เก่าใคร....แต่ใหม่เรา

2188 Words
รถบัสสีแดงลายการ์ตูนคันโตขนาด 30 ที่นั่งที่บรรจุคนที่ล้วนแต่มีความหวังมาเต็มคันได้จอดสนิทลง   ทุกคนที่อยู่บนรถต่างก็หยิบเอกสารแสดงตัวตนและทยอยกันต่อแถวเพื่อเดินลงบันไดรถออกไปยังด้านนอก   ฉันหยิบเอกสารพร้อมกับเดินลงมาจากรถ สายตามองไปรอบๆก็เห็นว่าด่านที่ทุกคนเรียกว่า ‘ด่านนอก’ นั้น มันก็มีลักษณะเป็นลานกว้างๆ  มีป้อมอยู่หลายหลังลักษณะคล้ายๆป้อมตำรวจเล็กๆ  ในลานกว้างแบ่งเป็นสามล็อกซึ่งคนที่นี่มักจะเรียกว่า  จ็อบมอเตอร์ไซค์จ็อบรถยนต์ (สำหรับจ๊อบมอเตอร์ไซค์และจ็อบรถยนต์เป็นของคนพื้นที่ที่ผ่านเข้าออกโดยใช้ยานพาหนะ)   และจ็อบรถบัส  ส่วนที่ฉันยืนอยู่นั้นคือจ็อบรถบัสนั่นเอง   หลังจากที่ยืนต่อแถวเพื่อรอการตรวจเอกสารอยู่นานในที่สุดก็ถึงคิวของฉันสักที  ฉันเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่แต่งกายคล้ายๆกับเจ้าหน้าที่ของประเทศเรา  ฉันยิ้มและยกมือไหว้เขาพร้อมกับส่งเอกสารพาสปอร์ตให้เค้าดู เจ้าหน้าที่ถามฉันมากมายว่ามาทำอะไร  จะมาอยู่กี่วัน  มากับใครและจะพักที่ไหน ฉันที่แม้จะตกใจกับคำถามแต่ก็ไม่แปลกใจสะทีเดียวเพราะพี่ฝนได้สอนฉันมาแล้ว  พี่ฝนซ้อมตอบคำถามกับฉันเป็นสิบๆครั้งก่อนจะมา  และภาษาอังกฤษของฉันมันก็ดีพอที่จะบอกว่าฉันเป็นนักท่องเที่ยวจริงๆ  ฉันยกความดีความชอบให้กับอาชีพเมียเช่าที่ฉันเรียนรู้จากเจ้าของภาษา ฉันตอบเจ้าหน้าที่ออกไปตามคำตอบที่ฉันซ้อมมาอย่างมั่นใจทั้งที่ในใจนั้นหัวใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะเต้นเหมือนมันจะทะลุออกมา   แต่ในที่สุดฉันก็ผ่านมาได้เจ้าหน้าที่ยอมประทับตราให้ฉันผ่านเข้าประเทศมาเลเซียในสถานะนักท่องเที่ยวสักที ฉันเดินกลับมาขึ้นรถอีกครั้งและหันไปยิ้มกับพี่ฝนพี่กระแตที่นั่งคอยฉันอยู่ก่อนแล้ว ในที่สุดรถก็แล่นมาถึงจุดหมาย ‘อาโลร์เซอตาร์ (AlorSetar)’  เมืองหลวงของรัฐเกอดะฮ์ในประเทศมาเลเซีย   ฉันถือกระเป๋าเดินตามพี่ฝนและพี่กระแตเข้ามาในสถานที่อันรโหฐาน  มีโต๊ะเก้าอี้ตั้งเรียงรายเป็นจุดๆ ด้านหน้ามีเวทียกขึ้นมาจากพื้นไม่สูงมากนัก  ตรงกลางเวทีมีเสาเหล็กอยู่ห้าต้น ไม่ไกลจากเวทีนักก็มีบาร์เหล้าตั้งอยู่   ฉันยืนมองอยู่ตรงนั้นในช่วงเวลาหนึ่งแล้วพลันนึกขึ้นในใจ ‘เวทีนี้สินะที่ฉันต้องมาเต้น เสานี้สินะที่ฉันต้องมารูด’  เมื่อยืนมองอย่างพอใจแล้วฉันก็เดินตามพี่ฝนเข้ามายังห้องๆหนึ่ง ส่วนพี่กระแตเดินแยกออกไปทางด้านหลังที่พี่ฝนไม่ได้พาไป  พี่ฝนบอกว่าห้องนี้เป็นห้องของเจ้าของผับ   เจ้าของผับที่นี่ชื่อคุณ ‘เอริค’ ฉันเข้ามาในห้องพร้อมกับพี่ฝนที่เดินนำหน้า ก่อนจะเห็นผู้ชายตัวโตหน้าตาคล้ายแขกแต่ผิวไม่ถึงกับขาว  มองด้วยสายตาเขาอายุราวสามสิบห้าปีได้  เขาดูหล่อภูมิฐานสมกับอายุการที่เป็นเจ้าของธุรกิจ   เขามองมาทางฉันขณะที่พี่ฝนแนะนำฉันเป็นภาษาอังกฤษให้เขาได้รับรู้  ส่วนฉันก็ได้แต่ยกมือไหว้และยืนฟังอยู่เงียบๆ   หลังจากที่พี่ฝนคุยกับเจ้าของผับพักใหญ่ใจความว่าจะให้ฉันมาทำงานด้วยนั้น  คุณเอริคก็หันมาบอกฉันให้ถอดเสื้อผ้าออก  ฉันถึงกับตกใจในคำพูดของคุณเอริค ไม่ใช่ว่าฉันเหนียมอายต่อการถอดเสื้อผ้าต่อหน้าใคร  แต่แค่ไม่คิดว่าการจะมาเริ่มงานวันแรกสิ่งที่ต้องใช้วัดคือร่างกาย “คุณเอริคให้ถอดดูหุ่นนะ” พี่ฝนคงสังเกตเห็นว่าฉันยังตกใจจึงได้รีบบอกเหตุผล “อ๋อ!!  นุชก็แค่งงว่าทำไมอยู่ๆถึงให้ถอด”  ฉันพูดพร้อมกับขยับมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากร่างกายเหลือไว้เพียงบราเซียและอันเดอร์แว สายตาของคุณเอริคจ้องมองสัดส่วนของฉันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า  จ้องมองไปตามสัดส่วนร่างกายที่ฉันรู้ดีว่ามันสวยได้รูป  หน้าอกที่มันกลมกลึง  เอวคอดกิ่วที่มันมีลักษณะคล้ายตัวเอส  สะโพกที่พายออกจนน่าจับต้อง  ไหนจะผิวสีขาวนวลตามธรรมชาติที่เปล่งประกายยามต้องไฟ  ฉันดูแลร่างกายอย่างดีเพราะฉันต้องใช้มันในการหาเงินให้กับครอบครัว คุณเอริคมองจนพอใจก็หันไปหาพี่ฝน การมองที่ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกอับอายแม้แต่น้อย เพราะฉันคงชินชาต่อการถูกโลมเลียด้วยสายตา หรือการใช้ร่างกายต่อชายที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก เขาพูดคุยกันว่าให้ฉันเริ่มงานได้และฉันก็แต่งตัวและเดินออกจากห้องนั้นในฐานะโคโยตี้ที่ผับแห่งนี้ เดินออกมาหลังผับไม่ไกลนักก็จะเห็นห้องพักที่เป็นเหมือนห้องแถวทั่วไป   เท่าที่ฉันนับก็มีประมาณสิบห้าห้องเห็นจะได้  ข้างๆห้องพักเป็นป่ารกทึบมีหนองน้ำเป็นบริเวณกว้าง  ถัดจากหนองน้ำไปก็เป็นถนนอีกที  รอบๆบริเวณมีรั้วลวดหนามกั้นเพื่อบ่งบอกอนาเขต   มันดูน่ากลัวระดับหนึ่งก็ว่าได้ “นอนกันสามคนนะนุช  นุช พี่ แล้วก็กระแต”  พี่ฝนพูดพร้อมกับผลักประตูเข้ามาในห้อง ภายในห้องก็ห้องแถวเล็กๆทั่วไปจริงๆ “สบายพี่  นุชนอนได้” “พรุ่งนี้เริ่มงานนะ  วันนี้ก็ไปดูพวกพี่เต้นกันก่อน”  ฉันพยักหน้ารับพี่ฝน “เรียนรู้แล้วจำ  ทำได้อยู่แล้ว!!” “จัดของเสร็จแล้วก็พักผ่อนนะ  ...คืนนี้อีกยาว”  พี่กระแตที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่หันมาพูดกับฉันเสริมจากพี่ฝน   “ค่ะพี่”    ยามเย็นหลังจากที่ฉันจัดของเสร็จ  ฉันไม่รู้ว่าจะทำอะไรก็ออกมานั่งด้านหลังของห้องพัก  นั่งมองไปแถวนี้ก็น่ากลัวอยู่นะทำไมเจ้าของผับไม่ยอมกำจัดหญ้ารกทึบนั่นออก  เขาไม่กลัวว่าสัตว์ร้ายจะมาทำร้ายเด็กในร้านเหรอ   เขาไม่กลัวโจรแอบมาปล้นข้าวของในร้านเหรอ  และเขาไม่กลัววัยรุ่นมามั่วสุมยาเสพติดเลยใช่ไหม ฉันได้แต่แอบสงสัยและเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ ++++++++ ฉันจ้องมองตัวเองในกระจกใสบานใหญ่ของห้องที่ใช้แต่งตัว  กับร่างกายที่มีเพียงบราเซียร์และอันเดอร์แวสีดำตัดกับสีผิวขาวนวล   ฉันบรรจงสวมใส่มันอย่างละเมียดละไมบนเรือนร่างที่บัดนี้ได้ชื่อว่า ‘โคโยตี้’  ชั้นในสีดำที่มันดันทรวดทรงขนาดโตของฉันขึ้นมาให้มันดูเร่าร้อนกว่าเดิม   ฉันรู้ดีว่าร่างกายของฉันสวยและมันเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนที่มองเห็นต้องหลงใหลไปกับร่างกายของฉันอย่างแน่นอน   รองเท้าคัทชูส้นแหลมสีแดงสดรับกับสีปากที่บรรจงทา สีดำและแดงบนร่างกายที่ฉันมั่นใจว่าจะหาเม็ดเงินให้กับฉันได้   จ้องมองไปยังกระจกเงาและยิ้มให้กับตัวเองเพื่อสร้างกำลังใจ   วันนี้เป็นวันที่ฉันจะได้เริ่มงานวันแรก   งานที่ฉันไม่จำเป็นต้องสนว่าใครจะคิดยังไง...เพราะฉันไม่เคยขอเงินหรือข้าวจากคนเหล่านั้นกิน บนเวทีที่มีเสาสีเงินตั้งตระหง่านอยู่นั้น   มีสาวงามมากมายคอยสลับกันขึ้นมาเต้นเพื่อทำหน้าที่ให้ความบันเทิงแก่แขกผู้มาเยือนในทุกค่ำคืน   ฉันที่แม้จะเคยผ่านการทำงานที่ใช้เรือนร่างมาแล้วแต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นเด็กใหม่  เหมือนกับที่หลายๆคนชอบบอก ‘เก่าใคร....แต่ใหม่เรา’ ฉันยืนมองรุ่นพี่อยู่ด้านหลังเวทีด้วยใจหวาดหวั่นเล็กน้อย    คอยเก็บรายละเอียดแอบจำท่าเต้นแอบมโนความคิดตามว่าถ้าฉันจะเต้นแบบไหนถึงจะดูเซ็กซี่ที่สุด   รอคอยเวลาเมื่อใกล้จะถึงคิวตัวเอง  ฉันได้เต้นในชุดที่สี่ซึ่งในแต่ละคืนนักเต้นจะขึ้นเต้นทั้งหมดห้าชุด...แต่ละชุดจะขึ้นห้าคน   ที่ฉันต้องขึ้นเต้นในชุดที่สี่นั้นเป็นเพราะฉันเป็นเด็กใหม่เด็กที่เขาเก็บเอาไว้โชว์เพื่อเรียกแขกนั่นเอง   “พร้อมแล้วนะนุช  อย่าไปเกร็ง  คิดสะว่าเรากำลังเต้นเพื่อสนุกอย่าไปกดดันกับมัน”  มือที่เข้ามาจับไหล่พร้อมๆกับเสียงพูดทำให้ฉันรับรู้ได้ในทันทีว่านี่คือพี่ฝน “สั่นเนี้ยพี่  ขาสั่นไปหมดแล้ว ”ฉันที่ตอนนี้ใจเต้นระรัวดั่งกลองรบ ขาที่มันไม่รักดีก็สั่นสะท้านเสียจนคนสังเกตได้  “สั่นอะไร   สั่นสู้สิ  ฮ่าๆๆๆๆ”   เสียงหัวเราะที่ดังไม่ได้ทำให้ขาของฉันสั่นน้อยลงเลยแต่กลับยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก   “พี่ฝนอ่ะ!!  อย่าล้อสิเห็นไหมสั่นไม่หยุดแล้วเนี้ย”  ขาเจ้ากรรมนี่ก็สั่นจังสั่นหงึกหงักอยู่ได้สั่นจนฉันชักจะรำคาญมันละสิ “ชุดที่สี่ขึ้นเลย...ถึงรอบแล้ว”  ก่อนที่พี่ฝนจะแซวฉันต่อไป  พี่ที่คอยจัดคิวก็เรียกฉันขึ้นไปก่อนแล้ว ฉันเดินขึ้นบนเวทีแสดงสีหน้าที่คิดว่ามั่นใจและเซ็กซี่ที่สุดแม้ในใจจะตรงกันข้ามก็ตาม   แต่ละคนเข้าจับจองเสาซึ่งฉันได้เสาตรงกลาง  ‘อีนุชทำได้ สู้โว้ยอีนุช’  ฉันคิดในใจเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง เสียงเพลงที่ดังขับขานดนตรีที่เป็นจังหวะเข้ามาสู่โสตประสาทของฉัน   ฉันเริ่มยิ้มและกวาดสายตาช้าๆมองไปยังแขกเพื่อเป็นการยั่วยวน    หนึ่งมือจับมั่นไปที่เสาอีกหนึ่งมือสยายนิ้วเรียวยาวกรีดกรายลงบนใบหน้าและเรือนร่าง   สะโพกงามโยกย้ายเล่นกับเสามันงามไปตามเสียงเพลง   สองขาที่มันเคยสั่นเทาบัดนี้ได้กลายเป็นม้าคะนองที่กำลังพาเรือนร่างระหงส์เดินย่างกรายบนเวทีอย่างไม่นึกหวาดกลัว    เสาสีเงิน            ตั้งตระหง่าน       อยู่เบื้องหน้า     คอยเรียกหา       สาวงาม  มาถูไถ ฉันคนหนึ่ง         ที่ตอนนี้             ก้าวเดินไป                  แต่ไฉน  ขาฉัน               จึงสั่นเทา โอ้วไอ้ขา            เจ้ากรรม           สั่นหงึกหงัก         ฉันชะงัก ก้มมอง  เห็นไหวไหว มึงจะสั่น            ทำห่า                เหวอะไร                      ไม่เข้าใจ            ขาเจ้ากรรม        ไม่รักดี แต่พอจับ           เสาได้               ก็เด้าเพิ่ม                สะโพกเริ่ม         ขยับ                 ไปซ้ายขวา หนุ่มน้อยใหญ่ พอเห็น      น้ำลายมา            นี่แหละหนา          ชีวิต                บนเสาเงิน ฉันทำทุกอย่างเต้นทุกท่าที่คิดว่ามันจะยั่วยวน   และในที่สุดสิ่งที่ฉันทำมันก็เกิดผลเมื่อเหล่านักล่านำทิปมาให้ฉันมากมายกว่าที่คาดการณ์เอาไว้  แต่จะว่าเอามาให้ก็คงจะไม่ถูกมากนักเมื่อการนำมาให้ของคนเหล่านั้นต้องได้ซึ่งการตอบแทบจากเรือนกายของฉัน  การจับต้องสัมผัสหยัดเงินกับซอกอกและชุดชั้นในตัวน้อยที่ล่อแหลม เมื่อเพลงจบลงฉันเดินลงจากเวทีด้วยรอยยิ้มพร้อมกับต้องตกใจกับเสียงปรบมือและเสียงโห่แซวของคนด้านหน้า   เสียงร้องของการขึ้นเวทีของดาวเด่นที่จะต้องโชว์เป็นชุดสุดท้าย   พี่ฝนเคยบอกว่าได้ทิปเยอะมากมากกว่าคนอื่นที่ทำงานเลย  ความคิดของฉันก็โลดแล่นในทันทีกับสิ่งที่มองเห็น ‘เมื่อไหร่นะที่ฉันจะได้เป็นดาว’   หลังจากที่ลงจากเวทีพี่ฝนก็บอกให้ฉันไปหานั่งโต๊ะกับแขก เลือกโต๊ะที่ไม่มีผู้หญิงนั่งอยู่ แน่นอนว่าฉันไปทั้งที่ร่างกายมีแค่เศษเสื้อผ้าปกปิดร่างกายเท่านั้น  โคโยตี้ทุกคนในร้านก็ทำแบบนั้น และฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกอะไร การนั่งกับแขกทำให้ได้ทิปเยอะมาก  แต่ทิปก็แลกมาซึ่งเรือนร่างที่ยอมให้เขาจับต้องตามแต่ใจต้องการ ในวันแรกฉันก็ถูกแขกจูบและซุกไซร้ไปตามร่างกายประหนึ่งว่าที่นี้คือห้องนอนก็เป็นได้ แต่ก็ได้มาซึ่งทิปที่งดงาม   บางครั้งก็โดนยัดทิปกับร่องอกหรือซอกกางเกงใน  แต่ก็ช่างเถอะ!! ไม่ว่ามันจะให้เงินทางไหนมันก็คือเงินที่เป็นตัวแปรของการมาครั้งนี้ของฉัน  แค่ได้เงินแค่นั้นก็พอแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD