางหรงสิบขวบ วันนั้นเขายังจำได้ดีว่าเขาเป็นคนไปช่วยเธอออกมาจากกลุ่มนักเลงที่กำลังตีกัน
ฟางหรงเป็นสตรีที่ยกพวกตีกันกับพวกนักเลงท้ายตลาด...หากเขาไม่เห็นกับสายตาว่านางคือบุตรีคนรองของจวนเสนาบดี หนิงหลงไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดเลย
และฟางหรงที่ยกพวกตีกับนักเลงในวันนั้น คือสตรีที่เติบโตขึ้นมาอย่างงดงามในวันนี้...ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจวนเสนาบดีนั้นขึ้นชื่อเรื่องการมีใบหน้าที่โดดเด่นมากทีเดียว
ฟางหรงเองก็คือสตรีวัยสิบเจ็ดปีที่งดงามจับสายตา
เธอส่งถุงหอมในมือให้หนิงหลง พร้อมกับรับห่อแป้งทอดมาถอเอาไว้
"....ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะไปนานเท่าไหร่ แต่ว่าข้าจะรอนะหนิงหลง ขอเพียงเจ้ามีใจมั่นคงข้าเองก็จะมั่นคงในความรู้สึกนี้เช่นกัน"
เขารับถุงหอมมาถือเอาไว้แนบอกพร้อมกับมองใบหน้าของหญิงคนรักด้วยสายตาที่แสนเจ็บปวด
"เรื่องของเราทั้วทั้งเมืองหลวงต่างรับรู้ สินสอดของตระกูลหนิงถูกส่งไปไว้ที่ตระกูลฝูแล้ว ตำแหน่งนายหญิงของจวนแม่ทัพนั้นเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว"
เขาเป็นแม่ทัพและตอนนี้กำลังมีศึกสงครามอยู่ชายแดน เป็นสงครามที่ยืดเยื้อมานานจนไม่อาจจะตัดสินผู้แพ้ผู้ชนะ เขาจำเป็นที่จะต้องไปช่วยท่านพ่อออกรบ และนี่คือการออกรบครั้งแรกของเขาในฐานะแม่ทัพ
เขามั่นใจว่าจะคว้าชัยชนะมาให้ฟางหรงได้อย่างแน่นอน
"รอข้า"
ฟางหรงยืนมองหติงหลงเดินจากไปจนลับสายตา อากาศวันนี้ดูเหมือนจะหนาวเย็นมากกว่าเดิมเมื่อเขาเดินจากไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ
หยาดน้ำตาพลันจะไหลออกมาแต่ทว่านั่นคือสิ่งต้องห้าม...ห้ามส่งชายคนรักไปรบด้วยใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาเพราะนั่นนับว่าเป็นลางไม่ดี
เธอทำได้เพียงมองเขาพร้อมกับตั้งมั่นในใจว่าจะรักษาสัญญา
.......
"ไปส่งหนิงหลงมาแล้วอย่างนั้นหรือ"
"เจ้าค่ะท่านพี่"
ฟางหรงนั่งลงบนพื้นพร้อมกับโอบกอดพี่สาวที่กำลังปักผ้าอยู่ พี่ฟางเซียนคือพี่สาวที่เธอภูมิใจที่สุด ความงดงามก็ล้ำเลิศ มารยาทก็เพียบพร้อม คำกล่าวถึงตระกูลฝูนั้นต้องมีคำยกย่องเมื่อพี่ฟางเซียนปรากฏตัว
"ช่วงนี้พี่ดูซูบผอมไปหน่อย ข้าคิดว่าเราไปหาอะไรกินในตลาดดีไหมเจ้าคะ"
ใบหน้าของฟางเซียนนั้นเรียบเฉย เธอปรายตามองน้องสาวที่ดูสดใสและร่าเริงอยู่เสมอด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
เราเกิดห่างกันไม่กี่ปี แต่ทว่าหน้าที่ของเราช่างต่างกันลิบลับ...
"พี่ต้องไปที่อารามอันฉี ท่านแม่สั่งให้พี่นำผ้าแพรไปถวายแม่ชีที่นั่น"
"อ่า ช่างน่าเสียดายยิ่ง เช่นนั้นข้าจะซื้อผลไม้อบแห้งที่พี่ชอบมาให้นะเจ้าคะ"
"อื้ม ฟางฟรงของพี่นั้นรู้ใจพี่ที่สุดเลยสินะ"
เสนาบดีฝูคือชายผู้มีความทะเยอทะยาน เขาก้าวขึ้นมาเป็นเสนาบดีได้ไม่ใช่เพราะว่าโชคดี แต่นี่คือความสามารถล้วนๆ
สิ่งใดเล่าที่เขาต้องการ เขาจะต้องคว้ามาให้ได้...
เขามีลูกสาวคนโตเป็นดั่งหน้าตาของวงศ์ตระกูล มีลูกสาวคนเล็กที่น่ารักและซุกซนสร้างเสียงหัวเราะให้จวนอยู่เสมอ...
อีกทั้งสินสอดของฟางหรงยังถูกส่งมาจากจวนแม่ทัพหนิง การเกี่ยวดองครั้งนี้เกิดจากความรักของเด็กทั้งสองก็จริงแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขานั้นได้ประโยชน์ไปเต็มๆ
แต่ทว่าทุกอย่างนั้นต้องมีความสมดุล มิเช่นนั้นการยิ่งใหญ่เกินหน้าเกินตาจักนำภัยมาสู่ตัว ฟางเซียนนั้นถือเป็นหน้าเป็นตา เป็นสตรีที่งดงามหมดจด เป็นที่หมายตาของตระกลูต่างๆทั่วทั้งเมืองหลวง จดหมายสู่ขอนั้นถูกส่งมาที่จวนตระกูลฝูไม่เว้นแต่ละวัน จะว่าไปฟางเซียนก็พ้นวัยปักปิ่นมานานแล้ว สมควรอย่างยิ่งที่เขาจะหาบุรุษสักคนที่จะมาถ่วงสมดุลในครั้งนี้...
พอมองกลับไปกลับมา ฝูเกอก็มองเห็นจวนอ๋องไป๋ที่น่าสนใจมากทีเดียว มีข่าวลือว่าท่านอ๋องนั้นไร้ไมตรีเป็นบุรุษที่ชอบเก็บตัวเงียบ
ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด...นี่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของฟางเซียน
มิเช่นนั้น นางจะต้องถูกบังคับให้เป็นสนมปลายแถวของฝ่าบาทเป็นแน่ นั่นก็เพื่อลดทอนอำนาจของตระกลูฝู
คิดได้ดังนั้นฝูเกอจึงร่อนจดหมายยืนข้อเสนอการแต่งงานให้ไป๋อ๋องทันที
........
"หน้าตาของคุณหนูนั้นงดงามแต่ทว่าเหตุใดถึงดูอมทุกข์เช่นนั้นเล่า"
ฟางเซียนส่งยิ้มจางๆให้แม่ชีที่อารามอันฉี
"คงจะเป็นเพราะว่าในชีวิตของข้า มิสามารถหาสิ่งที่เรียกว่าความสุขพบเจอเลยเจ้าค่ะแม่ชี"
"คุณหนูนั้นเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ชาติตระกูลที่สูงส่ง..."
"เพราะเป็นแบบนั้น ชีวิตของข้าจึงไม่เคยพบเจอความสุขเลย หากว่ามีปีกก็ดีสิ ข้าจะได้โปยบินหลบหนีออกจากกรงทองนี้ไปสักที"
แม่ชีส่งผ้าเช็ดหน้าให้ฟางเซียน นางหยิบออกมากางดูก็พบว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ปักรูปนกเอาไว้ เป็นนกที่กำลังโบยบินอยู่ในท้องนภาอันแสนกว้างใหญ่
"มีคำกล่าวว่าคนเราเกิดมานั้น ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา เลือดเนื้อเป็นของบิดามารดา ร่างกายเป็นของฟ้าดินที่ยืมมาใช้และสักวันหนึ่งจำต้องส่งคืน ในเมื่อไม่มีสิ่งใดเป็นของเราแล้วเหตุใดถึงยังยึดติดเล่า...ปีกที่งดงามจะงอกขึ้นมาบนความเจ็บปวด..."
"....แต่ทว่าบนความเจ็บปวดนั้นยังมีความหวาดกลัวปะปนอยู่ด้วย"
"เช่นนั้นต้องถามว่าท่านหวาดกลัวต่อสิ่งใด นกที่หัดบินในครั้งแรกย่อมหวาดกลัวว่าจะตกลงมา แต่ทว่ามันก็ต้องโบยบินเพราะว่านั่นคือสัญชาตญาณ ความอดทนทุกคนย่อมมีจำกัดและเมื่อมันหมดลง คราวนี้ต้องถามตัวคุณหนูแล้วว่าท่านจะเลือกทางใด"
ฟางเซียนอายุสิบแปดปี และในสิบแปดปีนี้ เธอถูกบังคับให้ร่ำเรียนอย่างหนัก ในขณะที่เธอมองออกมานอกหน้าต่างห้องเรียน เธอเห็นฟางหรงกำลังวิ่งเล่น นางสามารถปีนกำแพงออกไปด้านนอกได้โดยไม่หวาดกลัวสิ่งใด ท่านพ่อท่านแม่นั้นด่านางจนเริ่มเอือมระอา และเลิกด่าว่าไปเอง
ฟางหรงจึงมีอิสระ ไม่ใช่เพราะว่านางไม่เชื่อฟังท่านพ่อท่านแม่แต่เพราะว่านางไม่หวาดกลัว...
ภาระหน้าที่ทุกอย่างจึงตกลงมาที่เธอ กดดันมาที่เธอ...
ต้องดีที่สุด ต้องเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูล ต้องเป็นที่หนึ่งในทุกๆด้าน...
ฟางเซียนหลับตาลงช้าๆ
บางทีเธอเองก็ควรจะเลิกหวาดกลัวสักที