บท 4

3976 Words
04 ตื่นเช้ามาผมก็พบว่าโทรศัพท์ตัวเองหายไป... ผมเดินหาโทรศัพท์ตัวเองทั่วบ้านด้วยงุนงง เมื่อคืนก็ชาร์ตแบตไว้ข้างหัวเตียงนี่แล้วมันหายไปไหน? ผมเดินหาจนทั่วบ้าน แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ จนแม่ตองออกปากถามว่าผมหาอะไร “ครามหาโทรศัพท์ตัวเองไม่เจอครับ เมื่อคืนจำได้ว่าชาร์ตเอาไว้ แต่ตื่นมาก็ไม่เจอแล้ว” “เราลืมที่ไหนหรือเปล่า” “ไม่นะครับ ครามจำแม่นเลยว่าชาร์ตแบตเอาไว้” “งั้นเดี๋ยวแม่ลองโทรเข้าให้” แม่ตองว่าก่อนจะโทรเข้าเครื่องผม เพื่อช่วยหาโทรศัพท์อีกแรง แต่ทว่าโทรศัพท์ของผมกลับขึ้นว่าฝากหมายเลขโทรกลับ “เอ๋...ของมันอยู่ในบ้านแท้ ๆ จะหายไปได้ยังไง” แม่ตองว่า “นั่นสิครับ” ผมตอบแต่แอบสงสัยพี่เขต จริง ๆ ผมก็ไม่มีหลักฐานไปกล่าวหาพี่เขาหรอก แต่พี่เขาน่าสงสัยที่สุดในบ้านแล้ว อาจเป็นคนเข้ามาหยิบโทรศัพท์ผมไปก็ได้ แต่ตอนนี้จะไปถามก็ไม่ได้อีก เพราะพี่เขตออกไปทำธุระพร้อมกับพ่อศักดิ์ตั้งแต่เช้าแล้ว คงต้องรอให้พี่เขากลับมาก่อน สรุปเกือบครึ่งวันผมใช้เวลาว่างในการหาโทรศัพท์ตัวเองแทนที่จะเอาเวลาไปทำอย่างอื่น ยิ่งหาไม่เจอผมยิ่งอารมณ์คล้าย ๆ กับอาการคนหัวร้อน วางไว้ในห้องแท้ ๆ มันจะหายไปไหนได้ จนกระทั่งสองคนนั้นกลับมา ผมก็รีบไปยืนรอพี่เขต จ้องเขม็งมองประตู กอดอกอย่างตั้งท่า “มองหน้าฉันทำไม จะหาเรื่องเหรอ” “พี่เขตเห็นโทรศัพท์ผมไหม” ผมเอ่ยปากถามพี่เขาทันที “โทรศัพท์? ของตัวเองแท้ ๆ มาถามหาจากคนอื่นได้ไง” “ก็เผื่อพี่เขตเอาไป” “ไหนหลักฐาน?” “.....” “เอามาให้ดูดิ” “ไม่มี” ผมตอบเสียงห้วน “ไม่มีหลักฐานแล้วมากล่าวหาคนอื่นได้ยังไงครับคุณน้อง” “ก็พี่เขตน่าสงสัยสุดแล้ว” “ก็ไม่ได้แปลว่าฉันจะเอาไปนี่ ไม่มีหลักฐานอะไรด้วยไม่ใช่เหรอ” คราวนี้ผมเถียงพี่เขาไม่ออก แต่จะเป็นใครถ้าไม่ใช่พี่เ­ขา ตอนนี้ผมโมโหจนอยากจะร้องไห้ แต่ก็ต้องอดทนไว้ ไม่เป็นไร....ถ้าพี่เขตไม่ได้เอาไปจริง ๆ ผมลองหาดูอีกรอบก็ได้ “ฉันไม่อยากเถียงกับเด็กแบบนายแล้ว เสียเวลา” พี่เขตพูด ก่อนจะเดินเลี่ยงผมหนีขึ้นห้องตัวเอง พ่อศักดิ์ที่เพิ่งเข้ามาในบ้านก็ได้มองเราสองคนสลับไปมา ผมจึงทำได้แค่ส่งยิ้มให้ แล้วลองเดินหาโทรศัพท์ตัวเองอีกรอบพร้อมกับยืมโทรศัพท์แม่ พยายามต่อสายเข้าเครื่องตัวเองด้วย หลังจากหาชั้นล่างจนมั่นใจแล้วว่ามันไม่มีแน่ ๆ ผมก็กลับขึ้นมาบนห้องนอนของตัวเองและหาซ้ำอีกรอบ ตอนมั่นใจว่าหายรอบแรกผมก็ลองก้มมองใต้เตียงแล้ว เผื่อมันตกลงไป แต่ก็ไม่พบเลยนอกจากสายชาร์ตแบตที่เสียบคาไว้ แต่โทรศัพท์ไม่อยู่แล้ว ผมชะงักไปครู่เมื่อเห็นวัตถุสี่เหลี่ยมน่าสงสัยว่าอาจเป็นโทรศัพท์ผมวางไว้อยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ ผมไม่รอช้ารีบสาวเท้าเดินไปพิสูจน์ทันที แล้วก็พบว่ามันเป็นโทรศัพท์ของผมจริง ๆ ผมหายใจอย่างโล่งอกที่มันไม่ได้หายไปไหน โทรศัพท์ที่ผมอุตส่าห์ตามหามันตั้งแต่เช้า แต่กลับถูกวางไว้โง่ ๆ อยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ... คราวนี้มันไม่เหมือนเดิม มันมาพร้อมกับฟิลม์กระจกใหม่เอี่ยมอ่องไร้รอยร้าว มิหนำซ้ำข้อความช็อตโน้ตเอาไว้สั้น ๆ แต่กลับทำให้ผมหายโมโหเป็นปลิดทิ้ง ‘ขอโทษ’ พี่เขาขอโทษแล้ว แล้วใครจะโกรธลง วันไปโรงเรียนของผมเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งและพี่เขาก็ไปส่งผมเหมือนเดิม กลายเป็นว่าหน้าที่นี้เป็นของพี่เขตไปเรียบร้อย เราไม่ได้พูดถึงโทรศัพท์เจ้าปัญหาของผมอีก ตลอดระหว่างทางไปโรงเรียนพี่เขาก็ไม่ได้ชวนคุย ผมเองก็เช่นกัน เราต่างฝ่ายต่างเงียบ พี่เขตขับรถไป ผมก็มองข้างทางไปเรื่อย ผมเอาก็อยากขอบคุณพี่เขาเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีความกล้าพอจะเรียกว่าอายก็คงไม่ผิดอะไร อีกใจหนึ่งกลัวพี่ทำมึน ทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก เหมือนความสัมพันธ์ของเราดีขึ้นอย่างช้า ๆ อย่างที่ต้นหลิวเคยพูดกับผม ปล่อยให้เวลาทำงานไป ผมอธิบายไม่ถูกเหมือนกันแต่รู้สึกว่ามันกำลังเป็นเช่นนั้น เราไม่ได้เถียงกันเหมือนช่วงแรก ๆ ที่พี่เขตย้ายกลับมา แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีซะทีเดียว “ตั้งใจเรียนแล้วกัน ค่าเทอมมันแพง” พี่เขาว่าเมื่อรถมาจอดที่หน้าโรงเรียนแล้ว ผมได้แต่มองหน้าพี่เขตอย่างเอือม ๆ แค่บอกว่าตั้งใจเรียนนะครับไม่เห็นจะยาก แต่ก็อย่างว่าแหละ ถ้าพูดดี ๆ ก็คงไม่ใช่พี่เขต ดีไม่ดีกรุงเทพอาจฝนตกหนักด้วยซ้ำ “งั้นพี่เขตก็ตั้งใจทำงานแล้วกัน ค่าแอร์มันแพง” ผมพูดใส่อารมณ์แบบประตูรถใส่พี่เขาอย่างอารมณ์เสีย ตอนแรกก็อยากจะอวยพรให้พี่เขาไปทำงานดี ๆ อยู่หรอก เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่พี่เขตจะได้ทำงานเต็มตัว แต่ผมหมดอารมณ์อยากพูดดี ๆ กับพี่เขา ตั้งแต่ที่พี่เขาพูดด้วยแล้ว คนอะไร ชอบทำให้เสียบรรยากาศตลอด “ไอ้คราม!” “เออ ว่าไง เรียกเสียงดังเชียว” ผมทักทายเพื่อนต่างห้องอย่างไอ้แฟรงค์นักบาสดีเด่นประจำโรงเรียนหลังเดินผ่านสนามบาสเตรียมขึ้นตึกเรียน “มึงเดินมานี่ดิ กูมีเรื่องจะสอบถาม” มันกวักมือเรียกผม ผมได้แต่ทำหน้างงแต่ก็ยอมเดินไปหามัน นึกสงสัยว่ามันมีเรื่องอะไรจะมาคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่างผม มันเปิดโทรศัพท์ตัวเองแล้วยื่นมาให้ผมดู “คนนี้มึงรู้จักปะ” มันถาม ขณะเดียวกันผมก็ขยายหน้าจอดูสิ่งที่มันอย่างผมเห็นอย่างชัด ๆ ผมหายใจติดขัดในทันทีเมื่อเห็นรูปพี่เขตเด่นหราเต็มหน้าจอ “ว่าไงรู้จักพี่เขาปะ” ไอ้แฟรงค์ถามย้ำ “เออ พี่กูเอง ทำไมวะ” “งั้นมึงมาดูนี่” มันดึงโทรศัพท์ออกจากมือผม กดยุกยิก ๆ แล้วยื่นกลับมาให้อีกรอบที่สองเป็นข้อความสนทนากันผ่านเฟซบุ๊กระหว่างมันกับพี่เขต ผมได้แต่อ่านข้อความอย่างใจระทึก ได้คำว่า พี่เขตเล่นงานผมแล้ว ดังก้องอยู่ในหัว สองคนนี้ไม่มีทางรู้จักกันแน่ ๆ ผมมั่นใจมาก แต่ทำไมทั้งคู่ถึงได้คุยกันล่ะ? เนื้อหาในข้อความไม่มีอะไรมาก นอกจากพี่เขตบอกให้ไอ้แฟรงค์เลิกยุ่งกับผม ไม่มีโอกาสอะไรเถือกนั้นซึ่งทำเอางงไปหมด อะไร ยังไงกันแน่ “กูงงว่ะ อะไรเนี่ย” ผมว่า “มึงจำสงกรานต์ปีก่อนได้ปะล่ะ” “อืม จำได้” “นั่นแหละ พี่มึงมากดไลก์รูปที่เพื่อนแท็กตอนกูเมาแล้วหอมแก้มมึง สักพักพี่มึงก็ทักมาหากู” “.....” ผมนิ่งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น จริง ๆ สงกรานต์ปีก่อนตอนแฟรงค์หอมแก้มผม มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเหนือการควบคุม วันสุดท้ายของเทศกาลผมจำได้แม่นว่ามันเมาแล้วคว้าคอผมไปหอมแก้ม เพราะคิดว่าผมเป็นแฟนของมัน ไอ้พวกเพื่อนที่ไปด้วยกันก็ดันถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซะเลย นี่แสดงว่าพี่เขาต้องขุดเฟซบุ๊กผมแน่ ๆ เพราะรูปนั้นมันนานมากแล้ว “เขาเป็นแฟนมึงเหรอวะ” “แฟนบ้าไร นี่พี่ชายกู” ผมว่า “แม่งโคตรหวง กูก็นึกว่าแฟน มีการบอกกูด้วยอะว่าอย่าหวังเลย ไม่มีโอกาสหรอก กูก็งงไปดิ” “เออ กูขอโทษแทนพี่กูด้วยกัน พี่แกไปเรียนมาเพิ่งกลับไทยอะ เลยไม่ได้รู้จักเพื่อนน้องสักคน” ผมได้แต่ขอโทษไอ้แฟรงค์แทนพี่เขต พี่เขตนี่ชักจะก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของผมมากเกินไปแล้ว เขาลืมไปแล้วหรือไงว่าเราไม่ได้สนิทกัน! “เป็นไรอะ ทำไมขึ้นมาช้า” “คุยกับไอ้แฟรค์อยู่” “แฟรงค์ห้องสองอะนะ” “อืม...มันเจอพี่เขตแผลงฤทธิ์ใส่” เมื่อผมว่าเช่นนั้น ต้นหลิวจึงมองหน้าผมอย่างงง ๆ ผมจึงอธิบาย ขยายความให้เธอฟังต่อ “ก็พี่เขตทักไปหามันอะดิ” “อ้าว ทำไมล่ะ” “ไปเจอรูปเก่าที่ไอ้แฟรงค์หอมแก้มเรา พี่เขาก็เลยทักไปหามันบอกให้เรื่องยุ่งกับเรา” ผมว่าอย่างอารมณ์เสีย ในขณะเดียวกันก็พิมพ์ไลน์ทักไปหาพี่เขาด้วย เรื่องนี้เราต้องคุยกัน ผมจะปล่อยเฉยไม่ได้ แต่พี่เขากลับตอบกลับมาสั้น ๆ เหมือนจะรู้อยู่แล้วว่า ค่อยคุยกันที่บ้าน “สงสัยพี่เขาหวงน้องมั้ง” “หวงไรล่ะ พี่เขายังบอกอยู่ว่าไม่อยากมีน้อง” เรียกได้ว่าผมรอเวลาให้ถึงช่วงเลิกเรียนไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ อยากจะถามพี่เขตให้หายข้องใจว่านึกยังไงถึงได้ทำแบบนั้น ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมอยากเจอหน้าพี่เขต อยากให้พี่เขตเป็นคนมารับจนกระทั่งวันนี้ “ไปคุยกันที่บ้าน” ขึ้นมาบนรถได้ไม่ถึงนาที พี่เขตก็พูดดักราวกับรู้ว่าผมจะพูดเรื่องอะไร “คุยกันในนี้ไม่ได้เหรอ” “ไม่ได้ ไม่เห็นเหรอว่าขับรถอยู่” เขาว่าพร้อมกับคลายเนกไทด้วยมือข้างเดียว “งั้นแสดงว่าพี่เขตอยากให้พ่อแม่รู้เรื่องนี้ด้วยงั้นสิ” ผมถามต่อ บอกเลยว่าถ้าคุยในบ้าน จะไม่ใช่การคุยแบบซุบซิบ รู้กันแค่สองคนแน่นอน เพราะผมจะเอาไปฟ้องแม่ตอง เหมือนที่พี่เขาทำบ้าง “งั้นมีเรื่องอะไรก็รีบพูดมา” “พี่เขตทำแบบนั้นทำไม มายุ่งไรกับเพื่อนผม” ผมเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม เมื่อพี่เขาต้องการเช่นนั้น ปากร้ายกับผมไม่พอ นี่ตั้งใจจะไม่ให้ผมมีเพื่อนเลยหรือไง ถึงได้บอกให้แฟรงค์เลิกยุ่งกับผม “เป็นแค่เพื่อนแล้วทำไมจะยุ่งไม่ได้” “ก็เป็นเพื่อนไงถึงยุ่งไม่ได้ พี่เขตนี่ทำเกินไปแล้วนะ” “ตัวเองก็ทำเกินไปเหมือนกัน” “อะไรของพี่ ผมงงไปหมดแล้วนะ” “ปล่อยให้ผู้ชายหอมแก้มมันใช้ได้ที่ไหนกัน ถ้าญาติเรามาเห็นเขาจะรู้สึกยังไง เคยคิดบ้างไหมว่ามันสมควรหรือเปล่า” “แต่เราเป็นผู้ชายทั้งคู่แล้วนั่นก็ไม่ใช่ความตั้งใจด้วย เพื่อนก็แค่ถ่ายรูปกันเล่น ๆ เอง” ผมเถียง เอาจริง ๆ ผมเองก็ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของพี่เขาเท่าไรนัก “งั้นถ้าฉันถ่ายรูปหอมแก้มนายบ้าง ก็ไม่เป็นไรงั้นสิ” “เป็น! พี่จะบ้าเหรอ จะทำอย่างนั้นได้ไงทุกคนก็ต่างรับรู้กันหมดแล้วว่าเราเป็นพี่น้องกัน ถึงพี่จะไม่ยอมรับผมก็เถอะ แต่เขาก็รับรู้กันหมดว่าเราเป็นพี่น้อง ต่อให้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็ตาม” “ทำได้ดิ ขนาดเพื่อนกันยังหอมแก้มกันได้ คนอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกันก็ทำได้เหมือนกันล่ะวะ” “ไม่ได้! มันไม่เหมาะ” “งั้นแสดงว่าหอมแก้มกับเพื่อนเหมาะมาก?” พี่เขาย้อนถาม “ถ้าคิดว่าเหมาะมากหรือคิดว่าฉันเถียงเพื่อเอาชนะนาย ก็ลองถามแม่ก็ได้นะ ว่าระหว่างเพื่อนหอมแก้ม กับพี่น้องหอมแก้มกันอันไหนเหมาะสมมากกว่ากัน” “เอาล่ะ.....” ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งหลัก ดูเหมือนเมื่อครู่ เราจะผิดประเด็นกันไปนิดหน่อย “ที่พี่ทำแบบนี้ก็เพราะรูปไอ้แฟรงค์หอมแก้มผมใช่ไหม งั้นแสดงว่าถ้าลบออกทุกอย่างจะจบใช่ไหม” “ไม่จบ” “พี่เขตต้องการอะไร พี่ก็แค่เอาประเด็นเรื่องความไม่เหมาะสมมาบังหน้าอะ ผมรู้นะว่าจริง ๆ แล้วที่พี่ทำแบบนั้น เพราะอยากไม่ให้ผมมีสังคม” มันจะมีเหตุผลไหนอีก ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ “อย่าไร้สาระ” “งั้นก็ตอบมาดิว่าเพราะอะไร” “.....” “พี่แม่ง...” ผมหมดคำจะพูดกับพี่เขาจริง ๆ การกระทำของพี่เขตทำเอาผมสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าพี่เขาต้องการอะไรกันแน่ ปั่นหัวผมสนุกมากนักหรือไง “ไม่ชอบหน้ากันก็ไม่ต้องยุ่งกันดิ ผมพยายามอยู่ห่างพี่แล้ว แต่พี่ก็พยายามเข้ามายุ่งกับชีวิตผม เดี๋ยวก็ทำดีด้วย เดี๋ยวก็ด่า เดี๋ยวก็แกล้ง ชัดเจนสักอย่างไม่ได้เลยเหรอ” “.....” “ปั่นหัวคนอื่นสนุกเหรอ? ถ้าเหงามาก ว่างมากนัก ก็ไปหามีแฟนดิ อย่ามาปั่นหัวคนอื่นแบบนี้” ผมว่าก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ เมื่อรถของพี่เขตขับเข้ามาจอดในตัวบ้านพอดี ตอนนี้ผมขอบตาร้อนผ่าวไปหมด ไม่แน่ใจว่าเพราะโมโหหรือเสียใจที่โดนพี่เขาปั่นหัวแน่ เมื่อเข้ามาในบ้าน ผมก็วิ่งขึ้นห้องตัวเองโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงของแม่ตอง เรื่องนั้นผมปล่อยให้พี่เขตตอบคำถามแม่เอาเอง ผมไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่อยากกินข้าวด้วย เมื่อมาถึงชั้นสอง ผมก็ปิดประตู ล็อกห้องแล้วกระโดดขึ้นเตียง ปล่อยโฮใส่หมอนอย่างไม่อายใคร พี่เขตแม่งบ้า! เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้ายจนผมสับสนไปหมดแล้ว ตอนแรกคิดว่าพี่เขายอมรับผมให้เป็นหนึ่งในสมาชิกในบ้านแล้ว แต่เปล่าเลย...พี่เขายังเกลียดผมเหมือนเดิม ไม่ต่างจากวันแรกเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่ว่าเขาไม่แสดงออกเท่านั้น แต่ยังเกลียดผมเหมือนเดิม “ผมจะไม่มีวันรับเด็กคนนี้เป็นลูกชายหรือสมาชิกในบ้าน” [สมน้ำหน้า] “ซ้ำเติมกูอีก” [ก็จริง ๆ อย่างที่เด็กมึงว่าแหละ ก่อนมึงไปเรียนก็ทำกับน้องเขาไว้เยอะไม่ใช่หรือไง] “ก็กูไม่ได้อยากได้เขาเป็นน้องชาย [มึงก็เลยแกล้งเขา? ปากมึงก็หมาใช่ย่อย มันก็ไม่แปลกปะวะที่น้องเขาจะเข้าใจว่ามึงเกลียด] “กูไม่ได้เกลียดคราม” [มึงไม่ได้เกลียดแต่เขาเข้าใจแบบนั้นไปแล้ว ดีเท่าไรแล้วที่น้องครามไม่ด่ามึงว่าเป็นบ้า หรือด่าในใจไปแล้วก็ไม่รู้] “ไอ้เวรนี่ กูโทรไปเพื่อจะปรึกษามึงนะ ไม่ใช่ให้มึงด่ากูซ้ำ” เขตว่า หลังรู้สึกว่าเพื่อนกำลังล่อด่าตนเองอยู่และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยู่ฝั่งคราม แม้สองคนนี้จะไม่เคยเห็นหน้ากันก็ตาม [ก็ใช่ไง ว่าตอนนี้น้องมึงอยู่ไหน] “หนีเข้าห้องนอนไปแล้ว ข้าวปลาก็ไม่กินเหมือนกำลังร้องไห้อยู่ด้วย” เขตว่าด้วยน้ำเสียงเหมือนจะรู้สึกผิด ก่อนจะเข้าห้องตัวเองมา เขาก็ลองเอาหูไปแนบประตูห้องนอนฝั่งข้ามดู เพราะอยากรู้ว่าครามกำลังทำอะไรอยู่ แล้วก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังร้องไห้ แต่มันก็เบามาก ๆ จนแทบไม่ได้ยิน [งานหยาบแล้วไอ้เขต...] “ก็กูไม่รู้จะทำยังไงนี่หว่า จะให้บอกว่าหวงเลยหรือไง” [ก็ลองบอกดิ] “ถ้ามันง่ายแบบนั้นก็คงดี แต่มันไม่ใช่ไงมึง” ยิ่งพูดก็ยิ่งเครียด ความสัมพันธ์ที่เหมือนจะง่าย ยิ่งอยู่ใกล้ชิดยิ่งมีสิทธิ์ แต่มันไม่ใช่สำหรับสถานะของพี่ชายที่ถูกยัดเยียด […..] “ถ้าบอกไปตอนนี้แม่งก็มีแต่ความเสี่ยงว่าครามจะตีตัวออกห่าง แค่พยายามสกัดคู่แข่งน้องก็ยังแยกเขี้ยวใส่กูเลย” [แล้วน้องรู้ยังว่ามึงชอบ] “ห่างไกลจากคำนั้นมากมึง ก็บอกแล้วไง...น้องเข้าใจว่ากูเกลียดเขา” เขตว่าเสียงแผ่ว เป็นคนมั่นใจตัวเองมาโดยตลอดจนกระทั่งวันนี้ “บางทีตอนนี้น้องอาจเกลียดกูไปแล้วก็ได้” ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บ [ไม่หรอกมั้ง...ห่าเอ๊ย เป็นเพอร์เฟกต์ แมนมาโดยตลอด แต่มาตกม้าตายเพราะเรื่องความรัก] “....” [กูจะบอกให้นะ ความรักไม่ใช่การที่ให้มึงยัดเยียดข้อเสียของตัวเอง ให้ที่มึงรักรับให้ได้ แต่ความรักหมายถึงการให้มึงรู้จักอ่อนโยนกับที่มึงรัก แล้วถ้ามึงยังทำแบบนี้อยู่ สิ่งที่มึงกลัวที่สุดอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้] “กูไม่อยากครามเกลียดกู” [มึงก็ง้อดิ ลดฟอร์มตัวเองลงบ้างก็ได้มั้ง ถ้าไม่อยากให้สิ่งที่มึงกลัวเป็นความจริง] “.....” [มันคุ้มนะมึง ถ้าแลกกับการที่เราจะไม่เสียคนรักไป] “กูจะเชื่อมึง” [ต้องงั้นสิวะ อย่าลืมว่ากูเป็นคนแต่งงานคนแรกในกลุ่มนะ] ‘ลดฟอร์มตัวเองลงแล้วง้อน้อง...’ คำพูดของเพื่อนสนิท พวงตำแหน่งที่ปรึกษาดีเด่นยังคงดังก้องอยู่ในหัวไม่หยุด เวลาล่วงเลยมาถึงตีสองแล้วแต่อาณาเขตก็ยังคงกังวล ความกลัวที่มีเพียงจุดเล็ก ๆ ในใจเริ่มขยายตัวเป็นวงกว้าง เมื่อครามร้องไห้ บอกตามตรงว่าเขตตกใจ เขาไม่ได้ตั้งใจให้ครามร้องไห้ ไม่ได้สะใจด้วย ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา มิหนำซ้ำยังหนีไปเรียนต่ออีกสี่ห้าปี แต่เขารู้ว่าน้องไม่ใช่เด็กขี้แง บางทีที่ครามร้องไห้อาจเพราะเรื่องนั้นมันหนักเกินไป เขตไม่ได้ต้องการให้น้องไม่มีเพื่อน ยอมรับว่าตัวเองผิดเองที่ก้าวก่ายในชีวิตครามมากเกินไป แค่เห็นรูปเก่า แม้มันจะนานมาแล้วก็ตาม เขาก็หวง หวงแบบที่ไม่มีสิทธิ์หวง สุดท้ายเขาก็ได้แค่ถอนหายใจออกมา ทุกอย่างมันไม่ง่ายเลย ถ้าครามเป็นแค่รุ่นน้องในโรงเรียนก็คงมีสิทธิ์มากกว่านี้ พี่น้องสถานะนี้ไม่เหมาะกับเราจริง ๆ ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการตาบวม เมื่อคืนร้องไห้จนเผลอหลับไป นับเป็นคืนที่แย่ที่สุดสำหรับผมก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมยังต้องขุดตัวเองขึ้นจากเตียงให้ได้เพราะต้องไปโรงเรียน พี่เขตยังไม่ลงมาทานข้าวเช้า ผมเลยรีบออกปากขอร้องให้พ่อศักดิ์เป็นคนส่งผมไปโรงเรียน บอกกันตามตรงผมยังไม่อยากเจอหน้าพี่เขาตอนนี้ “ทะเลาะกับเขตเหรอ” พ่อศักดิ์พูดด้วยน้ำเสียงกังวล “ไม่ครับ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ความรู้สึกผมที่มีต่อพี่ตอนนี้ไม่เชิงว่าเกลียด แต่ผมไม่ชอบการกระทำของพี่เขา เพราะมันทำให้ผมสับสนไปหมด เหมือนความสัมพันธ์เราจะดีขึ้น แต่ก็ไม่เลย....พี่เขายังเกลียดผมเหมือนเดิม หลังจากกินข้าวเช้าจนเสร็จแล้วพี่เขตก็ยังไม่ลงมา ผมเองก็แอบอยากรู้เหมือนว่าพี่เขาทำอะไรอยู่ ปกติพี่เขามักทำอะไรเร็วกว่าผมอยู่แล้ว แต่วันนี้กลับไร้เงา จนแม่ตองต้องเป็นคนขึ้นไปเคาะห้องเอง “คราม ไปโรงเรียนกันลูก” เสียงพ่อศักดิ์เรียกผม “ครับ ๆ” ผมไม่มีเวลาสนใจพี่เขานัก อีกไม่นานโรงเรียนก็จะเข้าแถวแล้วผมจึงต้องรีบไป ก่อนจะสายไปมากกว่านี้ เรื่องเมื่อวานผมได้แต่ขอโทษไอ้แฟรงค์ไปยกใหญ่ มันเป็นคนนอก ไม่ควรต้องมาเจอเรื่องวุ่นวาย ผมไม่ได้ลงลึกเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับครอบครัวมากนัก บอกแค่ว่าพี่ชายแกล้ง อย่าถือสากัน “เรื่องมันผ่านไปแล้ว กูไม่ได้อยากให้พี่น้องทะเลาะกันนะมึง สงสัยว่าใช่พี่มึงไหมเลยมาถามก็เท่านั้น” “อ๋อ ขอโทษด้วยแล้วกัน” ผมเอ่ยปากขอโทษมันอีกครั้ง รู้สึกผิดจริง ๆ “ไม่เป็นไร อย่าไปทะเลาะกับพี่ชายนะมึง เดี๋ยวกูรู้สึกผิด” ผมได้แต่ส่งยิ้มให้มันเป็นคำตอบ อยากจะบอกเหลือเกินว่าทะเลาะกันไปแล้วเมื่อคืน แต่ก็เลือกที่จะไม่พูด เพราะเดี๋ยวแฟรงค์จะรู้สึกผิด คิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุสำหรับเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ความจริงพี่เขตนั่นแหละตัวต้นเหตุ! ผมพยายามสลัดเรื่องของพี่เขตให้หลุดออกจากหัวอยู่ตลอดทั้งวัน พยายามไม่คิดมาก เพราะเดี๋ยวจะเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง แต่ก็มิวายแอบคิดอยู่เรื่อย ไม่รู้ว่าเมื่อคืนพี่เขาคิดได้หรือยังว่าไม่ควรก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผม สุดท้ายผมก็คิดเรื่องเกี่ยวกับพี่เขาจนกระทั่งเสียงกริงเลิกเรียนดังขึ้น ช่วงตอนเช้าก่อนลงจากรถ ผมก็ได้ขอให้พ่อศักดิ์เป็นคนมารับผมด้วย แต่ก็แอบกลัวว่าจะเป็นพี่เขต ที่เป็นคนมารับผม จริง ๆ เรื่องคนมารับก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ บางครั้งพ่อศักดิ์ก็ติดประชุม ต้องส่งคนอื่นมารับผมแทน ผมเดินไปหน้าโรงเรียนด้วยอาการใจระทึก มองหารถของพ่อศักดิ์แต่กลับได้สบตากับพี่เขตแทน.... พี่เขตโบกมือให้ผมอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เหมือนจะส่งยิ้มมาให้ แต่ก็ไม่...มีแค่ผมที่เม้มปากแน่น มองหน้าพี่เขาอย่างไม่ชอบใจ กะไว้แล้วเชียวว่าพี่เขตจะเป็นคนมารับ...และลางสังหรณ์ผมไม่เคยผิดเพี้ยน “เดี๋ยวคราม อย่าเพิ่ง!” เสียงพี่เขตร้องเรียก แต่ผมไม่ฟัง เมื่อเห็นว่าเป็นพี่เขา ผมก็ไม่รอช้า หันหลังเตรียมจะเดินหนีทันที ผมพยายามเร่งฝีเท้าเดินหนีพี่เขา แต่พี่เขตก็คว้าแขนเสื้อผมไว้ได้ก่อน “ครามเดี๋ยวก่อน” “ผมไม่กลับกับพี่” ผมหันไปมองหน้าพี่เขาและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่งกว่าทุกที ทำเอาพี่เขตถึงกับหน้าเสียไปครู่หนึ่ง แต่ผมไม่เห็นหรอก “แต่พ่อให้มารับ” “ครับ...ผมไม่อยากกลับกับพี่ ถ้าพี่มารับผมกลับเองก็ได้” ผมว่าตามความจริง ผมไม่อยากกลับกับพี่เขา ยังไม่เกลียด แต่ตอนนี้ยังไม่พร้อมจะเจอหน้าก็เท่านั้น “ขอโทษ” พี่เขตเอ่ยคำขอโทษด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะรู้สึกผิด แต่แปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกดีกับคำขอโทษพี่เขาเลย มันไม่เหมือนครั้งนั้น ผมกล้าพูดว่าตัวเองไม่ใช่คนโกรธอะไรง่าย ๆ แต่ถ้าได้โกรธจริง ๆ ก็ยากที่จะง้อ “ไม่ให้อภัย” ผมตอบกลับโดยไม่ต้องคิด เพราะผมโกรธพี่เขตจริง ๆ คราวนี้ต่อให้เอ่ยคำขอโทษสักพันครั้งก็ไม่หาย “งั้นจะง้อ” “.....” “งั้นพี่จะง้อเรา ดีไหม?” _____________
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD