1.นกน้อยที่อยากเริ่มหัดบิน

1444 Words
ดอกเหมยที่แสนงดงามกำลังผลิดอก นั่นหมายถึงเหมันต์ฤดูกำลังจะลาลับ ดรุณีน้อยยืนอยู่ใต้ต้นดอกเหมยที่บานสะพรั่ง ใบหน้าที่แสนงดงามนั้นกำลังขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อเนื่องจากอากาศที่เหน็บหนาว มือของฟางหรงนั้นถือถุงหอมที่เธอบรรจงปักมันขึ้นมาเพื่อรอคอย...สิ่งที่เรียกว่าคำมั่นสัญญา เนื่องจากเกิดเป็นลูกสาวคนรองจึงมิต้องทำตัวอยู่ในระเบียบมากเท่าไหร่นัก ฟางหรงจึงมักปีนกำแพงจวนเสนาบดีฝูออกมาเที่ยวเล่นเป็นประจำ และนิสัยที่ซุกซนของฟางหรง นั่นทำให้นางพบเจอกับหนิงหลง.... "เจ้ามาช้า!!" "...ขอโทษด้วยฟางหรง ข้ามัวแต่ไปรอคิวซื้อแป้งทอดร้านของป้าจางมาให้เจ้า" "อ่า นี่เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร ถึงได้เอาของกินเช่นนี้มาล่อ คาดหวังให้ข้ายกโทษให้อย่างนั้นหรือ" กลีบดอกเหมยนั้นโปรยปรายลงมาพร้อมกับหิมะที่ตกลงมาจางๆ หนิงหลงหยิบกลีบดอกเหมยที่ติดอยู่บนผมของฟางหรงออกอย่างแผ่วเบา นางเป็นสตรีที่ไม่สมเป็นสตรีสักเท่าไหร่ แต่ทว่านั่นกลับทำให้เราเข้ากันได้อย่างประหลาด เพราะเขาคือลูกชายคนเดียวของแม่ทัพหนิง เรารู้จักกันตั้งแต่เขาอายุได้สิบสอง ส่วนฟางหรงสิบขวบ วันนั้นเขายังจำได้ดีว่าเขาเป็นคนไปช่วยเธอออกมาจากกลุ่มนักเลงที่กำลังตีกัน ฟางหรงเป็นสตรีที่ยกพวกตีกันกับพวกนักเลงท้ายตลาด...หากเขาไม่เห็นกับสายตาว่านางคือบุตรีคนรองของจวนเสนาบดี หนิงหลงไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดเลย และฟางหรงที่ยกพวกตีกับนักเลงในวันนั้น คือสตรีที่เติบโตขึ้นมาอย่างงดงามในวันนี้...ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจวนเสนาบดีนั้นขึ้นชื่อเรื่องการมีใบหน้าที่โดดเด่นมากทีเดียว ฟางหรงเองก็คือสตรีวัยสิบเจ็ดปีที่งดงามจับสายตา เธอส่งถุงหอมในมือให้หนิงหลง พร้อมกับรับห่อแป้งทอดมาถอเอาไว้ "....ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะไปนานเท่าไหร่ แต่ว่าข้าจะรอนะหนิงหลง ขอเพียงเจ้ามีใจมั่นคงข้าเองก็จะมั่นคงในความรู้สึกนี้เช่นกัน" เขารับถุงหอมมาถือเอาไว้แนบอกพร้อมกับมองใบหน้าของหญิงคนรักด้วยสายตาที่แสนเจ็บปวด "เรื่องของเราทั้วทั้งเมืองหลวงต่างรับรู้ สินสอดของตระกูลหนิงถูกส่งไปไว้ที่ตระกูลฝูแล้ว ตำแหน่งนายหญิงของจวนแม่ทัพนั้นเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว" เขาเป็นแม่ทัพและตอนนี้กำลังมีศึกสงครามอยู่ชายแดน เป็นสงครามที่ยืดเยื้อมานานจนไม่อาจจะตัดสินผู้แพ้ผู้ชนะ เขาจำเป็นที่จะต้องไปช่วยท่านพ่อออกรบ และนี่คือการออกรบครั้งแรกของเขาในฐานะแม่ทัพ เขามั่นใจว่าจะคว้าชัยชนะมาให้ฟางหรงได้อย่างแน่นอน "รอข้า" ฟางหรงยืนมองหติงหลงเดินจากไปจนลับสายตา อากาศวันนี้ดูเหมือนจะหนาวเย็นมากกว่าเดิมเมื่อเขาเดินจากไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ หยาดน้ำตาพลันจะไหลออกมาแต่ทว่านั่นคือสิ่งต้องห้าม...ห้ามส่งชายคนรักไปรบด้วยใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาเพราะนั่นนับว่าเป็นลางไม่ดี เธอทำได้เพียงมองเขาพร้อมกับตั้งมั่นในใจว่าจะรักษาสัญญา ....... "ไปส่งหนิงหลงมาแล้วอย่างนั้นหรือ" "เจ้าค่ะท่านพี่" ฟางหรงนั่งลงบนพื้นพร้อมกับโอบกอดพี่สาวที่กำลังปักผ้าอยู่ พี่ฟางเซียนคือพี่สาวที่เธอภูมิใจที่สุด ความงดงามก็ล้ำเลิศ มารยาทก็เพียบพร้อม คำกล่าวถึงตระกูลฝูนั้นต้องมีคำยกย่องเมื่อพี่ฟางเซียนปรากฏตัว "ช่วงนี้พี่ดูซูบผอมไปหน่อย ข้าคิดว่าเราไปหาอะไรกินในตลาดดีไหมเจ้าคะ" ใบหน้าของฟางเซียนนั้นเรียบเฉย เธอปรายตามองน้องสาวที่ดูสดใสและร่าเริงอยู่เสมอด้วยแววตาที่ว่างเปล่า เราเกิดห่างกันไม่กี่ปี แต่ทว่าหน้าที่ของเราช่างต่างกันลิบลับ... "พี่ต้องไปที่อารามอันฉี ท่านแม่สั่งให้พี่นำผ้าแพรไปถวายแม่ชีที่นั่น" "อ่า ช่างน่าเสียดายยิ่ง เช่นนั้นข้าจะซื้อผลไม้อบแห้งที่พี่ชอบมาให้นะเจ้าคะ" "อื้ม ฟางฟรงของพี่นั้นรู้ใจพี่ที่สุดเลยสินะ" เสนาบดีฝูคือชายผู้มีความทะเยอทะยาน เขาก้าวขึ้นมาเป็นเสนาบดีได้ไม่ใช่เพราะว่าโชคดี แต่นี่คือความสามารถล้วนๆ  สิ่งใดเล่าที่เขาต้องการ เขาจะต้องคว้ามาให้ได้... เขามีลูกสาวคนโตเป็นดั่งหน้าตาของวงศ์ตระกูล มีลูกสาวคนเล็กที่น่ารักและซุกซนสร้างเสียงหัวเราะให้จวนอยู่เสมอ... อีกทั้งสินสอดของฟางหรงยังถูกส่งมาจากจวนแม่ทัพหนิง การเกี่ยวดองครั้งนี้เกิดจากความรักของเด็กทั้งสองก็จริงแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขานั้นได้ประโยชน์ไปเต็มๆ แต่ทว่าทุกอย่างนั้นต้องมีความสมดุล มิเช่นนั้นการยิ่งใหญ่เกินหน้าเกินตาจักนำภัยมาสู่ตัว ฟางเซียนนั้นถือเป็นหน้าเป็นตา เป็นสตรีที่งดงามหมดจด เป็นที่หมายตาของตระกลูต่างๆทั่วทั้งเมืองหลวง จดหมายสู่ขอนั้นถูกส่งมาที่จวนตระกูลฝูไม่เว้นแต่ละวัน จะว่าไปฟางเซียนก็พ้นวัยปักปิ่นมานานแล้ว สมควรอย่างยิ่งที่เขาจะหาบุรุษสักคนที่จะมาถ่วงสมดุลในครั้งนี้... พอมองกลับไปกลับมา ฝูเกอก็มองเห็นจวนอ๋องไป๋ที่น่าสนใจมากทีเดียว มีข่าวลือว่าท่านอ๋องนั้นไร้ไมตรีเป็นบุรุษที่ชอบเก็บตัวเงียบ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด...นี่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของฟางเซียน มิเช่นนั้น นางจะต้องถูกบังคับให้เป็นสนมปลายแถวของฝ่าบาทเป็นแน่ นั่นก็เพื่อลดทอนอำนาจของตระกลูฝู คิดได้ดังนั้นฝูเกอจึงร่อนจดหมายยืนข้อเสนอการแต่งงานให้ไป๋อ๋องทันที ........ "หน้าตาของคุณหนูนั้นงดงามแต่ทว่าเหตุใดถึงดูอมทุกข์เช่นนั้นเล่า" ฟางเซียนส่งยิ้มจางๆให้แม่ชีที่อารามอันฉี "คงจะเป็นเพราะว่าในชีวิตของข้า มิสามารถหาสิ่งที่เรียกว่าความสุขพบเจอเลยเจ้าค่ะแม่ชี" "คุณหนูนั้นเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ชาติตระกูลที่สูงส่ง..." "เพราะเป็นแบบนั้น ชีวิตของข้าจึงไม่เคยพบเจอความสุขเลย หากว่ามีปีกก็ดีสิ ข้าจะได้โปยบินหลบหนีออกจากกรงทองนี้ไปสักที" แม่ชีส่งผ้าเช็ดหน้าให้ฟางเซียน นางหยิบออกมากางดูก็พบว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ปักรูปนกเอาไว้ เป็นนกที่กำลังโบยบินอยู่ในท้องนภาอันแสนกว้างใหญ่ "มีคำกล่าวว่าคนเราเกิดมานั้น ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา เลือดเนื้อเป็นของบิดามารดา ร่างกายเป็นของฟ้าดินที่ยืมมาใช้และสักวันหนึ่งจำต้องส่งคืน ในเมื่อไม่มีสิ่งใดเป็นของเราแล้วเหตุใดถึงยังยึดติดเล่า...ปีกที่งดงามจะงอกขึ้นมาบนความเจ็บปวด..." "....แต่ทว่าบนความเจ็บปวดนั้นยังมีความหวาดกลัวปะปนอยู่ด้วย" "เช่นนั้นต้องถามว่าท่านหวาดกลัวต่อสิ่งใด นกที่หัดบินในครั้งแรกย่อมหวาดกลัวว่าจะตกลงมา แต่ทว่ามันก็ต้องโบยบินเพราะว่านั่นคือสัญชาตญาณ ความอดทนทุกคนย่อมมีจำกัดและเมื่อมันหมดลง คราวนี้ต้องถามตัวคุณหนูแล้วว่าท่านจะเลือกทางใด" ฟางเซียนอายุสิบแปดปี และในสิบแปดปีนี้ เธอถูกบังคับให้ร่ำเรียนอย่างหนัก ในขณะที่เธอมองออกมานอกหน้าต่างห้องเรียน เธอเห็นฟางหรงกำลังวิ่งเล่น นางสามารถปีนกำแพงออกไปด้านนอกได้โดยไม่หวาดกลัวสิ่งใด ท่านพ่อท่านแม่นั้นด่านางจนเริ่มเอือมระอา และเลิกด่าว่าไปเอง ฟางหรงจึงมีอิสระ ไม่ใช่เพราะว่านางไม่เชื่อฟังท่านพ่อท่านแม่แต่เพราะว่านางไม่หวาดกลัว... ภาระหน้าที่ทุกอย่างจึงตกลงมาที่เธอ กดดันมาที่เธอ... ต้องดีที่สุด ต้องเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูล ต้องเป็นที่หนึ่งในทุกๆด้าน... ฟางเซียนหลับตาลงช้าๆ บางทีเธอเองก็ควรจะเลิกหวาดกลัวสักที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD